นายกรัฐมนตรียามสงคราม ๒๖ เม.ย.๖๐

เรื่องเล่าจากอดีต

นายกรัฐมนตรียามสงคราม

พ.สมานคุรุกรรม


เมื่อ พันตรี ควง อภัยวงศ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน จอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยไม่เกิดเรื่องยุ่งยากวุ่นวายในระหว่างคนไทยด้วยกันแล้ว ท่านก็ต้องคอยแก้ปัญหายุ่งยากระหว่างรัฐบาลไทย กับกองทัพญี่ปุ่นต่อไป ท่านเล่าว่า

เมื่อเสร็จจากเรื่องหลวงพิบูล ฯ แล้ว ผมก็ต้องคอยแก้ปัญหาระหว่างเสรีไทยกับกองทัพญี่ปุ่น เหมือนถูกบังคับให้ขี่ม้าสองตัว คือเสรีไทยตัวหนึ่ง และญี่ปุ่นอีกตัวหนึ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันอยู่ มันลำบากจริง

คืนวันหนึ่งพวกเสรีไทยเอาฝรั่งคนหนึ่งที่ถูกกักกันในแคมป์ชนชาติศัตรูที่กรุงเทพ ฯ ส่งไปเมืองนอก จึงเกิดวิตกว่าถ้าตอนรุ่งเช้าพวกญี่ปุ่นไปตรวจพบว่าขาดจำนวนจะทำยังไง แต่บังเอิญพระสยามเทวาธิราชช่วยผมแท้ ๆ ในคืนวันนั้นเองพระสงฆ์ท่านนำฝรั่งที่หลบหนีจากค่ายกาญจนบุรี มาให้ผมคนหนึ่ง ผมก็ให้ผู้ควบคุมค่ายเอาไปยัดใส่แทน ผู้ควบคุมแย้งว่ามันเป็นคนละคนกันกับที่หายไปนี่ ผมก็บอกว่า เคยนึกบ้างไหมเวลาเราดูฝรั่งก็เห็นหน้ามันคล้าย ๆ กัน หรือเมื่อฝรั่งดูพวกเรา ก็เห็นคล้ายกันเหมือนกัน ยังไง ๆ พอเขาเรียกชื่อหมอนั่น ก็ให้หมอนี่ขาน “เยสเซ่อร์” ก็แล้วกัน เผอิญได้ผลจริง ๆ เรารอดตัวไป

ส่วนที่เขาหาว่าผมหักหลังญี่ปุ่น และบางคนก็ไปเขียนอะไรต่อมิอะไรกันนั้น ไม่เป็นความจริงหรอก เมื่อเขาตั้งเสรีไทยขึ้นนั้น ผมก็ทำความเข้าใจกับเขาแล้วว่า ผมจะต้องทำหน้าที่ของผม ในฐานะที่ร่วมรบกับญี่ปุ่น แต่ผมจะหลิ่วตาให้ข้างหนึ่งสำหรับเสรีไทย เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ตกลงไหม เมื่อเขายอมตกลงผมก็เลยขาดจากเสรีไทยตั้งแต่บัดนั้นมา ผมไม่เคยเสียคำมั่นสัญญา ไม่เคยเสียสัตย์ เพราะเราต้องรักษาชื่อเสียงของชาติไทย และเกียรติของไทยผมรักษานัก เมื่อเราให้คำมั่นสัญญาแล้วเราต้องถือเด็ดขาด ผมไม่เคยหักหลัง แต่ผมต้องคอยแก้ปัญหาดังที่เล่าให้ฟัง

ขณะนั้นสงครามโลกด้านแปซิฟิคขับขันมากขึ้นแล้ว ทางกองบัญชาการทหารสูงสุดญี่ปุ่นที่ไซ่ง่อน ดูจะมีความระแวงฝ่ายไทย ตามสี่แยกถนนสำคัญ ๆ ในพระนครหลายสาย มีป้อมมูลดินของญี่ปุ่นกับของไทยตั้งเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างขอให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปตรวจดูว่า ความจริงสร้างขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร

ญี่ปุ่นคงจะทราบความเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทยเป็นอย่างดี นายฮาตาโนซึ่งเป็นล่ามของนายพลนากามูรานั้น ก็เป็นนักเรียนอัสสัมชัญ พูดไทยและอ่านหนังสือไทยได้อย่างคนไทยทั่ว ๆ ไป เมื่อมีเสรีไทยมาโดดร่มและถูกจับได้ ฝ่ายญี่ปุ่นก็มุ่งจะเอาตัวไปสอบสวนและปฏิบัติอย่างอื่นต่อไป แต่ฝ่ายไทยก็อ้างว่าเป็นมหามิตรกับญี่ปุ่น เป็นคู่สงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ฉะนั้นจึงมีสิทธิเหนืออริราชศัตรูไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง ไทย หรือชาติใดก็ตาม

พันตรี ควง เล่าว่า อย่างสนามบินลับของเราก็เหมือนกัน พวกญี่ปุ่นมาประท้วงตั้งแต่เช้า เอาแผนที่ออกมากางให้ดู แล้วชี้ว่านี่สนามบินลับอยู่ทางเหนือ ความจริงท่านก็ทราบว่าเป็นสนามบินลับที่พวกเสรีไทยเขาทำขึ้น แต่ท่านบอกว่าไม่จริงกระมัง เขาก็ยืนยันว่าจริงซี เขาถ่ายรูปมาด้วย ท่านก็ว่าถ้ายังงั้นพรุ่งนี้ตั้งกรรมการผสมไปตรวจ แล้วก็ตกลงตั้งกรรมการผสมไทยญี่ปุ่นขึ้น

แล้วท่านก็วิ่งไปบอกหลวงประดิษฐ์ ฯ ว่า นี่.....อาจารย์ ต้องรีบจัดการปลูกพืชอะไรไว้นะ พรุ่งนี้กรรมการผสมจะไปตรวจ ถ้าเขาจับได้ผมไม่รู้ด้วยนะ ฝ่ายหลวงประดิษฐ์ ฯ ก็ส่งวิทยุสั่งการให้ปลูกต้นกัญชา ต้นอะไร รดน้ำกันใหญ่ พวกกรรมการผสมไปดูก็เห็นมีพืชปลูกอยู่จริง ๆ เรื่องก็เลิกกันไป

เหตุนี้คงจะทำให้ จอมพล เคานต์เตราอุจิ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ไซ่ง่อนระแวงไทยมากขึ้น จึงสั่งให้นายพลนากามูรา ผู้บัญชาการหน่วยงิประจำประเทศไทยขอกู้เงินเพื่อสร้างที่มั่นรับสัมพันธมิตร ความจริงญี่ปุ่นได้เตรียมแนวป้องกันไว้แล้ว คือที่มั่นตั้งแต่แนวภูเขาที่หินกอง จังหวัดสระบุรี เป้นระยะ ๆ ไปจนถึงจังหวัดนครนายก

เมื่อฝ่ายญี่ปุ่นเสนอขอกู้เงินมานั้น ฝ่ายไทยได้ปรึกษาหารือกัน และกำหนดว่าจะตอบปฏิเสธฝ่ายญี่ปุ่นไป เรื่องเช่นนี้ควรจะต้องเป็นเรื่องลับที่สุด แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ นายพล นากามูราได้ระแคะระคายว่าฝ่ายไทยจะตอบปฏิเสธ จึงมาบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ได้ทราบข่าวว่าฝ่ายไทยจะปฏิเสธเรื่องญี่ปุ่นขอกู้เงิน ถ้าเป็นจริงตามนั้นก็ขอบอกว่า ญี่ปุ่นจำจะต้องยึดครองประเทศไทย เพราะเป็นนโยบายและคำสั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายพลเองไม่มีอำนาจขัดขืน ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วไม่อยากจะยึดครองประเทศไทยเลย

อีกครั้งหนึ่งท่านเล่าถึงเรื่องที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเอาเครื่องบินมาทิ้งยาให้ไทย แต่แทนที่จะให้เอาไปทิ้งตามทุ่งนาก็ไม่เอา กลับให้เอามาโยนลงที่สนามหลวง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรานี่เก่ง แต่ไม่ได้คิดถึงท่านซึ่งเป็นนายก ฯ อกแทบพัง แล้วพวกเราก็วิ่งไปรับกันเสียด้วย จะรอให้เครื่องบินไปเสียก่อนแล้วจึงค่อยวิ่งไปตะครุบก็ไม่ได้

ท่านเล่าว่า พอตอนกลางคืนญี่ปุ่นก็เชิญผมไปกินข้าว เพราะตามธรรมดาพอมีเรื่องอะไรเขาก็เชิญผมกินข้าวทุกที เมื่อไปพบกับเขาหน้าผมก็ไม่สบายเพราะกำลังหนักใจว่าจะทำยังไงดี พอนายพลนากามูระเห็นผมก็ทักว่า เอ..ท่านนายกทำไมถึงหน้าตาไม่เสบยอย่างนี้

ผมก็บอกว่าพุธโธ่ ปวดศรีษะจะตายไป ส่วนเอกอัครราชทูตยามาโมโต ก็กระแหนะกระแหนว่า ทำไมท่านไม่กินยาที่เขาเอามาทิ้งให้เมื่อเช้านี้ล่ะ ผมก็ไหวทันตอบไปว่า ลองกินเข้าไปซี ถ้าฉันเกิดตายไปแล้วท่านจะเอานายกที่ไหนมาแทนเล่า พวกนั้นก้หัวเราะขบขัน เลยกินข้าวด้วยกัน แล้วเรื่องก็เลิกกันไปอีก

ทางฝ่ายขบวนการเสรีไทย ก็คงมีการตระเตรียมกันหลายด้าน ด้วยความมั่นใจว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะสนับสนุนการดำเนินการในไม่ช้านัก ฝ่ายตำรวจซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของ พล.ต.อ.หลวงอดุลย์ ฯก็ได้มีการเปลี่ยนจากพกอาวุธปืนสั้นมาถืออาวุธปืนเล็กยาวทั่วไป

ญี่ปุ่นได้สังเกตเห็นเรื่องนี้เหมือนกัน นายพลนากามูรา ทูตทหารบก ทูตทหารเรือ และบุคคลสำคัญฝ่ายสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น จึงขอพบนายกรัฐมนตรี เพื่อถามถึงเรื่องตำรวจเปลี่ยนมาถืออาวุธปืนเล็กยาว แทนที่ท่านจะอึกอักท่านกลับหัวร่อเอิ๊ก ๆ แล้วตอบว่า

“ แล้วกัน ท่านนายพล ผมจ่ายปืนพกให้ พวกตำรวจก็เอาไปขายเสียหมด แล้วก็บอกว่าปืนหาย ยินดีชดใช้ให้ตามราคาของทางราชการ ก็ปืนพกขณะนี้ราคาแพงมาก ผมจะเอามาจ่ายให้ที่ไหนไหว ปืนยาวนั้นขายยากกว่า ผมจึงสั่งให้จ่ายแต่ปืนยาว เรื่องมันเท่านั้นเอง “

เมื่อได้สนทนากันถึงเรื่องอื่นอีกเล็กน้อย ฝ่ายญี่ปุ่นก็ลากลับไป

ตามปกติแล้วนายกรัฐมนตรีควง ก็คงอยู่ที่บ้านของท่านหน้าสนามกีฬาแห่งชาติ แถบนั้นมีหน่วยทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่ที่โรงเรียนช่างกลปทุมวัน อีกหน่วยหนึ่งก็อยู่ที่โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย เมื่อเหตุการณ์คับขันมากขึ้น ผู้บัญชาการกองพล ๑ ได้ขอร้องให้ท่านย้ายบ้าน เกรงว่า เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ทหารไทยซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางบางซื่อ จะมาให้ความคุ้มครองไม่ทัน และถ้านายกรัฐมนตรีถูกฝ่ายญี่ปุ่นจับตัวไป ก็จะเป็นเรื่องลำบากมาก ท่านจึงได้ยอมย้ายไปอยู่บ้านสวนอัมพวัน ใกล้เขตทหารขึ้น

ท่านเล่าว่า เมื่อพูดกันตามความจริงท่านก็ช่วยญี่ปุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หักหลังเขาเลย เช่นปัญหาเรื่องการกู้เงิน ญี่ปุ่นกู้เราเรื่อย ๆ จนเราไม่มีสตางค์จะให้ รัฐมนตรีของเราบอกเขาว่าเราให้กู้ไม่ได้แล้ว ญี่ปุ่นก็ตั้งข้อสงสัยว่าเราไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา ท่านจึงบอกรัฐมนตรีคลังให้เชิญฝ่ายญี่ปุ่นมาประชุมกับท่านที่ทำเนียบ

ครั้นถึงวันประชุมฝ่ายญี่ปุ่นก็มาพร้อมเพรียง รวมทั้งเอ็กซเปอร์ททางการคลังของเขาด้วย ฝ่ายเรานั้นท่านคิดอยู่แล้วว่าญี่ปุ่นเขามีความระแวงสงสัยไม่เชื่อใจเรา จะมัวโต้เถียงกันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร รังแต่จะเพิ่มความสงสัยมากขึ้น ท่านก็เอาตัวเลขการคลังของเราทั้งหมด ส่งให้ เอ็กซเปอร์ทของญี่ปุ่น แล้วบอกว่าวานท่านทำหน้าที่รัฐมนตรีคลังให้ฉันทีเถอะ ถ้าท่านเห็นว่าไอ้ตัวเลขอย่างนี้ ควรให้ญี่ปุ่นยืมได้เท่าไร ฉันจะเซ็นอนุมัติให้เดี๋ยวนี้แหละ แล้วท่านก็ชักปากกาออกมาเตรียมถือไว้

ท่านทำใจดีสู้เสือแท้ ๆ ทีเดียว พวกญี่ปุ่นปรึกษากันบ๊งเบ๊งอยู่พักหนึ่งก็ลุกขึ้นโค้ง บอกว่าให้ยืมไม่ได้หรอก เราก็เลิกประชุมกันเท่านั้นเอง

นี่แหละเมืองไทย เรารอดมาได้ ไม่ใช่ความสำคัญของผมเลย เพราะสยามเทวาธิราชแท้ ๆ เราทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เรามีใจเป็นธรรมก็ย่อมชนะ ผมอาจจะต้องลำบากในตอนต้น แต่ตอนปลายผลสุดท้ายก็ต้องชนะ

และนี่คือการทำงานระหว่างหน้าสิ่วหน้าขวาน ของ พันตรี ควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีของไทย ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๔๘๗ – ๒๔๘๘ เท่านั้น.

##############
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่