เรื่องเล่าจากค่ายอาสาฯ

ขออนุญาตตั้งเป็นกระทู้คำถามนะคะ เนื่องจากไม่ได้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการค่ะ
เข้ามาอ่านแท็กกระทู้เรื่องเล่าสยองขวัญแล้วอยากแชร์เรื่องของตัวเองบ้าง

สมัยเรียนเราเป็นเด็กค่ายอาสาพัฒนาชนบท ปีการศึกษาหนึ่งจะออกค่ายใหญ่ 7-10 วัน ปีละ 2 หน ที่โรงเรียนบนดอยสูงของจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ

ค่ายที่จะเล่านี้เราไม่ได้ไปเตรียมค่ายเลยไม่รู้ว่าก่อนทำค่ายจริง พี่ ๆ เพื่อน ๆ สตาฟคนอื่น ๆ เค้าเจออะไรกันมาบ้าง ซึ่งระหว่างค่ายนั้นก็ไม่ได้มีใครพูด หรือเล่าความเฮี้ยนความหลอนอะไรให้ฟัง

เราก็ใช้ชีวิตในค่ายปกติ ออกไปหาชาวบ้าน สร้างอาคาร ก็ไม่ได้มีอะไรค่ะ กระทั่งวันท้าย ๆ ก่อนจบค่าย เราตื่นแต่เช้ามืดที่เป็นเวลาปกติที่ลูกค่ายตื่น ถือขันน้ำแปรงสีฟัน เตรียมไปทำธุระส่วนตัวก่อนจะเริ่มกิจกรรมประจำวัน

แต่เมื่อเห็นว่าห้องน้ำที่เปิดให้ใช้มีแค่หลังเดียว ห้องน้ำหลังข้างล่างที่เราพัก สตาฟที่มาเตรียมค่ายสั่งไม่ให้ใช้ เราก็เลยนั่งรอให้น้องค่ายจัดการตัวเองเสร็จกันก่อน เราค่อยตามไป

ระหว่างที่นั่งรอ เรานั่งอยู่หน้าระเบียงห้องเรียนที่ใช้นอน ด้วยความเหม่อ ๆ มึน ๆ ของคนเพิ่งตื่น ตาก็จ้องมองไปที่ห้องที่เก็บขนมสำหรับแจกเด็ก ๆ ในกิจกรรมแต่ละวัน

เราเห็นผู้หญิงสาว ๆ อยู่เลยค่ะ นอนฟุบอยู่บนกองขนมในห้องนั่น ลักษณะเหมือนเรานอนฟุปไปกับโต๊ะค่ะ เพราะงั้นจึงไม่เห็นหน้า แต่จำได้แม่นเพราะไม่รู้ทำไมเราจ้องมองนานมาก ๆ เหมือนสติหลุดน่ะค่ะ

ผู้หญิงคนนั้นใส่เสื้อสีขาวลายลูกไม้ แขนพอง ๆ นุ่งซิ่นสีเหลืองลายดอก...

เราก็ไม่ได้คิดอะไรนะ คือก็รู้แหละว่าไม่ใช่คน แต่มันไม่ได้กลัวมากมายเหมือนที่เคยมโน ว่าถ้าเจออะไรแบบนี้จัง ๆ เราคงสติหลุด แต่เรากลับเฉย ๆ เฉยมากกกก

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นที่เดียวกันนี้ ด้วยความที่เราเป็นพี่สตาฟ เวลาน้ำอาบของเราจึงค่อยข้างดึก วันนั้นหลังจากกินข้าวเสร็จเราก็ชวนเพื่อนคนนึงไปอาบน้ำ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวอะไร เพราะที่ห้องน้ำก็มีเสียงเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ อื่น ที่รู้ตอนนั้นคือหนาวมากกกก หนาวแบบสามสี่องศา

ตอนที่เดินไปห้องน้ำ เราเป็นคนเดินนำ เพื่อนอีกครตามหลังมา เราก็เดินคุยกันมาเรื่อย ๆ ซึ่งเราเป็นฝ่ายโม้ให้เพื่อนฟังซะมากกว่าว่าวันนี้ออกไปข้างนอกเจออะไรมาบ้าง

ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเพื่อนเดินตามหลังมาตลอดนะ เราก็จ้อไม่หยุดสิ แต่พอจังหวะที่ถาม มันไม่ตอบ เราเลยหันหลังไปดู ...ว่างเปล่า ไม่มีใครตามเรามา

เพื่อนที่เราชวนมาด้วยมันคุยโม้อยู่กับอีกคนตั้งแต่ที่หน้าอาคารที่พักแล้ว จังหวะนั้นคือเหมือนเกิดเดทแอร์ขึ้นรอบตัว แต่ก็ทำใจเรียกเพื่อนที่ชวนมาให้รีบเดิน เพื่อนวิ่งทัก ๆ มาหาเรา เราก็เอ็ดมันนิดหน่อยว่าปล่อยให้พูดคนเดียวตั้งนาน ...ก็ได้ยินเสียงคนเดินตามหลังนึกว่าเป็นแก เราแค่คิด แต่ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังนะคะ

กระทั่งออกค่าย ชมรมของเรามีธรรมเนียมว่าหลังออกค่ายต้องไปกินหมูกระทะกัน พวกสตาฟที่ไปเตรียมค่ายก็เริ่มเม้ามอยที่ลี้ลับที่ได้เจอมาอย่างออกรส เราก็ฟังไม่ได้พูดอะไร (คนเยอะ แย่งพูดไม่ทัน 5555) จนมาสะดุดกับผู้หญิงเสื้อขาวลายดอก

คือเพื่อนคนที่เล่ามันมีเซ้นส์เรื่องพวกนี้ เราก็เริ่มต้นเป็นผู้พิพากษาซักจำเลย จนได้ความว่า ตอนเตรียมค่าย คุณครูที่โรงเรียนที่เราไปทำค่าย เล่าให้ฟังว่าที่โรงเรียนนี้ อย่างที่รู้ ๆ ว่าเป็นเขตสีแดง (หมายถึงพื้นที่ติดชายแดน ยาเสพติดระบาดหนัก) สมัยก่อนมีการสู้รบกัน คนตายที่โรงเรียนนี้ก็มาก รวมถึงผู้หญิงจากประเทศเพื่อนบ้านใส่เสื้อขาวนุ่งซิ่นเหลืองนั่นด้วย พอเวลาผ่านไปก็มีหน่วยงานรัฐเข้ามาดูแลมากขึ้น เลยสร้างเป็นโรงเรียน ตชด. ขึ้นมา

เราก็เลยถึงบ้างอ้อ แล้วก็เล่าเรื่องที่เจอให้คนอื่น ๆ ฟัง ปรากฏว่าเจอทุกคน ที่ไม่มีใครอยากพูดเพราะกลัวคนอื่นจะกลัว เราเลยรู้สึกโล่ง ๆ อย่างน้อยเราแค่เห็น คนอื่นนี่หนักกว่าเราอีก 55555
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่