South America - Road Trip (บางวัน) ในดินแดน Patagonia สุดขอบโลก 17วัน

ทริป Iceland เมื่อปี 2015 (https://ppantip.com/topic/33543576) ทำให้ผมและเพื่อนๆหลงรักสถานที่ท่องเที่ยวแนว Landscape สวยๆเข้าอย่างจัง ทริปถัดมาจึงมาลงตัวที่อเมริกาใต้ ใช้เวลาหาข้อมูลและรวบรวมสมาชิกถึง 2ปีเต็ม เนื่องจากรีวิวการเดินทางมีหลากหลาย และรีวิวเป็นภาษาไทยยังมีน้อย ประกอบกับระยะทาง ค่าใช้จ่าย รวมถึงข้อควรระวังด้านความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว
Patagonia ได้รับขนานนามว่า “ดินแดนทางใต้สุดขอบโลก” ที่ครอบคลุมระหว่างประเทศอาร์เจนติน่า และ ชิลี ... Patagonia เมื่อครั้งค้นพบดินแดนแห่งนี้ โดย Ferdinand Magellan นักสำรวจชาวโปรตุเกส พบว่าชาวพื้นเมืองที่อาศัยในแถบนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ (คาดว่าเป็นชนเผ่า Tehuelche) จึงเรียกว่า Patagonia ซึ่งชื่อนี้มีที่มาจาก Paflagonia (อ้างอิงจากหนังสือนิยาย Primaleón novel, 1512) ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่า Patagón giant ในยุคสมัยกรีกโบราณ (ชื่อ Paflagonia สถานที่นี้มีอยู่จริง ณ ประเทศตุรกี)
Patagonia นั้นมีอะไร? ดินแดนแถวนี้มีประชากรอาศัยเบาบาง ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามแปลกตาของ landscape ทั้งเทือกเขา ทะเลสาบ หรือจะธารน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่ สิ่งต่างๆที่รอให้ผู้คนไปสัมผัสแบบลุยๆหน่อย บางจุดนี่ ต้องเดินเท้าเข้าไปชื่นชมเท่านั้น สำหรับคนชอบ Trek หรือ ชอบถ่ายรูปสาย Landscape และ สัตว์ป่า มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแถบ South America สวยงามแปลกตา ต้องโดนแน่นอนครับ ...



การเดินทางและ VISA

ประเทศอาร์เจนติน่า และ ชิลี หลายๆท่านได้ยินก็คงคุ้นเคยว่าเป็นกลุ่มประเทศที่ไม่ต้องขอ VISA สำหรับคนไทย จองตั๋วแล้วก็บินไปได้เลย แต่ด้วยระยะทางอันแสนไกลและไม่มี direct flight ไปแถบนั้นเลย ทำให้ราคาตั๋วนั้นแอบดุพอสมควร เว้นแต่ได้ตั๋วโปรมา แต่ส่วนใหญ่เส้นทางเหล่านั้นต่อง transit ไม่ต่ำกว่า 2ครั้งเป็นแน่ สำหรับผมคราวนี้ เวลาเที่ยวไม่เยอะเลยขอแบบ transit ให้น้อยสุด จากที่ค้นหาข้อมูลมาจะเจอ 2 สายการบินหลักๆที่ราคาพอไหวคือ British Airways และ Lufthansa (ประมาณ 5x,xxx-6x,xxx) และด้วยเวลาที่ลงตัวสุดๆเลยจัดไปกับทาง British Airways ทริปนี้ใช้เวลาเที่ยวจริงๆแค่ 14วันแค่นั้น ใช้เวลาเดินทางทั้งไปและกลับรวมกันถึง 3วัน (ขาไป 31ชั่วโมง ขากลับ 26ชั่วโมง) ทางเลือกอีกทางก็คือไปกับสายการบินแถบตะวันออกกลางเส้นทางนั้นไม่อ้อมเลย และมีช่วงโปรราคาคุ้มๆ แต่จะต้องไปลง Sao Paolo ที่ บราซิลก่อน ซะส่วนใหญ่และราคาช่วงปกตินั้นดุมากมาย สำหรับเราๆที่ทั้งปีจะหยุดยาวได้แค่ช่วงสงกรานต์น่าจะหาจังหวะตั๋วถูกๆยากครับ ลองไล่เช็คราคาตั๋วได้ที่ www.skyscanner.com ครับ



เตรียมตัว Trekking แบบคนไม่เคย Trekking มาก่อน
สำหรับทริปที่ผมไปทั้งหมดเป็น 1-day trek ครับไม่ได้เข้าไปตั้ง camp แต่อย่างใด
อย่างแรกครับ ร่างกายต้องฟิตระดับหนึ่ง อย่างตัวผมเองวันๆนั่งอยู่หน้าจอคอม อายุก็30กลางๆล่ะ ไม่เคยออกกำลังกายเลย คิดไว้ก่อนว่า ไม่ไหวแน่ๆ เดินไปกลับ 20km แถมเดินขึ้นที่สูงอีก เลยเริ่มจากการวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆแถวบ้าน ประมาณ 3เดือนก่อนไปทริป ระยะทางวิ่งก็ประมาณ 3-5km แล้วแต่ความฟิตในแต่ละวัน วิ่งๆเดินๆ  สุดท้ายก็พอไหวแบบไม่ต้องมีคนมาหามกลับครับ ตอนจบ trail อาจเรียกหา ร้านนวดกันได้บ้าง แต่ๆๆๆ มีข้ออยากแนะนำเพิ่มเติมตามนี้ครับ
- ไม้สำหรับเดินป่า ช่วยได้เยอะมากครับ แต่อาจทำให้ถ่ายรูปลำบากหน่อยเพราะเกะกะ สำหรับผมใช้ไม้เดียวครับ แต่แอบไปเห็นคนใช้สองไม้มานี่เดินปลิวเลย ถ้าไม่รู้จะไปหาซื้อที่ไหน แนะนำที่ decathlon ครับ ราคาไม่แพง ใช้งานได้
- รองเท้าถ้าเป็นแบบกันน้ำหรือ Gore-Tex ได้จะดีมากเพราะบางจุดต้องเดินผ่านน้ำและยิ่งถ้าฝนตกมาก่อนนี่ ดูไม่จืดแน่นอน และถ้าเป็นไปได้รองเท้าหุ้มข้อด้วยจะช่วยได้เวลาเดินแล้วข้อเท้าจะไม่พลิกเยอะครับ เพราะต้องนึกถึงเวลาเดินลงหรือขึ้นบนพื้นที่เป็นหินกรวดๆ โอกาสเดินไถลได้เยอะมากครับ อาจจะทำให้ข้อเท้าพลิกได้ กันไว้ก่อนครับ
- เสื้อควรเป็นแบบหลายๆชั้น หรือที่เขาเรียกว่าใส่แบบหัวหอม ชั้นนอกเป็นกันน้ำ ต่อมากันลม และกันหนาว เป็น layer ไป เพราะเชื่อได้เลยครับ จากหนาวๆใส่เต็ม เดินๆไปจะอยากถอดทีละชิ้นออก สุดท้ายที่แทบจะเหลือตัวเดียว แต่พอนั่งพักทานข้าวร่างกาย cool down ก็จะเริ่มกลับมาหนาวใหม่ หรือเดินๆไปฝนตก ก็ต้องกลับมาใส่ชุดกันน้ำคลุม จึงควรเตรียมปรับเสื้อให้เหมาะกับทุกสถานการณ์ครับผม
- ชอบถ่ายรูป ก็คงไม่พ้นต้องแบกขาตั้งกล้องไป แนะนำหาตัวที่เบาๆครับ เพราะถ้าหนักนี่เป็นภาระระดับนึงเลย เพราะไหนเราจะต้องแบกเลนส์ กล้อง แถมด้วยเสื้อผ้าและอาหารไปอยู่แล้วด้วย เลือกเลนส์ตัวเก่งไปหรือสำรองไปแค่ตัวเดียวพอครับ หรือถ้าฟิตก็ไม่ว่ากันเน่อ ผมเห็นคนฟิตๆแบกเลนส์ 200mm ขึ้นมาแล้ว แต่ยิ่งหนักก็เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขานะคร้าบ
- น้ำดื่มขาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะต้องเดินทั้งวัน เน้นว่าจิบพอนะครับ อย่าซัดโฮก หากน้ำหมดระหว่างทาง สามารถตักดื่มจากแหล่งน้ำธรรมชาติได้ครับ เลือกเอาจากแหล่งที่ใกล้ต้นน้ำที่สุด ซึ่งในเอกสารของทาง National Park ทุกที่ก็เขียนว่าแหล่งน้ำใน Park สามารถทานได้ และผมเองก็ลองมาแล้วครับ คอนเฟิม
- เสบียง : มื้อเที่ยง, Energy Bar หรือ กล้วยหอมซักลูก ติดตัวไปสำหรับเวลาร่างกายเหนื่อยล้า ช่วยได้ครับ
- สุดท้ายๆ ติดพวกยาแก้ปวด, ยานวดคลายกล้ามเนื้อ (ถ้าพกหมอนวดไปได้คงเอาไปล่ะ อิอิ) และที่รัดเข่าหรือข้อเท้าเผื่อไป เพราะจะช่วยได้เวลาเข่ารับแรงกระแทกมากๆ ถ้าเกิดบาดเจ็บจะได้มีตัวช่วยสำหรับ trek วันต่อๆไปครับ ซื้อที่นู่นแพงมากแถมคุยไม่ค่อยรู้เรื่องด้วยนา เพราะผมพูด Spanish ม่ายล่าย



Pocket Wifi
สำหรับสาย social คงต้องหา pocket wifi เตรียมไปเป็นแน่ เพราะค่า roaming จากไทยไป มหาโหดทุกเจ้า แถมด้วยไม่มีโปรโมชั่นใดๆสำหรับประเทศแถบอเมริกาใต้ เอาล่ะในเมื่อมันแพง ... ว่าไปก็ต้องจัดมาลองซะหน่อย ก็ได้มารีวิวบ้าง ขอบอกเลยว่า ช้ามากกกกกกก... และสัญญาณถ้าไม่ใช่ในเมืองใหญ่ เช่น Buenos Aies, El Calafete นี่อย่าหวังแม้จะกด like ใดๆ คลื่นสัญญาณนี้นิ่งสนิท เจอ free wifi ตามปั๊มน้ำมันยังเร็วซะกว่าอีก หัวเราะ เอาว่า ถ้าอดใจได้ไม่ขา social จ๋าๆ จงไปหา wifi free ตามร้านหรือโรงแรมเล่นจะดีกว่าครับ เพราะสุดท้ายแล้วกว่าจะเจอสัญญาณก็แถวๆโรงแรมแล้วละคร้าบ ส่วนแผนที่ก็ให้หา Map HERE มาใช้ หรือโหลด offline ของ Google Map รอไว้ก่อนในจังหวะที่มี wifi ก่อนออกเดินทางครับ ... หรืออีกทางเลือกคือซื้อ sim local มาใช้ครับ แต่ trip ที่ผมไปมีข้ามไประหว่าง อาร์เจนติน่า ชิลี และกลับที่ บราซิล เลยไม่ได้มองเรื่อง sim local ก่อนไปครับ



การเช่ารถข้ามแดน
เอาล่ะ จะขออธิบายเพิ่มเติมเรื่องการเช่ารถขับข้ามแดนกันหน่อยครับ
- อย่างแรกทำใบขับขี่สากลจากประเทศไทยไปครับ
- เช่ารถในแถบนี้มีให้เลือกเยอะ ทั้งบริษัทชื่อดังข้ามชาติ และ local แต่แถวนี้จะหารถแบบ automatic ยากพอสมควร ถ้าเช่ารถใหญ่นี่ option จะเหลือแค่ไม่กี่รุ่น
- ถ้าจะขับรถข้าไปยัง Chile ต้องทำเรื่อง cross border permit มีค่าธรรมเนียมประมาณ 900ARS บางบริษัทต้องใช้เวลาในการเตรียมเอกสารหลายวันและต้องให้เราบินไปถึงก่อนถึงจะขอได้ แนะนำให้คุยกับบริษัทเช่ารถตั้งแต่ก่อนเดินทางครับ บางบริษัทไม่ให้ cross border ก็มีครับ
- ผมเช่ากับบริษัท local ชื่อ Nunatak เป็นรถ Hyundai H-1 เพราะเราไปกัน 6คน จัดการเรื่อง cross border permit ได้ไวครับ แต่สถาพรถที่ได้นั้น เก่ามากครับ ดอกยางเกือบโล้น ประตูรถก็เปิดยาก สรุปว่าลองหาเจ้าอื่นดีกว่าครับ ตอนนั้นที่เลือกเพราะหาเช่ารถขนาด 6ที่นั่งและขอ cross border ได้โดยไม่ต้องบินไปติดต่อทำเรื่องเองก่อน เจอที่บริษัทนี้ที่เดียว
- การขับรถที่นี่ ใช้ระบบชิดขวา ถนนในแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบสองเลนสวน รถไม่เยอะครับ ขับง่ายแต่พอใกล้ๆชายแดนก็จะเริ่มเจอถนนเป็นหลุมบ่อและส่วนมากเป็นถนนโรยกรวด
- ที่นี่ลมค่อนข้างแรง เวลาเปิดประตูก็ต้องจับให้มั่นและอย่าเปิดทิ้งไว้ครับ ประตูอาจกระชากเพราะลมพัดและทำให้ประตูรถเสียหายได้
- สำหรับการข้ามแดนไม่มีอะไรมาก จุดแรกคือผ่านตม.ออกจากประเทศอาร์เจนติน่า ก็จะตรวจเอกสาร passport และ cross border permit ของรถ พอไปถึงฝั่งชิลีก็ตรวจเข้าเมือง ที่เพิ่มเติมหลักๆคือของสด พวกเนื้อ ผลไม้ เมล็ดต่างๆ จะห้ามนำเข้าประเทศครับ มีการ scan กระเป๋าด้วย จะมียกเว้นก็พวกที่แปรรูปเป็นของกินแล้วอย่างแซนวิชหรือแฮมเบอร์เกอร์ อันนี้เจ้าหน้าที่เห็นแล้วให้ผ่านครับ
- Plan การเติมน้ำมันให้ดีครับ ถ้าจะขับไป Torres del Paine เพราะหลังจากช้ามแดนไปแล้วจะไม่มีปั๊มน้ำมันเลยในอุทยาน ถ้าจะเติมฝั่งชิลีต้องขับย้อนลงไปถึง Puerto Natales จุดที่จะเติมน้ำมันก่อนข้ามแดนสามารถดูได้ตามรูปเลยครับ ถ้าได้เติมเต็มถังก่อนไป การันดีครับ ไปกลับพอแน่นอน แถมเหลือขับเล่นๆใน Torres del Paine ได้อีกวันด้วย แต่อันนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามแต่วิธีการขับรถและชนิดของรถที่ท่านได้รับด้วยนะครับ


ค่าใช้จ่าย
สรุปได้ตามคารางเลยครับ ที่น่าจะลดได้จริงๆคือ ค่าอาหารและที่พัก เพราะพวกผมเน้นจัดเต็มเรื่องกินและที่พักเน้นสะดวกครับ อีกตัวแปรที่น่าจะลดค่าใช้จ่ายได้คือตั๋วเครื่องบินครับ หาโปรดีๆ ลดได้หลายหมื่นแน่นอน

www.facebook.com/catwannago
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่