อันตรกาล... ห้วงเวลาพิศวง
อันนี้ตอนที่แล้วๆ มาค่ะ>>
บทนำ
https://ppantip.com/topic/36334728
บทที่๑
https://ppantip.com/topic/36337850
( ก่อนอื่น ขอบคุณ ที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ, ขออภัยถ้าสะกดผิด, สำนวนยังไม่ดีสักเท่าไหร่, แถมถ้าใครอ่านแล้วคุ้นๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะ เพราะเคยเขีนในเว็บหนึ่ง ช่วงปี ๒๕๕๕ แต่ค้างเติ่ง! ไม่จบ แหะๆ, และท้ายสุดนี้.. ขอให้มีความสุขในการอ่านค่ะ )
ตอนที่ ๒
ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน ในวันที่พิริยาเป็นแค่นักศึกษาปีสี่ที่ชีวิตแสนธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแค่เธอต้องตื่นก่อนไก่และก่อนใครๆ ในบ้าน เพื่อช่วยแม่เอื้องทำงานบ้าน ซึ่งควรเรียกว่าคฤหาสน์จึงจะถูก และถึงแม้ต้องกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง เธอก็ช่วยแม่ทำงานบ้านได้เสร็จเรียบร้อย เพียงเฉพาะห้องน้ำชั้นล่าง กับห้องรับรองแขกเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า สัดส่วนพื้นที่เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ แม่เอื้องต้องรับผิดชอบในการทำความสะอาดทั้งหมด
ผ่านสองชั่วโมงแรกของวัน ก็แทบไม่เหลือแรงทำอย่างอื่นต่อ แต่ทำยังไงได้ เธอยังต้องรีบปั่นจักรยานไปรับหนังสือพิมพ์กับวารสารที่ร้านเจ๊ม่วย เพื่อนำไปส่งลูกค้ายังคฤหาสน์แต่ละหลังในหมู่บ้าน ซึ่งต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนเจ็ดโมงเช้า
. . .
อากาศยามเช้า หลังพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าได้ไม่นานนัก เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการนั่งจิบกาแฟควบคู่ไปกับอ่านหนังสือพิมพ์รับอรุณ
พิริยาซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบมอมแมมเล็กน้อยกับเจ้าดอกรัก จักรยานคันเก่าคู่ใจกำลังมุ่งหน้าไปบนถนนสายเล็กซึ่งทอดยาวเข้าสู่หมู่บ้านเศรษฐีอันปรากฏชัดเจนด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปหรูเลิศและยังมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาล
หญิงสาวปั่นจักรยานช้าๆ ผ่านแนวยาวของต้นตะแบกที่กำลังออกดอกสีม่วงอมชมพู พนักงานรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านยินดีเสมอที่จะเปิดทางให้สาวน้อยตัวเล็กๆ ไร้พิษภัยอย่างเธอผ่านเข้าไปได้โดยง่าย และคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันตกก็คือเป้าหมายแรกของเธอในวันนี้
“หนังสือพิมพ์มาแล้วค่า”ตะโกนพร้อมกับโยนสินค้าข้ามรั้วเข้าไป อันเนื่องมาจากว่าบ้านนี้เป็นหลังเดียวที่ตู้รับหนังสือพิมพ์ชำรุด
ความหรูหราของบ้าน ดึงดูดสายตาเธอให้ต้องมองเข้าไปถึงด้านใน หญิงสาวเผลอฝันเฟื่องไปว่า สักวันจะมีบ้านหลังใหญ่แบบนี้ ...
เธอเป็นสุขอยู่กับความฝันได้เพียงไม่นาน เสียงแปลกๆ ก็ดังขึ้น
แฮ่!!! ...
ร็อตไวเล่อร์ขนาดตัวมหึมา กำลังยืนแยกเขี้ยวอยู่ข้างหลัง!
ความตกใจ ทำให้เธอเกือบวิ่งแบบทิ้งจักรบาน ทว่าคิดขึ้นได้ หากวิ่งหนี เจ้าหมอนี่คงยิ่งวิ่งไล่ และคงไม่รอดหนักเข้าไปใหญ่
หญิงสาวทำใจดีสู้เสือ สองมือโบกสะบัด ยิ้มอย่างต้องการผูกมิตร
“หวัดดีเพื่อน ใจเย็นก่อนนะ ฉะ... ฉัน ... ฉันมาดีนะ เอ่อ เราพอจะเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”
ไม่ได้ผล!
เจ้าหมายักษ์ส่งเสียงขู่คำราม น้ำลายยืด หยดติ๋งๆ อย่างกับหิวโซมาสามวันสามคืน
หรือว่าต้องแกล้งตาย... แต่นั่นมันใช้กับหมี!
แฮ่!!! ...
เสียงคำรามดังขึ้นอีก คราวนี้ดวงตาของเจ้าหมายักษ์แดงฉาน
ยังจะรอช้าอยู่ไย ละทิ้งจักรยาน ซอยเท้ารัวๆ วิ่งแบบสวมวิญญาณนักกีฬาทีมชาติ ขณะที่เสียงเห่าสะเทือนเลื่อนลั่น พร้อมฝีเท้าไวๆ ของเจ้าหมายักษ์ตามมาติดๆ เธอชักจะเหนื่อยหอบ ตาลาย อุปาทานไปว่าท่านยม กับสุวรรณ สุวาน พากันมายืนกวักมือเรียกอยู่ข้างหน้า ซึ่งก็เป็นวินาทีเดียวกับที่เธอเสียหลัก สะดุดล้มกองอยู่กับขอบฟุตบาธ!!
“โอย...ย” เธอร้องโอดครวญ หัวใจก็ยังเต้นตึกๆ ทั้งเจ็บทั้งกลัวหมา ยกมือลูบหัวเข่าน้ำตาเล็ด เงยหน้าขึ้นพบว่าเจ้าหมายักษ์วิ่งมาถึงตรงหน้านี่แล้ว มันส่งเสียงคำราม แฮ่!! คมเขี้ยวสีเงินสะท้อนแดดวาววับ
ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่เรา...
แต่แล้วฟ้าก็เป็นใจ หันไปเจอะกับท่อนไม้ขนาดเท่าแขน เหมาะเหม็งพอดีมือ สถานการณ์คับขันแบบนี้ จะให้มานึกถึงหลักมนุษยธรรมก็คงจะไม่ได้การ เหอะน่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ว่าแล้วไม้ท่อนใหญ่ในมือก็เงื้อขึ้นสูงสุดหัว
“ตายซะเหอะไอ้หมาบ้า!”
“เฮ้ย! จะทำอะไรน่ะ!!”
เสียงดุดันดังขึ้น พร้อมการปรากฏตัวของชายหนุ่มรูปร่างบึกบึน ซึ่งทะยานเข้ามารับเคราะห์ ท่อนไม้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบหกนิ้ว แทนที่จะพุ่งลงกลางกบาลเจ้าหมายักษ์ เลยฟาดผางลงกลางแขนล่ำของเขา เสียงดัง โป๊ก!
“โอ๊ยยยย” เขาร้องลั่น
พิริยาหน้าซีด ทั้งชา และเย็นยะเยือก ปล่อยทิ้งท่อนไม้ วิ่งหนีทันที
แต่ไม่ทัน! เขากางแขนอีกข้างที่ไม่บาดเจ็บ และรวบตัวเธอเอาไว้ทัน
“จะหนีไปไหน เธอจะทำร้ายหมาฉันไม่พอ ยังทำร้ายฉันด้วย!”
“ฉันไม่ได้ทำ ปล่อยนะ!” เธอเถียงเสียงแข็ง “หมานายมันจะขย้ำฉันก่อน ไม่เห็นเหรอ”
แต่ชายหนุ่มไม่สนข้อแก้ตัวของเธอ
“เธอโกหก! เจ้าดุ้กดิ้กมันไม่มีทางทำร้ายใครก่อน”
โอย! อยากเอาหัวโขกกำแพง หมาตัวเท่าหมีควาย กล้าตั้งชื่อดุ้กดิ้ก?!
ซึ่งชายหนุ่มไม่ยอมลดราวาศอก หญิงสาวออกแรงดิ้นทุลักทุเล แต่ด้วยสาเหตุที่แขนข้างหนึ่งของเขาบาดเจ็บ จึงยื้อเธอไว้ได้ไม่นาน สุดท้ายเธอหลุดรอดออกมาจนได้
พิริยาตั้งท่าจะวิ่งหนี เขาส่งเสียงตะโกนไล่หลัง
“ทำผิดแล้วยังคิดจะหนีอีกเหรอ”
ซึ่งก็ได้ผลเสียด้วย หญิงสาวชะงักทันที
“พูดให้ดีนะคุณ ใครกันที่เป็นฝ่ายผิด”
กลิ่นละมุดเน่าที่โชยหึ่งออกมาจากตัวเขา ทำให้พอเดาได้ว่าทำไม เจ้าหมายักษ์ถึงออกอาละวาด ระรานคนอื่นแบบนี้ หญิงสาวยกมือขึ้นเท้าเอว มองเขา พร้อมตวัดหางตาไปยังเจ้าหมายักษ์ ซึ่งกำลังยืนตัวตรงผึ่งผาย เคียงข้างเจ้านายราวกับองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์
“ดุ้กดิ้ก นั่งลง!” เขาหันไปออกคำสั่งเฉียบขาด เจ้าของชื่อกระดิกหาง และนั่งลงอย่างว่าง่าย “เห็นไหม มันออกจะเชื่อง ถ้าเธอไม่ไปทำรุนแรงกับมันก่อน”
ชายหนุ่มยักคิ้วบอก พิริยากัดฟันกรอดอย่างเขม่นเข่นเขี้ยว นึกอยากเอาไม้ท่อนนั้นขึ้นมาฟาดหัวหมาโชว์เจ้านายของมันไปซักสองสามที
“ถ้าเป็นห่วงมันจริงๆ ทำไมไม่ดูแลให้ดีล่ะ ปล่อยให้ออกมาเพ่นพ่าน ไล่กัดชาวบ้านแบบนี้ แล้วขอแนะนำด้วยความหวังดีนะ หัดเจียดเวลาเล็กๆ น้อยๆ จากการกินเหล้ามาดูแลเอาใจใส่ และให้อาหารมันบ้าง เพราะไม่งั้นมันอาจไปหม่ำน่องใครเข้าซักวัน”
ชายหนุ่มยักไหล่ ไล่สายตามองร่างเล็กอย่างสำรวจตรวจตรา ด้วยความสูงที่ไม่น่าจะเกินเมตรครึ่ง ภายใต้เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นมอมแมมของเธอ ปรากฏเป็นรอยแผลถลอก ไล่สายตาขึ้นจนถึงข้อศอก พบว่ามีแผลเช่นกัน และมีเลือดไหลซิบตรงข้อศอกทั้งสองข้าง
“โอเคๆ ขอโทษ”
จู่ๆ เสียงเขาก็อ่อนลง
“ฉันเองที่ผิด... แต่รู้อะไรมั้ย ข้อแรกนะ คือฉันไม่ได้ห่วงหมา ฉันห่วงเธอ เจ้าตัวนี้มันเป็นหมาตำรวจ ต่อให้ฟาดมันจนหัวแตกเลือดอาบ นอกจากมันจะไม่วิ่งหนีหางจุกตูดแล้ว มันยังจะโต้ตอบจนถึงตาย และข้อสองก็คือ ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของมัน แล้วการที่ฉันจะไปแฮงค์เอ๊าท์กับเพื่อนกับฝูง มันก็เป็นเรื่องปกติของฉัน ไม่ทราบว่าเป็นการล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของใครหรือครับ คุณผู้หญิง”
พิริยาเม้มปากแน่น เฮอะ! เสียเวลาพรรณนาถึงเรื่องสามัญสำนึก แล้วนี่มันก็เจ็ดโมงกว่า ต้องรีบกลับบ้านไปเตรียมตัว ถึงไม่มีเรียนเช้า แต่เธอมีนัดPresent งานใหญ่ เป็นโปรเจ็กต์สำคัญ ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเธอจะเรียนจบหรือไม่
“เอาล่ะ ฉันไม่อยากเสียเวลากับเรื่องหมาๆ ฉันยกโทษให้คุณกับหมาคุณก็ได้” หญิงสาวบอกและหันหลัง เดินกลับ
“เดี๋ยวก่อนสิ” เขาปราดมา กางแขนข้างหนึ่ง สกัดกั้นไม้ให้เธอเดินไป หญิงสาวนิ่วหน้า ยกมือเท้าเอว
“อะไรของคุณอีก!”
“จะปล่อยเธอไปทั้งที่ยังมีแผลเต็มตัวแบบนี้ได้ยังไง” เขาพูด พลางย่อตัวนั่งลง ระดับความสูงของสายตาเขา พอดีกับบาดแผลบนเข่าเธอ หญิงสาวผวาถอยหลังอย่างฉับพลัน
“จะทำอะไรของคุณ” ถลึงตาดุ กวาดมองหาเจ้าท่อนไม้ที่ปล่อยหลุดมือไปเมื่อตะกี้ เขาส่ายหัวยิ้มๆ รีบยกสองมือขึ้นโบกสะบัด
“เปล่าๆ ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ” ก่อนจะชี้มือมาที่รอยแผลซึ่งเลือดไหลออกมากขึ้น “ดูแผลเธอซะก่อนสิ!” พร้อมกับลุกขึ้น คว้าข้อมือเล็ก
“มานี่ๆ ฉันจะทำแผลให้” แต่หญิงสาวรีบดึงมือกลับโดยเร็ว
“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“อย่าดื้อน่า”
“บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ ว๊ายยย!” ไม่ทันพูดจบ เขาก็อุ้มเธอขึ้นพาดบ่า
“ปล่อยฉันนะ อีตาบ้า!” ร่างเล็กเบาหวิวดิ้นแด่วๆ บนบ่าของเขา ราวกับเด็กน้อยโดนคุณพ่ออุ้มไปอาบน้ำ
ชายหนุ่มก้าวขาเร็วๆ พาเธอเดินเข้าไปในบ้าน เสียงแหลมแสบแก้วหูของเธอ ยังตะโกนโหวกเหวก... “ช่วยด้วย! ปล่อยฉันนะ ไอ้คนบ้า! ไอ้คนโรคจิต” ไปจนตลอดทาง
กว่าจะอุ้มสาวฤทธิ์แยะเข้ามาถึงในบ้านได้สำเร็จชายหนุ่มก็ลิ้นห้อย แต่ดูเหมือนเธอจะสิ้นฤทธิ์ไปเสียแล้วตอนนี้
“จับตัวฉันมาทำไม ปล่อยฉันเถอะนะ” หัวใจเธอเต้นระทึกขณะถูกวางลงบนโซฟายาว แถมเมื่อมองไปรอบๆ ภายในตัวบ้านอันกว้างขวาง ก็ดูมืดทึบด้วยผ้าม่านรอบทิศทาง ข้าวของระเกะระกะอย่างกับโกดังเก็บพักยาเสพติด
“ฉันไม่ได้จับตัวเธอมาทำอะไร ก็แค่เห็นว่าเธอกำลังจะเป็นลม” ปราการบอก และหญิงสาวกำลังจะอ้าปากว่าเขา
แต่ชายหนุ่มชิงพูดอย่างรู้ทัน “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รออยู่นี่แหละ ฉันไปเอาน้ำดื่มกับยามาให้ เดี๋ยวมา... อ้อ แล้วถ้ากลัวว่าฉันจะทำอะไรเธอ เอานี่ไว้...” เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงขาสั้นมอซอ ภายใต้เสื้อคลุม ยื่นให้กับเธอ “โทร.บอกที่บ้านเธอ หรือกด 191 ได้ทุกเวลา” ก่อนจะเดินหายเข้าไปยังห้องอีกห้อง
ปราการกลับเข้ามาในห้อง เปิดลิ้นชักหยิบสมุดเช็คออกมา ระบุตัวเลขยอดเงินสองหมื่นบาทก่อนตวัดลายเซ็นเสร็จเรียบร้อย
คงไม่หาว่าฉันเอาเงินฟาดหัวเธอหรอกนะ... เขายิ้มกับตัวเอง ขณะพับเช็คใบนั้นใส่กระเป๋าเสื้อคลุม และเดินไปหากระปุกยา ก่อนจะพบว่ามันถูกวางอยู่ที่เดิม บนหลังตู้เสื้อผ้า ทำให้หวนนึกถึงใครคนหนึ่ง และพลันเจ็บปวดขึ้นในหัวใจ
“หนุ่มโสดอยู่บ้านคนเดียว ต้องมีFirst Aid Boxติดไว้มั่งนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ก็ผมมีคุณพยาบาลคนสวยอยู่นี่แล้วทั้งคน”
“ใช่ว่าลิลลี่จะอยุ่ดูแลคุณ ได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงซักหน่อยนี่คะ เกิดคุณป่วยหรือมีดบาดเล็กๆ น้อยๆ จะโทรเรียกรถพยาบาลมาก็ใช่ที่”
ภาพรอยยิ้มของลลนา ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
หากทว่า ตอนนี้มันกลับโดนแทนที่ด้วยภาพงานฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ยี่สิบห้า และลลนาก้าวขึ้นบนเวที เพื่อประกาศว่า เธอกำลังจะแต่งงานกับร้อยตำรวจเอกปราบศึก พี่ชายแท้ๆ ของเขาเอง
ปราการสะบัดหน้าอย่างกับจะหนีความจริงนั้นพ้น
เขารีบพาตัวเอง พร้อมกับกล่องยา กลับออกมาด้านนอก
พิริยาเผลองีบหลับไปแค่เสี้ยวนาที แต่สะดุ้งตัวตอนได้ยินเสียงกระเอมเบาๆ ชายหนุ่มนั่งลงพร้อมด้วยกระปุกยา
“เอ ... หรือฉันควรพาเธอไปส่งโรงพยาบาลดี ฮึ?”
ได้ยินคำว่าโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ พิริยาถึงกับใจสั่นลำคอแห้งผาก หมอ พยาบาล เข็มแหลมๆ และบรรดาอุปกรณ์ทางการแพทย์สารพัดชนิด โผล่ขึ้นมาในหัว น่าขนลุกชะมัด!
“ไม่ต้อง! เอ่อ...คือ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก” เธอว่า ก่อนจะกระดืบตัวไปเอื้อมมือหยิบกระปุกยา แต่แม้จะยื่นมือจนสุดแขนก็ยังเอื้อมไม่ถึง
“ขยับมาใกล้ๆ นี่ ฉันจะช่วยทำแผล” ก่อนจะเลื่อนมือไปเปิดกล่องยาหยิบขวดยากับสำลีขึ้นมา แต่พิริยากระเถิบตัวถอย ดวงตากลมป๊อกนั้นจ้องเป๋งมาที่สำลีชุบน้ำยาในมือเขา
“เอ๊า! จะหนีไปไหน บอกให้เข้ามาใกล้ๆ” เขาบอก และโดยไม่ให้เสียเวลา เขาเป็นฝ่ายขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ เธอเอง และถือวิสาสะคว้าแขนเธอ ฝ่ายนั้นกระตุกแขนออกอย่างอัตโนมัติ
“ไม่ต้อง ฉันทำแผลเองก็เป็น” ปฏิเสธเสียงสั่นๆ กลัวนักกลัวหนากับเรื่องหยูกยา ขนาดตอนตกต้นมะม่วง ข้อเท้าซ้น ยังอดทนแกล้งทำว่าไม่เป็นอะไร จนผ่านไปหนึ่งวัน เท้าบวมเป่งเป็นเท้าช้าง ถึงได้ยอมไปโรงพยาบาล
ชายหนุ่มมองพฤติกรรมเหมือนเด็กเล็กๆ ที่กลัวหมอ ก็อดไม่ที่จะรู้สึกเอ็นดูเธอขึ้นมาจับใจ พูดไปอมยิ้มไปว่า
“นี่น้ำเกลือ ไม่แสบเหมือนแอลกอฮอล์หรอก เชื่อผมสิ เอาแขนมา ไม่งั้น ผมพาไปโรงพยาบาลจริงๆ นะ” จู่ๆ ก็ยกโรงพยาบาลขึ้นมาขู่ หญิงสาวแก้มตูม หน้าบูดเล็กน้อย ยื่นแขนมาให้ทันที
ปราการค่อยๆ ใช้สำลีชุบน้ำเกลือ เช็ดลงบนบาดแผลอย่างเบามือ หญิงสาวหลับตาปี๋ ชายหนุ่มเผลอมองเสี้ยวหน้าเนียนๆ ซึ่งตอนนี้เริ่มชมพูระเรื่อ คล้ายกับว่า ...เขาเคยเห็นเธอคนนี้ ที่ไหนสักแห่ง
อันตรกาล... ห้วงเวลาพิศวง
อันนี้ตอนที่แล้วๆ มาค่ะ>>
บทนำ https://ppantip.com/topic/36334728
บทที่๑ https://ppantip.com/topic/36337850
( ก่อนอื่น ขอบคุณ ที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ, ขออภัยถ้าสะกดผิด, สำนวนยังไม่ดีสักเท่าไหร่, แถมถ้าใครอ่านแล้วคุ้นๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะ เพราะเคยเขีนในเว็บหนึ่ง ช่วงปี ๒๕๕๕ แต่ค้างเติ่ง! ไม่จบ แหะๆ, และท้ายสุดนี้.. ขอให้มีความสุขในการอ่านค่ะ )
ตอนที่ ๒
ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน ในวันที่พิริยาเป็นแค่นักศึกษาปีสี่ที่ชีวิตแสนธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแค่เธอต้องตื่นก่อนไก่และก่อนใครๆ ในบ้าน เพื่อช่วยแม่เอื้องทำงานบ้าน ซึ่งควรเรียกว่าคฤหาสน์จึงจะถูก และถึงแม้ต้องกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง เธอก็ช่วยแม่ทำงานบ้านได้เสร็จเรียบร้อย เพียงเฉพาะห้องน้ำชั้นล่าง กับห้องรับรองแขกเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า สัดส่วนพื้นที่เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ แม่เอื้องต้องรับผิดชอบในการทำความสะอาดทั้งหมด
ผ่านสองชั่วโมงแรกของวัน ก็แทบไม่เหลือแรงทำอย่างอื่นต่อ แต่ทำยังไงได้ เธอยังต้องรีบปั่นจักรยานไปรับหนังสือพิมพ์กับวารสารที่ร้านเจ๊ม่วย เพื่อนำไปส่งลูกค้ายังคฤหาสน์แต่ละหลังในหมู่บ้าน ซึ่งต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนเจ็ดโมงเช้า
. . .
อากาศยามเช้า หลังพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าได้ไม่นานนัก เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการนั่งจิบกาแฟควบคู่ไปกับอ่านหนังสือพิมพ์รับอรุณ
พิริยาซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบมอมแมมเล็กน้อยกับเจ้าดอกรัก จักรยานคันเก่าคู่ใจกำลังมุ่งหน้าไปบนถนนสายเล็กซึ่งทอดยาวเข้าสู่หมู่บ้านเศรษฐีอันปรากฏชัดเจนด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปหรูเลิศและยังมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาล
หญิงสาวปั่นจักรยานช้าๆ ผ่านแนวยาวของต้นตะแบกที่กำลังออกดอกสีม่วงอมชมพู พนักงานรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านยินดีเสมอที่จะเปิดทางให้สาวน้อยตัวเล็กๆ ไร้พิษภัยอย่างเธอผ่านเข้าไปได้โดยง่าย และคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันตกก็คือเป้าหมายแรกของเธอในวันนี้
“หนังสือพิมพ์มาแล้วค่า”ตะโกนพร้อมกับโยนสินค้าข้ามรั้วเข้าไป อันเนื่องมาจากว่าบ้านนี้เป็นหลังเดียวที่ตู้รับหนังสือพิมพ์ชำรุด
ความหรูหราของบ้าน ดึงดูดสายตาเธอให้ต้องมองเข้าไปถึงด้านใน หญิงสาวเผลอฝันเฟื่องไปว่า สักวันจะมีบ้านหลังใหญ่แบบนี้ ...
เธอเป็นสุขอยู่กับความฝันได้เพียงไม่นาน เสียงแปลกๆ ก็ดังขึ้น
แฮ่!!! ...
ร็อตไวเล่อร์ขนาดตัวมหึมา กำลังยืนแยกเขี้ยวอยู่ข้างหลัง!
ความตกใจ ทำให้เธอเกือบวิ่งแบบทิ้งจักรบาน ทว่าคิดขึ้นได้ หากวิ่งหนี เจ้าหมอนี่คงยิ่งวิ่งไล่ และคงไม่รอดหนักเข้าไปใหญ่
หญิงสาวทำใจดีสู้เสือ สองมือโบกสะบัด ยิ้มอย่างต้องการผูกมิตร
“หวัดดีเพื่อน ใจเย็นก่อนนะ ฉะ... ฉัน ... ฉันมาดีนะ เอ่อ เราพอจะเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”
ไม่ได้ผล!
เจ้าหมายักษ์ส่งเสียงขู่คำราม น้ำลายยืด หยดติ๋งๆ อย่างกับหิวโซมาสามวันสามคืน
หรือว่าต้องแกล้งตาย... แต่นั่นมันใช้กับหมี!
แฮ่!!! ...
เสียงคำรามดังขึ้นอีก คราวนี้ดวงตาของเจ้าหมายักษ์แดงฉาน
ยังจะรอช้าอยู่ไย ละทิ้งจักรยาน ซอยเท้ารัวๆ วิ่งแบบสวมวิญญาณนักกีฬาทีมชาติ ขณะที่เสียงเห่าสะเทือนเลื่อนลั่น พร้อมฝีเท้าไวๆ ของเจ้าหมายักษ์ตามมาติดๆ เธอชักจะเหนื่อยหอบ ตาลาย อุปาทานไปว่าท่านยม กับสุวรรณ สุวาน พากันมายืนกวักมือเรียกอยู่ข้างหน้า ซึ่งก็เป็นวินาทีเดียวกับที่เธอเสียหลัก สะดุดล้มกองอยู่กับขอบฟุตบาธ!!
“โอย...ย” เธอร้องโอดครวญ หัวใจก็ยังเต้นตึกๆ ทั้งเจ็บทั้งกลัวหมา ยกมือลูบหัวเข่าน้ำตาเล็ด เงยหน้าขึ้นพบว่าเจ้าหมายักษ์วิ่งมาถึงตรงหน้านี่แล้ว มันส่งเสียงคำราม แฮ่!! คมเขี้ยวสีเงินสะท้อนแดดวาววับ
ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่เรา...
แต่แล้วฟ้าก็เป็นใจ หันไปเจอะกับท่อนไม้ขนาดเท่าแขน เหมาะเหม็งพอดีมือ สถานการณ์คับขันแบบนี้ จะให้มานึกถึงหลักมนุษยธรรมก็คงจะไม่ได้การ เหอะน่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ว่าแล้วไม้ท่อนใหญ่ในมือก็เงื้อขึ้นสูงสุดหัว
“ตายซะเหอะไอ้หมาบ้า!”
“เฮ้ย! จะทำอะไรน่ะ!!”
เสียงดุดันดังขึ้น พร้อมการปรากฏตัวของชายหนุ่มรูปร่างบึกบึน ซึ่งทะยานเข้ามารับเคราะห์ ท่อนไม้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบหกนิ้ว แทนที่จะพุ่งลงกลางกบาลเจ้าหมายักษ์ เลยฟาดผางลงกลางแขนล่ำของเขา เสียงดัง โป๊ก!
“โอ๊ยยยย” เขาร้องลั่น
พิริยาหน้าซีด ทั้งชา และเย็นยะเยือก ปล่อยทิ้งท่อนไม้ วิ่งหนีทันที
แต่ไม่ทัน! เขากางแขนอีกข้างที่ไม่บาดเจ็บ และรวบตัวเธอเอาไว้ทัน
“จะหนีไปไหน เธอจะทำร้ายหมาฉันไม่พอ ยังทำร้ายฉันด้วย!”
“ฉันไม่ได้ทำ ปล่อยนะ!” เธอเถียงเสียงแข็ง “หมานายมันจะขย้ำฉันก่อน ไม่เห็นเหรอ”
แต่ชายหนุ่มไม่สนข้อแก้ตัวของเธอ
“เธอโกหก! เจ้าดุ้กดิ้กมันไม่มีทางทำร้ายใครก่อน”
โอย! อยากเอาหัวโขกกำแพง หมาตัวเท่าหมีควาย กล้าตั้งชื่อดุ้กดิ้ก?!
ซึ่งชายหนุ่มไม่ยอมลดราวาศอก หญิงสาวออกแรงดิ้นทุลักทุเล แต่ด้วยสาเหตุที่แขนข้างหนึ่งของเขาบาดเจ็บ จึงยื้อเธอไว้ได้ไม่นาน สุดท้ายเธอหลุดรอดออกมาจนได้
พิริยาตั้งท่าจะวิ่งหนี เขาส่งเสียงตะโกนไล่หลัง
“ทำผิดแล้วยังคิดจะหนีอีกเหรอ”
ซึ่งก็ได้ผลเสียด้วย หญิงสาวชะงักทันที
“พูดให้ดีนะคุณ ใครกันที่เป็นฝ่ายผิด”
กลิ่นละมุดเน่าที่โชยหึ่งออกมาจากตัวเขา ทำให้พอเดาได้ว่าทำไม เจ้าหมายักษ์ถึงออกอาละวาด ระรานคนอื่นแบบนี้ หญิงสาวยกมือขึ้นเท้าเอว มองเขา พร้อมตวัดหางตาไปยังเจ้าหมายักษ์ ซึ่งกำลังยืนตัวตรงผึ่งผาย เคียงข้างเจ้านายราวกับองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์
“ดุ้กดิ้ก นั่งลง!” เขาหันไปออกคำสั่งเฉียบขาด เจ้าของชื่อกระดิกหาง และนั่งลงอย่างว่าง่าย “เห็นไหม มันออกจะเชื่อง ถ้าเธอไม่ไปทำรุนแรงกับมันก่อน”
ชายหนุ่มยักคิ้วบอก พิริยากัดฟันกรอดอย่างเขม่นเข่นเขี้ยว นึกอยากเอาไม้ท่อนนั้นขึ้นมาฟาดหัวหมาโชว์เจ้านายของมันไปซักสองสามที
“ถ้าเป็นห่วงมันจริงๆ ทำไมไม่ดูแลให้ดีล่ะ ปล่อยให้ออกมาเพ่นพ่าน ไล่กัดชาวบ้านแบบนี้ แล้วขอแนะนำด้วยความหวังดีนะ หัดเจียดเวลาเล็กๆ น้อยๆ จากการกินเหล้ามาดูแลเอาใจใส่ และให้อาหารมันบ้าง เพราะไม่งั้นมันอาจไปหม่ำน่องใครเข้าซักวัน”
ชายหนุ่มยักไหล่ ไล่สายตามองร่างเล็กอย่างสำรวจตรวจตรา ด้วยความสูงที่ไม่น่าจะเกินเมตรครึ่ง ภายใต้เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นมอมแมมของเธอ ปรากฏเป็นรอยแผลถลอก ไล่สายตาขึ้นจนถึงข้อศอก พบว่ามีแผลเช่นกัน และมีเลือดไหลซิบตรงข้อศอกทั้งสองข้าง
“โอเคๆ ขอโทษ”
จู่ๆ เสียงเขาก็อ่อนลง
“ฉันเองที่ผิด... แต่รู้อะไรมั้ย ข้อแรกนะ คือฉันไม่ได้ห่วงหมา ฉันห่วงเธอ เจ้าตัวนี้มันเป็นหมาตำรวจ ต่อให้ฟาดมันจนหัวแตกเลือดอาบ นอกจากมันจะไม่วิ่งหนีหางจุกตูดแล้ว มันยังจะโต้ตอบจนถึงตาย และข้อสองก็คือ ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของมัน แล้วการที่ฉันจะไปแฮงค์เอ๊าท์กับเพื่อนกับฝูง มันก็เป็นเรื่องปกติของฉัน ไม่ทราบว่าเป็นการล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของใครหรือครับ คุณผู้หญิง”
พิริยาเม้มปากแน่น เฮอะ! เสียเวลาพรรณนาถึงเรื่องสามัญสำนึก แล้วนี่มันก็เจ็ดโมงกว่า ต้องรีบกลับบ้านไปเตรียมตัว ถึงไม่มีเรียนเช้า แต่เธอมีนัดPresent งานใหญ่ เป็นโปรเจ็กต์สำคัญ ที่จะเป็นตัวตัดสินว่าเธอจะเรียนจบหรือไม่
“เอาล่ะ ฉันไม่อยากเสียเวลากับเรื่องหมาๆ ฉันยกโทษให้คุณกับหมาคุณก็ได้” หญิงสาวบอกและหันหลัง เดินกลับ
“เดี๋ยวก่อนสิ” เขาปราดมา กางแขนข้างหนึ่ง สกัดกั้นไม้ให้เธอเดินไป หญิงสาวนิ่วหน้า ยกมือเท้าเอว
“อะไรของคุณอีก!”
“จะปล่อยเธอไปทั้งที่ยังมีแผลเต็มตัวแบบนี้ได้ยังไง” เขาพูด พลางย่อตัวนั่งลง ระดับความสูงของสายตาเขา พอดีกับบาดแผลบนเข่าเธอ หญิงสาวผวาถอยหลังอย่างฉับพลัน
“จะทำอะไรของคุณ” ถลึงตาดุ กวาดมองหาเจ้าท่อนไม้ที่ปล่อยหลุดมือไปเมื่อตะกี้ เขาส่ายหัวยิ้มๆ รีบยกสองมือขึ้นโบกสะบัด
“เปล่าๆ ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ” ก่อนจะชี้มือมาที่รอยแผลซึ่งเลือดไหลออกมากขึ้น “ดูแผลเธอซะก่อนสิ!” พร้อมกับลุกขึ้น คว้าข้อมือเล็ก
“มานี่ๆ ฉันจะทำแผลให้” แต่หญิงสาวรีบดึงมือกลับโดยเร็ว
“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“อย่าดื้อน่า”
“บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ ว๊ายยย!” ไม่ทันพูดจบ เขาก็อุ้มเธอขึ้นพาดบ่า
“ปล่อยฉันนะ อีตาบ้า!” ร่างเล็กเบาหวิวดิ้นแด่วๆ บนบ่าของเขา ราวกับเด็กน้อยโดนคุณพ่ออุ้มไปอาบน้ำ
ชายหนุ่มก้าวขาเร็วๆ พาเธอเดินเข้าไปในบ้าน เสียงแหลมแสบแก้วหูของเธอ ยังตะโกนโหวกเหวก... “ช่วยด้วย! ปล่อยฉันนะ ไอ้คนบ้า! ไอ้คนโรคจิต” ไปจนตลอดทาง
กว่าจะอุ้มสาวฤทธิ์แยะเข้ามาถึงในบ้านได้สำเร็จชายหนุ่มก็ลิ้นห้อย แต่ดูเหมือนเธอจะสิ้นฤทธิ์ไปเสียแล้วตอนนี้
“จับตัวฉันมาทำไม ปล่อยฉันเถอะนะ” หัวใจเธอเต้นระทึกขณะถูกวางลงบนโซฟายาว แถมเมื่อมองไปรอบๆ ภายในตัวบ้านอันกว้างขวาง ก็ดูมืดทึบด้วยผ้าม่านรอบทิศทาง ข้าวของระเกะระกะอย่างกับโกดังเก็บพักยาเสพติด
“ฉันไม่ได้จับตัวเธอมาทำอะไร ก็แค่เห็นว่าเธอกำลังจะเป็นลม” ปราการบอก และหญิงสาวกำลังจะอ้าปากว่าเขา
แต่ชายหนุ่มชิงพูดอย่างรู้ทัน “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รออยู่นี่แหละ ฉันไปเอาน้ำดื่มกับยามาให้ เดี๋ยวมา... อ้อ แล้วถ้ากลัวว่าฉันจะทำอะไรเธอ เอานี่ไว้...” เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงขาสั้นมอซอ ภายใต้เสื้อคลุม ยื่นให้กับเธอ “โทร.บอกที่บ้านเธอ หรือกด 191 ได้ทุกเวลา” ก่อนจะเดินหายเข้าไปยังห้องอีกห้อง
ปราการกลับเข้ามาในห้อง เปิดลิ้นชักหยิบสมุดเช็คออกมา ระบุตัวเลขยอดเงินสองหมื่นบาทก่อนตวัดลายเซ็นเสร็จเรียบร้อย
คงไม่หาว่าฉันเอาเงินฟาดหัวเธอหรอกนะ... เขายิ้มกับตัวเอง ขณะพับเช็คใบนั้นใส่กระเป๋าเสื้อคลุม และเดินไปหากระปุกยา ก่อนจะพบว่ามันถูกวางอยู่ที่เดิม บนหลังตู้เสื้อผ้า ทำให้หวนนึกถึงใครคนหนึ่ง และพลันเจ็บปวดขึ้นในหัวใจ
“หนุ่มโสดอยู่บ้านคนเดียว ต้องมีFirst Aid Boxติดไว้มั่งนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ก็ผมมีคุณพยาบาลคนสวยอยู่นี่แล้วทั้งคน”
“ใช่ว่าลิลลี่จะอยุ่ดูแลคุณ ได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงซักหน่อยนี่คะ เกิดคุณป่วยหรือมีดบาดเล็กๆ น้อยๆ จะโทรเรียกรถพยาบาลมาก็ใช่ที่”
ภาพรอยยิ้มของลลนา ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
หากทว่า ตอนนี้มันกลับโดนแทนที่ด้วยภาพงานฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ยี่สิบห้า และลลนาก้าวขึ้นบนเวที เพื่อประกาศว่า เธอกำลังจะแต่งงานกับร้อยตำรวจเอกปราบศึก พี่ชายแท้ๆ ของเขาเอง
ปราการสะบัดหน้าอย่างกับจะหนีความจริงนั้นพ้น
เขารีบพาตัวเอง พร้อมกับกล่องยา กลับออกมาด้านนอก
พิริยาเผลองีบหลับไปแค่เสี้ยวนาที แต่สะดุ้งตัวตอนได้ยินเสียงกระเอมเบาๆ ชายหนุ่มนั่งลงพร้อมด้วยกระปุกยา
“เอ ... หรือฉันควรพาเธอไปส่งโรงพยาบาลดี ฮึ?”
ได้ยินคำว่าโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ พิริยาถึงกับใจสั่นลำคอแห้งผาก หมอ พยาบาล เข็มแหลมๆ และบรรดาอุปกรณ์ทางการแพทย์สารพัดชนิด โผล่ขึ้นมาในหัว น่าขนลุกชะมัด!
“ไม่ต้อง! เอ่อ...คือ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก” เธอว่า ก่อนจะกระดืบตัวไปเอื้อมมือหยิบกระปุกยา แต่แม้จะยื่นมือจนสุดแขนก็ยังเอื้อมไม่ถึง
“ขยับมาใกล้ๆ นี่ ฉันจะช่วยทำแผล” ก่อนจะเลื่อนมือไปเปิดกล่องยาหยิบขวดยากับสำลีขึ้นมา แต่พิริยากระเถิบตัวถอย ดวงตากลมป๊อกนั้นจ้องเป๋งมาที่สำลีชุบน้ำยาในมือเขา
“เอ๊า! จะหนีไปไหน บอกให้เข้ามาใกล้ๆ” เขาบอก และโดยไม่ให้เสียเวลา เขาเป็นฝ่ายขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ เธอเอง และถือวิสาสะคว้าแขนเธอ ฝ่ายนั้นกระตุกแขนออกอย่างอัตโนมัติ
“ไม่ต้อง ฉันทำแผลเองก็เป็น” ปฏิเสธเสียงสั่นๆ กลัวนักกลัวหนากับเรื่องหยูกยา ขนาดตอนตกต้นมะม่วง ข้อเท้าซ้น ยังอดทนแกล้งทำว่าไม่เป็นอะไร จนผ่านไปหนึ่งวัน เท้าบวมเป่งเป็นเท้าช้าง ถึงได้ยอมไปโรงพยาบาล
ชายหนุ่มมองพฤติกรรมเหมือนเด็กเล็กๆ ที่กลัวหมอ ก็อดไม่ที่จะรู้สึกเอ็นดูเธอขึ้นมาจับใจ พูดไปอมยิ้มไปว่า
“นี่น้ำเกลือ ไม่แสบเหมือนแอลกอฮอล์หรอก เชื่อผมสิ เอาแขนมา ไม่งั้น ผมพาไปโรงพยาบาลจริงๆ นะ” จู่ๆ ก็ยกโรงพยาบาลขึ้นมาขู่ หญิงสาวแก้มตูม หน้าบูดเล็กน้อย ยื่นแขนมาให้ทันที
ปราการค่อยๆ ใช้สำลีชุบน้ำเกลือ เช็ดลงบนบาดแผลอย่างเบามือ หญิงสาวหลับตาปี๋ ชายหนุ่มเผลอมองเสี้ยวหน้าเนียนๆ ซึ่งตอนนี้เริ่มชมพูระเรื่อ คล้ายกับว่า ...เขาเคยเห็นเธอคนนี้ ที่ไหนสักแห่ง