เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 เมษา ที่ผ่านมาเราได้ นัดกับเพื่อนว่าเราจะไปเที่ยวกัน โดยสถานที่ๆพวกเราเลือกคือจังหวัด ตราด โดยพวกเราได้แพลนสถานที่กันไว้หลายเดือนแล้วและสถานที่ๆเราจะเดินทางไปจะไม่ใช่สถานที่ที่ฮิตๆกันในจังหวัด ตราด เช่น เกาะช้าง เกาะหมาก แต่เราจะไปเที่ยวสถานที่ภายในจังหวัด เพราะพวกเรามองว่าจังหวัด ตราด ไม่ได้มีดีแค่ เกาะ หรือ ทะเล
Day 1
วันแรก พวกเรานัดพบกันที่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เวลา 6 โมงเช้า (แต่มาไม่ตรงเวลากันสักคน 55 ) พวกเราส่งเพื่อนหนึ่งคนไปรับรถยนต์ที่จะใช้เดินทาง (ลืมบอกพวกเราเช่ารถขับไปเองน่ะ สะดวกดี)
2 ชั่วโมงผ่านไปรถก็ยังไม่มา รอจนเฉาแล้ว เพื่อนที่ไปรับรถไลน์มาบอก คนส่งรถตื่นสาย (โด๋ววว ไอ้สอง ตื่นสายอีก )
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถก็ยังไม่มา หลับไปหลายรายแล้ว เพื่อนที่ไปรับรถบอกว่ารถยางแตก 1 ล้อ เปลี่ยนยางแปป ( โอ้โหแล้ว 3 ล้อที่เหลือจะรอดไหมเนี่ย ยางแตกตั้งแต่ยังไม่ไปไหนเลย TT )
รถมาแล้ว สรุปกว่าจะได้ไป เกือบ 10 โมง ( จะถึง ตราด กี่โมงเนี่ย )
เราเดินทางโดยใช้เส้นทาง บางนา – ตราด สายสุขุมวิท โดยไม่ได้ขึ้นทางด่วน ระยะทาง 300 กว่ากิโลเมตร
ระหว่างทาง พักกินข้าวเที่ยง ( ร้อนมากอากาศตอนนั้น )
หลังจากเดินทางเข้าจังหวัด ตราด ที่แรกที่พวกเราวางแผนกันไว้ว่าจะไปคือ วัดบุปผาราม โดยทางเราโชคดีที่ระหว่างเดินเข้ามาวัดในมีหลวงพี่รูปหนึ่ง พาเดินชมสถานที่ต่างๆภายในวัด
นมัสการหลวงพ่อโห(อดีตเจ้าอาวาส)และพระเจ้าตากสินมหาราช
วัดแห่งนี้ มีอายุมากเกินกว่าร้อยปี เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดตราด ตามประวัติเล่าว่าในอดีต พระเจ้าตากสินมหาราช ได้เสด็จมาประทับและรวบรวมกำลังที่วัดแห่งนี้ ชื่อวัดบุปผาราม ที่มาของชื่อวัดนี้ได้มาจากคนแถวนั้นในสมัยก่อนได้กลิ่นหอมจากที่แถวนี้ แต่ไม่รู้ว่ากลิ่นนั้นมาจากไหน ชื่อของวัดนี้เลยถูกตั้งขึ้นว่า บุปผาราม
ในวัดแห่งนี้มีพระที่ถูกแกะสลักด้วยไม้ที่ถูกเก็บไว้มากว่าร้อยปี กรมศิลปากร ได้จัดทำนุบำรุงโดยที่ให้เหมือนเดิมที่สุด
ในอุโบสถ มีหลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปสมัยก่อน จุดเด่นคือ จะมีเล็บมือ เล็บเท้า สีขาวขุ่น และมีลักยิ้ม สร้างในช่วงสมัยรัชกาลที่5 และ รอบๆบนกำแพงทั่วห้องจะมีจิตกรรมฝาผนัง โดยในอดีตมีหญิงชาวจีนเดินทางมาที่วัดนี้ และได้สร้างจิตกรรมนี้ขึ้นโดยใช้สีจากธรรมชาติ
จำลองรอยพระพุทธบาท 4 ชั้น
พระนอน อายุร้อยปีเหมือนกัน หลังจากชมสถานที่และลาหลวงพี่เสร็จแล้ว เวลาตอนนั้นประมาณเกือบ 5 โมงครึ่งแล้ว แผนต่อไปคือจะเดินทางไปทะเล พร้อมหาที่พักคืนนี้
ในที่สุดก็ได้ที่พัก ที่ทะเลแถวหาดราชการุณย์เป้าหมายของการพักในวันนี้คือจะกางเต้นท์ แต่พี่เจ้าหน้าที่บอกกับพวกเราว่าที่นี่ฝนตกทุกวัน พวกเราเลยเช่าที่พักไว้คืนหนึ่ง ( และแล้วคืนนั้นฝนก็ตกจริงๆ 55 เกือบไป ) ตื่นเช้า ตี5 มาเราต้องรีบไปที่ ตลาดชายแดน บ้านหาดเล็ก เพื่อไปดูว่าเพื่อนบ้านเราที่อยู่แถวนั้นขายอะไรบ้าง
Day 2
แต่พอไปถึง ตลาดเริ่มวายแล้ว ไปไม่ทันแต่ยังพอได้เห็นว่าประเทศเพื่อนบ้านเรามีอะไรมาขายบ้าง สรุปก็จะมีพวกของใช้ไฟฟ้าทั่วไป โทรศัพท์ เสื้อผ้า เป็นต้น
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
อนุสรณ์นาวิกโยธิน
และที่นั้นเราได้เจอศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแถวนั้นด้วย ( และข้างๆก็มี อนุสรณ์นาวิกโยธินด้วยน่ะ ) เป็นสิ่งที่ชาวบ้านแถวนั้นกราบไหว้ นับถือ และพวกเราก็ไหว้และเดินทางกลับไปยังรีสอร์ท
พอพวกเรากลับมาถึงรีสอร์ท ก่อนที่พวกเราจะเช็คเอ้าออกตอน 12.00 น. พวกเราก็เลยลงไปเล่นน้ำทะเลกัน
พบพะยูนเกยตื้น แจ้งเจ้าหน้าที่ด่วน ( 555 )
หลังจากเล่นน้ำเสร็จ พวกเราก็เช็คเอ้าออกจากรีสอร์ทกัน และเดินทางไป แหลมงอบ แต่เราดันหลงทาง ไปที่สุดเขตชายแดนตะวันออกที่แห่งนี้เป็นท่าเรือเก่า ที่เงียบมาก
อะไรๆก็แหลมงอบ 555
อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5
ก่อนเดินทางต่อ พวกเราได้ซื้องอบเพื่อเป็นของฝาก
และเราไปแวะอนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้างเป็นสถานที่ที่สำคัญมากๆ มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับทหารเรือของคนไทยที่สู้จนหยดสุดท้าย การรบที่เกาะช้าง หรือที่รู้จักกันในนาม ยุทธนาวีเกาะช้าง เป็นเหตุการณ์รบทางเรือที่เกิดขึ้นในกรณีพิพาทไทย-อินโดจีนฝรั่งเศสอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ไทยเรียกร้องให้ปรับปรุงเส้นแบ่งเขตแดน ไทย-อินโดจีนฝรั่งเศส เสียใหม่ โดยใช้แนวร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม และให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสยึดไปจากเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ให้ไทย ยุทธภูมิในการรบครั้งนี้เกิดขึ้นที่บริเวณด้านใต้ของเกาะช้างจังหวัดตราด เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 และถือเป็นการรบทางทะเลครั้งเดียวในประวัติศาสตร์กองทัพเรือไทย และรัฐบาลฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อีกด้วย อ้างอิง วิกิพีเดีย พอได้ทราบประวัติของที่นี่แล้ว ซึ้งมาก( น้ำตาจะไหล )
แล้วเราก็พักกินอาหารเที่ยง ซึ่งเป็นร้านก๋วยเตี่ยว ที่ชาวบ้านแนะนำ ( อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ )
ร้านจันทราก๋วยเตี๋ยวทะเล ถ้าเครื่องหรือวัตถุดิบไม่ครบ ทางร้านจะไม่เปิดขาย อยู่ทางที่จะไปอนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้าง
หลังจาก กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ก่อนจะเข้าเมืองไปหาที่พัก ได้แวะที่ หาดทรายดำ ที่นี่เป็นป่าชายเลน ระหว่างทาง มีต้นโปรงแดง เต็มไปหมด
มีปลาตีนอยู่ด้วย
หอยขี้ค้อน
และมีคนเล่าว่าทรายดำที่หาดแห่ง นี้มีชื่อทางการว่า “ไลโมไนต์” (Limonite) เป็นแร่ที่เกิดจากการยุบตัวของเศษเหมืองและเปลือกหอยผสมด้วยควอตซ์ หรือเป็นแร่ที่เกิด จากการผุกร่อนของเหล็ก ในทางการแพทย์ไลโมไนต์ไม่มีผลทางการรักษาโรค แต่ก็ยังมีคนเชื่อกันว่าทรายที่นี่มีแร่ธาตุ อื่นอยู่อีกและสามารถทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ถ้าได้นำเท้าไปหมกทรายสักประมาณ 10-20 นาที หรือถ้าได้ไปเดินบน ชายหาดสีดำก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพเท้า
แช่เท้าไว้ในทราย เย็นสบาย พร้อมอากาศที่สดชื่น
ป่าชายเลนที่หาดทรายดำถือว่าเป็นป่าชายเลน ที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง ในภาคตะวันออก ซึ่งปัจจุบันทางกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง กระทรวงทรัพยาการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำเส้นทางท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ไปจนถึงยังพื้นที่หาดทรายดำ
ลมเย็นสบาย คล้ายอยากจะอยู่แบบยาวๆ ^^ หลังจากเที่ยววันนี้เสร็จแล้ว เป้าหมายสุดท้ายคือหาที่พักเพื่อพักผ่อนเตรียมสำหรับวันพรุ่งนี้
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป
[CR] " Secret of Trat " ไปตราด ไม่ได้ไปตลาด แฮร่! พบกับความลับมากมายในจังหวัดตราด ที่จะพาคุณ คุณ คุณ และก็คุณ ไปรู้จักกัน :)
Day 1
วันแรก พวกเรานัดพบกันที่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เวลา 6 โมงเช้า (แต่มาไม่ตรงเวลากันสักคน 55 ) พวกเราส่งเพื่อนหนึ่งคนไปรับรถยนต์ที่จะใช้เดินทาง (ลืมบอกพวกเราเช่ารถขับไปเองน่ะ สะดวกดี)
2 ชั่วโมงผ่านไปรถก็ยังไม่มา รอจนเฉาแล้ว เพื่อนที่ไปรับรถไลน์มาบอก คนส่งรถตื่นสาย (โด๋ววว ไอ้สอง ตื่นสายอีก )
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถก็ยังไม่มา หลับไปหลายรายแล้ว เพื่อนที่ไปรับรถบอกว่ารถยางแตก 1 ล้อ เปลี่ยนยางแปป ( โอ้โหแล้ว 3 ล้อที่เหลือจะรอดไหมเนี่ย ยางแตกตั้งแต่ยังไม่ไปไหนเลย TT )
รถมาแล้ว สรุปกว่าจะได้ไป เกือบ 10 โมง ( จะถึง ตราด กี่โมงเนี่ย )
เราเดินทางโดยใช้เส้นทาง บางนา – ตราด สายสุขุมวิท โดยไม่ได้ขึ้นทางด่วน ระยะทาง 300 กว่ากิโลเมตร
หลังจากเดินทางเข้าจังหวัด ตราด ที่แรกที่พวกเราวางแผนกันไว้ว่าจะไปคือ วัดบุปผาราม โดยทางเราโชคดีที่ระหว่างเดินเข้ามาวัดในมีหลวงพี่รูปหนึ่ง พาเดินชมสถานที่ต่างๆภายในวัด
วัดแห่งนี้ มีอายุมากเกินกว่าร้อยปี เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดตราด ตามประวัติเล่าว่าในอดีต พระเจ้าตากสินมหาราช ได้เสด็จมาประทับและรวบรวมกำลังที่วัดแห่งนี้ ชื่อวัดบุปผาราม ที่มาของชื่อวัดนี้ได้มาจากคนแถวนั้นในสมัยก่อนได้กลิ่นหอมจากที่แถวนี้ แต่ไม่รู้ว่ากลิ่นนั้นมาจากไหน ชื่อของวัดนี้เลยถูกตั้งขึ้นว่า บุปผาราม
ในวัดแห่งนี้มีพระที่ถูกแกะสลักด้วยไม้ที่ถูกเก็บไว้มากว่าร้อยปี กรมศิลปากร ได้จัดทำนุบำรุงโดยที่ให้เหมือนเดิมที่สุด
ในอุโบสถ มีหลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปสมัยก่อน จุดเด่นคือ จะมีเล็บมือ เล็บเท้า สีขาวขุ่น และมีลักยิ้ม สร้างในช่วงสมัยรัชกาลที่5 และ รอบๆบนกำแพงทั่วห้องจะมีจิตกรรมฝาผนัง โดยในอดีตมีหญิงชาวจีนเดินทางมาที่วัดนี้ และได้สร้างจิตกรรมนี้ขึ้นโดยใช้สีจากธรรมชาติ
พระนอน อายุร้อยปีเหมือนกัน หลังจากชมสถานที่และลาหลวงพี่เสร็จแล้ว เวลาตอนนั้นประมาณเกือบ 5 โมงครึ่งแล้ว แผนต่อไปคือจะเดินทางไปทะเล พร้อมหาที่พักคืนนี้
ในที่สุดก็ได้ที่พัก ที่ทะเลแถวหาดราชการุณย์เป้าหมายของการพักในวันนี้คือจะกางเต้นท์ แต่พี่เจ้าหน้าที่บอกกับพวกเราว่าที่นี่ฝนตกทุกวัน พวกเราเลยเช่าที่พักไว้คืนหนึ่ง ( และแล้วคืนนั้นฝนก็ตกจริงๆ 55 เกือบไป ) ตื่นเช้า ตี5 มาเราต้องรีบไปที่ ตลาดชายแดน บ้านหาดเล็ก เพื่อไปดูว่าเพื่อนบ้านเราที่อยู่แถวนั้นขายอะไรบ้าง
Day 2
แต่พอไปถึง ตลาดเริ่มวายแล้ว ไปไม่ทันแต่ยังพอได้เห็นว่าประเทศเพื่อนบ้านเรามีอะไรมาขายบ้าง สรุปก็จะมีพวกของใช้ไฟฟ้าทั่วไป โทรศัพท์ เสื้อผ้า เป็นต้น
และที่นั้นเราได้เจอศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแถวนั้นด้วย ( และข้างๆก็มี อนุสรณ์นาวิกโยธินด้วยน่ะ ) เป็นสิ่งที่ชาวบ้านแถวนั้นกราบไหว้ นับถือ และพวกเราก็ไหว้และเดินทางกลับไปยังรีสอร์ท
พอพวกเรากลับมาถึงรีสอร์ท ก่อนที่พวกเราจะเช็คเอ้าออกตอน 12.00 น. พวกเราก็เลยลงไปเล่นน้ำทะเลกัน
หลังจากเล่นน้ำเสร็จ พวกเราก็เช็คเอ้าออกจากรีสอร์ทกัน และเดินทางไป แหลมงอบ แต่เราดันหลงทาง ไปที่สุดเขตชายแดนตะวันออกที่แห่งนี้เป็นท่าเรือเก่า ที่เงียบมาก
ก่อนเดินทางต่อ พวกเราได้ซื้องอบเพื่อเป็นของฝาก
และเราไปแวะอนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้างเป็นสถานที่ที่สำคัญมากๆ มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับทหารเรือของคนไทยที่สู้จนหยดสุดท้าย การรบที่เกาะช้าง หรือที่รู้จักกันในนาม ยุทธนาวีเกาะช้าง เป็นเหตุการณ์รบทางเรือที่เกิดขึ้นในกรณีพิพาทไทย-อินโดจีนฝรั่งเศสอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ไทยเรียกร้องให้ปรับปรุงเส้นแบ่งเขตแดน ไทย-อินโดจีนฝรั่งเศส เสียใหม่ โดยใช้แนวร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักความยุติธรรม และให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสยึดไปจากเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ให้ไทย ยุทธภูมิในการรบครั้งนี้เกิดขึ้นที่บริเวณด้านใต้ของเกาะช้างจังหวัดตราด เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 และถือเป็นการรบทางทะเลครั้งเดียวในประวัติศาสตร์กองทัพเรือไทย และรัฐบาลฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อีกด้วย อ้างอิง วิกิพีเดีย พอได้ทราบประวัติของที่นี่แล้ว ซึ้งมาก( น้ำตาจะไหล )
แล้วเราก็พักกินอาหารเที่ยง ซึ่งเป็นร้านก๋วยเตี่ยว ที่ชาวบ้านแนะนำ ( อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ )
ร้านจันทราก๋วยเตี๋ยวทะเล ถ้าเครื่องหรือวัตถุดิบไม่ครบ ทางร้านจะไม่เปิดขาย อยู่ทางที่จะไปอนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้าง
หลังจาก กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ก่อนจะเข้าเมืองไปหาที่พัก ได้แวะที่ หาดทรายดำ ที่นี่เป็นป่าชายเลน ระหว่างทาง มีต้นโปรงแดง เต็มไปหมด
และมีคนเล่าว่าทรายดำที่หาดแห่ง นี้มีชื่อทางการว่า “ไลโมไนต์” (Limonite) เป็นแร่ที่เกิดจากการยุบตัวของเศษเหมืองและเปลือกหอยผสมด้วยควอตซ์ หรือเป็นแร่ที่เกิด จากการผุกร่อนของเหล็ก ในทางการแพทย์ไลโมไนต์ไม่มีผลทางการรักษาโรค แต่ก็ยังมีคนเชื่อกันว่าทรายที่นี่มีแร่ธาตุ อื่นอยู่อีกและสามารถทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ถ้าได้นำเท้าไปหมกทรายสักประมาณ 10-20 นาที หรือถ้าได้ไปเดินบน ชายหาดสีดำก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพเท้า
แช่เท้าไว้ในทราย เย็นสบาย พร้อมอากาศที่สดชื่น
ป่าชายเลนที่หาดทรายดำถือว่าเป็นป่าชายเลน ที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง ในภาคตะวันออก ซึ่งปัจจุบันทางกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง กระทรวงทรัพยาการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำเส้นทางท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ไปจนถึงยังพื้นที่หาดทรายดำ
ลมเย็นสบาย คล้ายอยากจะอยู่แบบยาวๆ ^^ หลังจากเที่ยววันนี้เสร็จแล้ว เป้าหมายสุดท้ายคือหาที่พักเพื่อพักผ่อนเตรียมสำหรับวันพรุ่งนี้
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป