...การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนมีเกิดดับ สัพพัญญูทราบการณ์นี้ดี
...ทว่ามนุษย์ที่กิเลสหนาเกินจะตระหนักได้ จึงสร้างจินตภาพขึ้น เพื่อปกป้องตนออกจากความจริงอันเศร้าหมอง
...จินตภาพแห่งกิเลสหยาบก่อเป็นพลัง รอยต่อระหว่างกาลปัจจุบันและอดีตกาลซ้อนทับสลับกัน
...ห้วงเวลาพิเศษพิสดารจึงบังเกิด โลกคู่ขนานจึงบังเกิด ดินแดนที่พวกเจ้าปรากฏอยู่จึงบังเกิด
(ชื่อเดิม: กาลอลเวง)
อันตรกาล ... ห้วงเวลาพิศวง
ตอนที่ ๑
“หมอคะ คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ” นั่นเป็นเสียงแรกที่แว่วเข้ามาในโสตประสาทของเธอ ก่อนที่ความรู้สึกปวดระบมซึ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจนสุดขีด พิริยาค่อยๆ ฝืนเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง และหรี่มองผู้คนที่ยืนรายรอบ ภาพอันพร่ามัว ค่อยๆ ชัดเจน
“คุณหนู! คุณหนู!” เสียงของหญิงชรา ผู้ซึ่งมีมวยผมสีขาวสลับเทา และสวมเสื้อลูกไม้กับผ้าถุงสีพื้น เป็นคนที่สามถัดจากนางพยาบาลและนายแพทย์ “คุณหญิงคะ คุณหนูฟื้นแล้วจริงๆ ค่ะ” ก่อนที่จะมีผู้หญิงวัยสี่ห้าสิบอีกคน ซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบหรูดูมีราคาลุกจากโซฟา ปราดเข้ามาที่เตียง
“เป็นยังไงบ้างฮึ! ยัย ฟ้าใส”
...ฟ้าใส!?.... ทำไมเธอยังถูกเรียกขานด้วยชื่อนั้นอยู่อีก หรือว่านี่คือห้วงฝัน... บางทีหมอพราหมณ์อาจประกอบพิธีกรรมยังไม่เสร็จสิ้น
“เป็นยังไงบ้างคะ คุณหนูของนมชื่น” ฝ่ามือของหญิงชราที่กระชับแน่นอยู่บนฝ่ามือของเธอ มีไออุ่นแผ่ซ่านส่งผ่านมาสู่ร่างกายเธอ จนเสมือนว่านี่เป็นเรื่องจริง
ผ่านลำคออันแห้งผาก พิริยารวบรวมพละกำลังได้เพียงน้อยนิด ก็รีบเปล่งเสียงถามออกไป
“แม่ล่ะ! แม่ฉันล่ะ แม่อยู่ไหน”
“โถ ทูนหัวของนม ก็คุณแม่ยืนอยู่นี่แล้วไงล่ะคะ”
พร้อมกันนั้น ฝ่ามืออีกคู่ของผู้หญิงในชุดเรียบหรูก็เลื่อนขึ้นมาลูบบนใบหน้าของเธอ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“เคราะห์ยังดี ที่หน้าแกไม่เสียโฉมนะยัยฟ้า”
ไม่นะ! พิริยาปฏิเสธตัวเองกึกก้องในใจ น้ำตาคลอและรื้นอยู่รอบดวงตา หากที่นี่ไม่ใช่ห้วงฝัน ก็หมายความว่าเธอตื่นขึ้นมาพร้อมความจริง... ความจริงอันร้ายกาจที่ทำให้แม่เอื้องต้องตาย!
“บุญของคุณหนูแท้ๆ เชียวค่ะ” หญิงชราที่เรียกขานตัวเองว่านมชื่น แทบจะพูดออกมาทั้งน้ำตา
“แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเดินได้ หรือต้องนอนเป็นผักไปตลอดชีวิตหรือเปล่านะสิ” เสียงทุ้มของชายวัยหกสิบ ที่ยังคงนั่งเฉยเมยอยู่บนโซฟา แว่วมาเบาๆ แต่พิริยาได้ยินชัดเจน
“อย่าวิตกกันไปเลยครับ” นายแพทย์วัยกลางคนเอ่ยขึ้น หลังการให้ยาทางสายน้ำเกลือและเช็คผลเกล็ดเลือดกับความดันโลหิตบนหน้ากระดาษรายงานจากนางพยาบาลเสร็จสิ้นลง
“คุณฟ้าใสจะมีอาการชา แขนขาไม่มีแรง เพียงในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นครับ หากได้รับการกายภาพบำบัดประมาณสองหรือสามเดือน เธอจะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามปกติ”
“เป็นเพราะบุญของคุณหนูฟ้าใสจริงๆ เลยนะคะคุณหญิงขา” นมชื่นกล่าว รอยยิ้มอาบเอิบ คุณหญิงพยักคออย่างเห็นพ้อง
“เรียกว่าปาฏิหาริย์เถอะนมชื่น อุบัติเหตุรถคว่ำ จนรถมุดเข้าไปอยู่ใต้ท้องรถพ่วงสิบแปดล้อ ยัยฟ้าก็ยังอุตส่าห์รอดมาได้ แถมยังไม่เป็นอะไรมากอีกด้วย นี่ถ้ารู้สึกหูพวกนักข่าว มันคงแห่กันมาขอดู ว่าแกแขวนพระอะไร” คุณหญิงพลิกข้อมือดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา และหันไปทางนายแพทย์“แล้วนี่ยังจะมีอะไรให้ห่วงอีกไหมคะหมอ”
“อาการโดยรวมของเธอไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว วางใจได้ครับ ว่างๆ พาเธอนั่งรถเข็น เดินเล่นสูดอากาศบ้างก็ได้นะครับ” นายแพทย์กล่าวยืนยัน คุณหญิงยักไหล่และเดินไปหยิบกระเป๋าหลุยส์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ อันเต็มไปด้วยแจกันดอกไม้เยี่ยมไข้ พร้อมกันนั้น ชายวัยหกสิบก็ลุกขึ้นจากโซฟา
“โอเคครับ ขอบคุณหมอมาก”
คุณหญิงพลิกข้อมือดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเป็นรอบที่สอง ก่อนหันมาบอกว่า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เห็นทีฉันต้องกลับก่อนนะ เย็นนี้มีประชุมพิเศษของสมาคม ฝากนมชื่นดูแลยัยฟ้าดีๆ ด้วยล่ะ”
“ค่ะ คุณหญิง”
ก่อนที่ทุกคนจะเดินออกจากห้องไป พร้อมกับหมอและพยาบาล
เพียงไม่ถึงห้านาที หลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้อง นมชื่นซึ่งคล้อยหลังเข้าห้องน้ำไปทำภารกิจส่วนตัว จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง ตามด้วยฝีเท้าคนเดินตึงๆ อย่างกับโมโหใคร
“ฟื้นได้สักทีสินะ! ฟ้าใส!!”
พิริยาคุ้นเคยกับเสียงนั้น เธอหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นเขาจริงๆ เธอยิ้มกว้าง ดีใจอย่างที่สุด
“คุณปราการ”
แต่กลับตรงกันข้าม ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ไม่มีร่องรอยของมิตรภาพที่เคยมี และเพียงเสี้ยววินาที มือหนาของเขาก็พรวดเข้ามากระชากแขนของเธออย่างแรง
“โอ๊ย! เจ็บ ปล่อยฉันนะ คุณปลา!”
“ดีมากที่เธอยังไม่ตาย เพราะความตายมันง่ายเกินไปสำหรับผู้หญิงร้ายกาจแบบเธอ ฟ้าใส!” เขาตะเบ็งเสียง พร้อมๆ กับเขย่าร่างเธอ กลิ่นละมุดเน่าโชยหึ่ง
”คุณปลา ปล่อย! ฉันเจ็บ” สองแขนของเธอถูกเขย่าอย่างแรง จนทั้งหัวทั้งตัวโคลงเคลง และอ่อนปวกเปียก ราวกับว่าเธอเป็นผักกวางตุ้งที่ลวกไว้จิ้มน้ำพริก
“คุณปลา!!” นมชื่นผลุบออกมาจากห้องน้ำ ปรี่เข้ามาขัดขวาง แต่ไม่สำเร็จ
“คุณปลาปล่อยคุณหนูเถอะค่ะ แค่นี้คุณหนูก็เจ็บมากแล้ว”
“นมชื่นถอยไป! ผมมีเรื่องต้องสะสางกับฟ้าใส”
ขณะที่ร่างของเธอกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ภายใต้แรงมหาศาลของเขา เสียงผู้ชายอีกคนดังขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีที่ประตูห้องถูกผลักเข้ามา
“ปล่อยฟ้าใสเดี๋ยวนี้ นายปลา!”
“ผู้กองปราบศึก! ผู้กองช่วยคุณหนูด้วยค่ะ” นมชื่นร้องอุทานด้วยความดีใจ
ปราบศึกแทรกเข้ามา และดึงตัวปราการออกไป ไหล่ทั้งสองของพิริยาถูกปลดปล่อย เธออ่อนแรงและวิงเวียนจนต้องไถลหัวลงไปกองบนหมอน
“ผลการตรวจยืนยันแล้วว่ามีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของคุณลิลลี่ และที่สำคัญไปกว่านั้น กล้องวงจรปิดชี้ชัดว่าเธอเป็นคนขับรถฝ่าไฟแดง ซึ่งก็หมายความว่าน้องฟ้าไม่ผิด”
“ท่านนายพลคงจ่ายไปเยอะสินะ ถึงได้หลักฐานงี่เง่าพวกนั้นมา” เสียงเขาหัวเราะกระหึ่มอยู่ในลำคอ “ฮึ ! ฉันไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว เงินก็ซื้อเกียรติของผู้กองปราบศึกได้”
“นายปลา!” แล้วเจ้าของชื่อก็โดนกำปั้นอันหนักหน่วงของพี่ชาย ต่อยปังเข้าไปที่ใบหน้าหนึ่งที เพื่อที่ว่าหูตาเขา อาจจะสว่างขึ้นมาบ้าง
แต่ตรงกันข้าม ... ความรุนแรงไม่ช่วยอะไร ปราการยกมือลูบรอยแผลตรง ริมฝีปาก มีเลือดไหลซึมเล็กน้อย
หมัดนายตำรวจหรือจะหนักหน่วงเท่าหมัดโจรป่าอย่างเขา ปราการสวนกลับไปด้วยกำปั้นที่หมายจะเอาคืนให้อีกฝ่ายสำนึก แต่ปราบศึกใช้มือขวารับเอาไว้ได้
“นายปลา ฉันต่อยหน้านาย ก็เพราะอยากเรียกสติ เลิกบ้าได้แล้ว ลิลลี่เขาไม่ได้ตายเพราะน้องฟ้า ฟังให้ดี! ลิลลี่โกรธน้องฟ้า โกรธที่ฉันรักน้องฟ้า แล้วนายก็เลิกหลอกตัวเองสักที ว่าลิลลี่เขารักนาย”
“เออ นายปราบ! นายก็ฟังให้ดี ต่อไปนี้นายไม่ใช่พี่ชายของฉันอีกต่อไป!”
แล้วเสียงกรรโชกนั้นก็เบนทิศทางไปที่คนบนเตียง
“ส่วนเธอ! ฟ้าใส ไม่มีวันที่ฉันจะให้อภัยเธอ จำไว้!!”
แล้วปราการก็ก้าวเท้าปึงๆ เปิดประตูห้องออกไป
นมชื่นยกมือขึ้นทาบอก พลางกล่าวรำพึง “เพราะผู้หญิงคนเดียวแท้ๆ เป็นต้นเหตุให้พี่น้องต้องหมางใจกัน”
“เวียนหัวจังเลยค่ะ” พิริยาเอ่ยเสียงแหบแห้ง โลกหมุนเป็นร้อยๆ รอบอยู่ในหัว
มันอะไรกันนี่? …
“อดทนหน่อยนะคะคุณหนู นมกดเรียกคุณหมอแล้วนะคะ”
ปราบศึกหันไปหยิบรีโมท ปรับระดับเตียงให้ต่ำลง ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรกับเธอ ดวงตาทั้งสองของเธอก็ถูกปิดลงด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง และเธอก็ถูกขังอยู่ในความมืดอีกครั้ง
.....
ในความมืด แสงสว่างเพียงเล็กน้อย ส่องให้เห็นทางอยู่ตรงปลายอุโมงค์ ผู้หญิงร่างอ้วน นุ่งด้วยผ้าสีขาวโพลน กำลังกวักมือเรียกเธออยู่ น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความห่วงหาอาทร
“เร็วเข้าลูก! เดินมาทางนี้”
พิริยาเดินตามแสงที่สาดส่อง เสียงนั้นฟังดูคุ้นหูอย่างยิ่ง... หรือว่านั่นคือแม่
“แม่! นั่นแม่ใช่ไหมจ๊ะ” น้ำตาแห่งความดีใจพรั่งพรู หญิงสาวเร่งฝีเท้าวิ่งตามไป ทว่ายิ่งเดินเข้าใกล้ ผู้หญิงร่างอ้วนภายใต้แสงสว่างนั้น ก็เหมือนจะยิ่งถอยห่าง
“แม่ รอพิมพ์ด้วยจ้ะ”
แม่และแสงสว่างไกลออกไปทุกที พิริยาวิ่งไล่ตามจนเหนื่อยหอบ และสุดท้ายเธอก็สะดุดขาตัวเองล้มลง
“โอ๊ย! ปวดจัง ปวดไปหมดทั้งตัวเลย”
“หมอคะ คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ” นั่นเป็นเสียงแรกที่แว่วเข้ามาในโสตประสาทของเธอ ก่อนที่ความรู้สึกปวดระบมซึ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจนสุดขีด
พิริยาค่อยๆ ฝืนเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง และหรี่มองผู้คนที่ยืนรายรอบ ภาพอันพร่ามัว ค่อยๆ ชัดเจน
ผู้คนที่ยืนรายรอบ หน้าตาคุ้นเคย อันประกอบด้วย หญิงชราซึ่งมีมวยผมสีขาวสลับเทาและสวมเสื้อลูกไม้กับผ้าถุงสีพื้น ยืนถัดจากนางพยาบาลและนายแพทย์ ส่วนที่ตรงโซฟา ผู้หญิงวัยประมาณสี่ห้าสิบ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบหรูดูมีราคา นั่งอยู่ใกล้กับชายวัยหกสิบ ที่อยู่ในชุดข้าราชการระดับสูง
ชัดเลย!!
พิริยาถูกเรียกกลับมายังจุดเดิม เพิ่มเติมคืออาการเจ็บระบมทั่วตัว ซึ่งยิ่งทวีความเจ็บมากขึ้นอีก เมื่อคุณหญิงรัตนาวดี ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วปราดมาจับแขน ซึ่งความจริงน่าจะเรียกว่า ‘ขย่ำแขน’ เธอเสียมากกว่า
“เป็นยังไงบ้างฮึ! ยัย ฟ้าใส นี่โชคดีแค่ไหน ที่หน้าแกไม่เสียโฉม”
“เป็นเพราะบุญของคุณหนูนะสิคะ คุณหญิง” นมชื่นปลอบขวัญ
“บุญเบินอะไร” ชายในชุดข้าราชการลุกขึ้นจากโซฟา เดินตรงเข้ามาข้างเตียง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ และเย็นชา “ก็เพราะไอ้ปอร์เช่ คันละเกือบยี่สิบล้านที่แกขับนั่นล่ะ นี่ถ้าเป็นรถญี่ปุ่นกิ๊กก๊อกนะเหรอ ป่านนี้ทั้งแก ทั้งรถ เละเป็นเขียดคาถนนไปแล้ว”
คุณหญิงรัตนาวดีหันไปหยิกแขน และเอ็ดสามี “ท่านนายพลนี่ ดูพูดเข้า พวกเรากำลังซีเรียสกันอยู่นะคะ”
“จะซีร่งซีเรียสกันไปทำไมคุณหญิง เมื่อกี้หมอก็เพิ่งบอกว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทำกายภาพบำบัดสักเดือนสองเดือน เดี๋ยวลูกมันก็กลับมาเดินปร๋อได้อย่างเดิม”
คุณหญิงพยักหน้ายิ้มๆ พลิกข้อมือดูเวลา “งั้นดิฉันขอตัวกลับแล้วดีกว่า เย็นนี้มีประชุมพิเศษกับทางสมาคม ท่านจะให้เกียรติไปกับดิฉันด้วยไหมคะ”
“โอยๆ ไม่เอาล่ะ คุณไปคนเดียวเถอะ ผมเองก็มีนัดกับพรรคพวกที่หน่วยเหมือนกัน นมชื่น ดูแลยัยฟ้าให้ดีๆ ด้วยล่ะ”
“ค่ะ ท่าน”
แล้วทุกคนก็ออกไปจากห้อง เว้นไว้เพียงนมชื่น และพิริยาก็นึกขึ้นได้ว่าอีกเพียงไม่เกินห้านาที นายปราการจะต้องบุกเข้ามาอาละวาด ตามด้วยพี่ชายของเขา และสองคนนั้นก็ต้องมีเรื่องชกต่อยกัน จนถึงกับต้องตัดขาดพี่น้อง ตายๆๆ คิดมาถึงตอนนี้แล้วปวดหัว
“คุณหนู ปวดหัวหรือคะ งั้นนมกดกริ่งเรียกพยาบาลนะคะ”
“อือ ก็ดีค่ะ เรียกพยาบาล แล้วก็เรียกรปภ.เข้ามาด้วยนะ สักสามคน”
“คุณหนูว่าอะไรนะคะ”
“หนูบอกว่า ให้นมชื่นช่วยเรียก รปภ.เข้ามาสักสามคนค่ะ”
มัวแต่รอให้นมชื่นหายงง และกดกริ่งเรียกรปภ. ก็ไม่ทันเสียแล้ว เสียงใครคนหนึ่งเปิดประตู เดินพรวดพราดเข้ามา
“คุณปลา!” นมชื่นร้องอุทาน ส่วนพิริยาแกล้งทำเป็นยังไม่ฟื้น เธอหลับตาปี๋ จะมีใครมาฆ่าแกงกันในห้องนี้ก็เชิญเถอะ เธอเหนื่อยเหลือเกินแล้วตอนนี้
ถ้ารู้ว่าต่อให้ผ่านพิธีบูชายัญที่มอวาคีแล้วยังไม่สามารถกลับมาแก้ไขอดีตได้ เธอขอกลับไปเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์คนเดิมที่โดนรถชนจนขาขาด และแม่เอื้องที่ป่วยหนัก ซึ่งไม่ถึงกับต้องตาย ยังจะดีเสียกว่า
“ฟื้นสักทีสิ ฟ้าใส ผมมีเรื่องมากมายจะพูดกับคุณนะ” ปราการกล่าวอย่างอ่อนโยน พิริยาไม่เชื่อหูตัวเอง เธอหรี่ตาข้างหนึ่งขึ้น แอบมองว่าเสียงนั้นดังออกมาจากปากเขาจริงหรือเปล่า
“คุณปลา” นมชื่นเดินเข้ามาประชิด “คุณปลาหายโกรธแค้นคุณหนูแล้วจริงๆ เหรอคะ”
“ทำไมผมต้องโกรธแค้นคุณหนูของนมชื่นด้วยล่ะครับ ในเมื่อความจริงก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว แม้แต่พี่ปราบเองยังยืนยัน ว่าเรื่องทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะลิลลี่ทำตัวของตัวเอง” มือหนาแต่อบอุ่นของปราการจับลงมาบนมือเธอ พิริยาค่อยๆ เปิดทั้งสอง มองเขาให้ชัดๆ
ใบหน้าของปราการเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
“คุณไม่โกรธ ไม่เกลียดฉันจริงๆ เหรอ” พิริยาพูดด้วยน้ำตา ปราการเลื่อนมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนแก้มเธอ และยิ้มละมุน
“ในเมื่อทุกคนต่างบอกว่าคุณไม่ผิด คุณก็คือไม่ผิด” เขากล่าว พิริยายิ้มกว้าง เผลอตัวยื่นแขนเข้าไปสวมกอดเขา อย่างกับเป็นคนคุ้นเคยกันมาแสนนาน
เธอสามารถย้อนกลับมาแก้ไขอดีตได้แล้วจริงๆ!
หลังจากนี้คงเป็นแม่เอื้องสินะ ที่เธอจะได้สวมกอดอีกครั้ง
เธอจะรีบ
อันตรกาล ... ห้วงเวลาพิศวง
...ทว่ามนุษย์ที่กิเลสหนาเกินจะตระหนักได้ จึงสร้างจินตภาพขึ้น เพื่อปกป้องตนออกจากความจริงอันเศร้าหมอง
...จินตภาพแห่งกิเลสหยาบก่อเป็นพลัง รอยต่อระหว่างกาลปัจจุบันและอดีตกาลซ้อนทับสลับกัน
...ห้วงเวลาพิเศษพิสดารจึงบังเกิด โลกคู่ขนานจึงบังเกิด ดินแดนที่พวกเจ้าปรากฏอยู่จึงบังเกิด
(ชื่อเดิม: กาลอลเวง)
อันตรกาล ... ห้วงเวลาพิศวง
ตอนที่ ๑
“หมอคะ คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ” นั่นเป็นเสียงแรกที่แว่วเข้ามาในโสตประสาทของเธอ ก่อนที่ความรู้สึกปวดระบมซึ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจนสุดขีด พิริยาค่อยๆ ฝืนเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง และหรี่มองผู้คนที่ยืนรายรอบ ภาพอันพร่ามัว ค่อยๆ ชัดเจน
“คุณหนู! คุณหนู!” เสียงของหญิงชรา ผู้ซึ่งมีมวยผมสีขาวสลับเทา และสวมเสื้อลูกไม้กับผ้าถุงสีพื้น เป็นคนที่สามถัดจากนางพยาบาลและนายแพทย์ “คุณหญิงคะ คุณหนูฟื้นแล้วจริงๆ ค่ะ” ก่อนที่จะมีผู้หญิงวัยสี่ห้าสิบอีกคน ซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบหรูดูมีราคาลุกจากโซฟา ปราดเข้ามาที่เตียง
“เป็นยังไงบ้างฮึ! ยัย ฟ้าใส”
...ฟ้าใส!?.... ทำไมเธอยังถูกเรียกขานด้วยชื่อนั้นอยู่อีก หรือว่านี่คือห้วงฝัน... บางทีหมอพราหมณ์อาจประกอบพิธีกรรมยังไม่เสร็จสิ้น
“เป็นยังไงบ้างคะ คุณหนูของนมชื่น” ฝ่ามือของหญิงชราที่กระชับแน่นอยู่บนฝ่ามือของเธอ มีไออุ่นแผ่ซ่านส่งผ่านมาสู่ร่างกายเธอ จนเสมือนว่านี่เป็นเรื่องจริง
ผ่านลำคออันแห้งผาก พิริยารวบรวมพละกำลังได้เพียงน้อยนิด ก็รีบเปล่งเสียงถามออกไป
“แม่ล่ะ! แม่ฉันล่ะ แม่อยู่ไหน”
“โถ ทูนหัวของนม ก็คุณแม่ยืนอยู่นี่แล้วไงล่ะคะ”
พร้อมกันนั้น ฝ่ามืออีกคู่ของผู้หญิงในชุดเรียบหรูก็เลื่อนขึ้นมาลูบบนใบหน้าของเธอ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“เคราะห์ยังดี ที่หน้าแกไม่เสียโฉมนะยัยฟ้า”
ไม่นะ! พิริยาปฏิเสธตัวเองกึกก้องในใจ น้ำตาคลอและรื้นอยู่รอบดวงตา หากที่นี่ไม่ใช่ห้วงฝัน ก็หมายความว่าเธอตื่นขึ้นมาพร้อมความจริง... ความจริงอันร้ายกาจที่ทำให้แม่เอื้องต้องตาย!
“บุญของคุณหนูแท้ๆ เชียวค่ะ” หญิงชราที่เรียกขานตัวเองว่านมชื่น แทบจะพูดออกมาทั้งน้ำตา
“แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเดินได้ หรือต้องนอนเป็นผักไปตลอดชีวิตหรือเปล่านะสิ” เสียงทุ้มของชายวัยหกสิบ ที่ยังคงนั่งเฉยเมยอยู่บนโซฟา แว่วมาเบาๆ แต่พิริยาได้ยินชัดเจน
“อย่าวิตกกันไปเลยครับ” นายแพทย์วัยกลางคนเอ่ยขึ้น หลังการให้ยาทางสายน้ำเกลือและเช็คผลเกล็ดเลือดกับความดันโลหิตบนหน้ากระดาษรายงานจากนางพยาบาลเสร็จสิ้นลง
“คุณฟ้าใสจะมีอาการชา แขนขาไม่มีแรง เพียงในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นครับ หากได้รับการกายภาพบำบัดประมาณสองหรือสามเดือน เธอจะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามปกติ”
“เป็นเพราะบุญของคุณหนูฟ้าใสจริงๆ เลยนะคะคุณหญิงขา” นมชื่นกล่าว รอยยิ้มอาบเอิบ คุณหญิงพยักคออย่างเห็นพ้อง
“เรียกว่าปาฏิหาริย์เถอะนมชื่น อุบัติเหตุรถคว่ำ จนรถมุดเข้าไปอยู่ใต้ท้องรถพ่วงสิบแปดล้อ ยัยฟ้าก็ยังอุตส่าห์รอดมาได้ แถมยังไม่เป็นอะไรมากอีกด้วย นี่ถ้ารู้สึกหูพวกนักข่าว มันคงแห่กันมาขอดู ว่าแกแขวนพระอะไร” คุณหญิงพลิกข้อมือดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา และหันไปทางนายแพทย์“แล้วนี่ยังจะมีอะไรให้ห่วงอีกไหมคะหมอ”
“อาการโดยรวมของเธอไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว วางใจได้ครับ ว่างๆ พาเธอนั่งรถเข็น เดินเล่นสูดอากาศบ้างก็ได้นะครับ” นายแพทย์กล่าวยืนยัน คุณหญิงยักไหล่และเดินไปหยิบกระเป๋าหลุยส์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ อันเต็มไปด้วยแจกันดอกไม้เยี่ยมไข้ พร้อมกันนั้น ชายวัยหกสิบก็ลุกขึ้นจากโซฟา
“โอเคครับ ขอบคุณหมอมาก”
คุณหญิงพลิกข้อมือดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเป็นรอบที่สอง ก่อนหันมาบอกว่า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เห็นทีฉันต้องกลับก่อนนะ เย็นนี้มีประชุมพิเศษของสมาคม ฝากนมชื่นดูแลยัยฟ้าดีๆ ด้วยล่ะ”
“ค่ะ คุณหญิง”
ก่อนที่ทุกคนจะเดินออกจากห้องไป พร้อมกับหมอและพยาบาล
เพียงไม่ถึงห้านาที หลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้อง นมชื่นซึ่งคล้อยหลังเข้าห้องน้ำไปทำภารกิจส่วนตัว จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง ตามด้วยฝีเท้าคนเดินตึงๆ อย่างกับโมโหใคร
“ฟื้นได้สักทีสินะ! ฟ้าใส!!”
พิริยาคุ้นเคยกับเสียงนั้น เธอหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นเขาจริงๆ เธอยิ้มกว้าง ดีใจอย่างที่สุด
“คุณปราการ”
แต่กลับตรงกันข้าม ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ไม่มีร่องรอยของมิตรภาพที่เคยมี และเพียงเสี้ยววินาที มือหนาของเขาก็พรวดเข้ามากระชากแขนของเธออย่างแรง
“โอ๊ย! เจ็บ ปล่อยฉันนะ คุณปลา!”
“ดีมากที่เธอยังไม่ตาย เพราะความตายมันง่ายเกินไปสำหรับผู้หญิงร้ายกาจแบบเธอ ฟ้าใส!” เขาตะเบ็งเสียง พร้อมๆ กับเขย่าร่างเธอ กลิ่นละมุดเน่าโชยหึ่ง
”คุณปลา ปล่อย! ฉันเจ็บ” สองแขนของเธอถูกเขย่าอย่างแรง จนทั้งหัวทั้งตัวโคลงเคลง และอ่อนปวกเปียก ราวกับว่าเธอเป็นผักกวางตุ้งที่ลวกไว้จิ้มน้ำพริก
“คุณปลา!!” นมชื่นผลุบออกมาจากห้องน้ำ ปรี่เข้ามาขัดขวาง แต่ไม่สำเร็จ
“คุณปลาปล่อยคุณหนูเถอะค่ะ แค่นี้คุณหนูก็เจ็บมากแล้ว”
“นมชื่นถอยไป! ผมมีเรื่องต้องสะสางกับฟ้าใส”
ขณะที่ร่างของเธอกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ภายใต้แรงมหาศาลของเขา เสียงผู้ชายอีกคนดังขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีที่ประตูห้องถูกผลักเข้ามา
“ปล่อยฟ้าใสเดี๋ยวนี้ นายปลา!”
“ผู้กองปราบศึก! ผู้กองช่วยคุณหนูด้วยค่ะ” นมชื่นร้องอุทานด้วยความดีใจ
ปราบศึกแทรกเข้ามา และดึงตัวปราการออกไป ไหล่ทั้งสองของพิริยาถูกปลดปล่อย เธออ่อนแรงและวิงเวียนจนต้องไถลหัวลงไปกองบนหมอน
“ผลการตรวจยืนยันแล้วว่ามีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของคุณลิลลี่ และที่สำคัญไปกว่านั้น กล้องวงจรปิดชี้ชัดว่าเธอเป็นคนขับรถฝ่าไฟแดง ซึ่งก็หมายความว่าน้องฟ้าไม่ผิด”
“ท่านนายพลคงจ่ายไปเยอะสินะ ถึงได้หลักฐานงี่เง่าพวกนั้นมา” เสียงเขาหัวเราะกระหึ่มอยู่ในลำคอ “ฮึ ! ฉันไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว เงินก็ซื้อเกียรติของผู้กองปราบศึกได้”
“นายปลา!” แล้วเจ้าของชื่อก็โดนกำปั้นอันหนักหน่วงของพี่ชาย ต่อยปังเข้าไปที่ใบหน้าหนึ่งที เพื่อที่ว่าหูตาเขา อาจจะสว่างขึ้นมาบ้าง
แต่ตรงกันข้าม ... ความรุนแรงไม่ช่วยอะไร ปราการยกมือลูบรอยแผลตรง ริมฝีปาก มีเลือดไหลซึมเล็กน้อย
หมัดนายตำรวจหรือจะหนักหน่วงเท่าหมัดโจรป่าอย่างเขา ปราการสวนกลับไปด้วยกำปั้นที่หมายจะเอาคืนให้อีกฝ่ายสำนึก แต่ปราบศึกใช้มือขวารับเอาไว้ได้
“นายปลา ฉันต่อยหน้านาย ก็เพราะอยากเรียกสติ เลิกบ้าได้แล้ว ลิลลี่เขาไม่ได้ตายเพราะน้องฟ้า ฟังให้ดี! ลิลลี่โกรธน้องฟ้า โกรธที่ฉันรักน้องฟ้า แล้วนายก็เลิกหลอกตัวเองสักที ว่าลิลลี่เขารักนาย”
“เออ นายปราบ! นายก็ฟังให้ดี ต่อไปนี้นายไม่ใช่พี่ชายของฉันอีกต่อไป!”
แล้วเสียงกรรโชกนั้นก็เบนทิศทางไปที่คนบนเตียง
“ส่วนเธอ! ฟ้าใส ไม่มีวันที่ฉันจะให้อภัยเธอ จำไว้!!”
แล้วปราการก็ก้าวเท้าปึงๆ เปิดประตูห้องออกไป
นมชื่นยกมือขึ้นทาบอก พลางกล่าวรำพึง “เพราะผู้หญิงคนเดียวแท้ๆ เป็นต้นเหตุให้พี่น้องต้องหมางใจกัน”
“เวียนหัวจังเลยค่ะ” พิริยาเอ่ยเสียงแหบแห้ง โลกหมุนเป็นร้อยๆ รอบอยู่ในหัว
มันอะไรกันนี่? …
“อดทนหน่อยนะคะคุณหนู นมกดเรียกคุณหมอแล้วนะคะ”
ปราบศึกหันไปหยิบรีโมท ปรับระดับเตียงให้ต่ำลง ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรกับเธอ ดวงตาทั้งสองของเธอก็ถูกปิดลงด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง และเธอก็ถูกขังอยู่ในความมืดอีกครั้ง
.....
ในความมืด แสงสว่างเพียงเล็กน้อย ส่องให้เห็นทางอยู่ตรงปลายอุโมงค์ ผู้หญิงร่างอ้วน นุ่งด้วยผ้าสีขาวโพลน กำลังกวักมือเรียกเธออยู่ น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความห่วงหาอาทร
“เร็วเข้าลูก! เดินมาทางนี้”
พิริยาเดินตามแสงที่สาดส่อง เสียงนั้นฟังดูคุ้นหูอย่างยิ่ง... หรือว่านั่นคือแม่
“แม่! นั่นแม่ใช่ไหมจ๊ะ” น้ำตาแห่งความดีใจพรั่งพรู หญิงสาวเร่งฝีเท้าวิ่งตามไป ทว่ายิ่งเดินเข้าใกล้ ผู้หญิงร่างอ้วนภายใต้แสงสว่างนั้น ก็เหมือนจะยิ่งถอยห่าง
“แม่ รอพิมพ์ด้วยจ้ะ”
แม่และแสงสว่างไกลออกไปทุกที พิริยาวิ่งไล่ตามจนเหนื่อยหอบ และสุดท้ายเธอก็สะดุดขาตัวเองล้มลง
“โอ๊ย! ปวดจัง ปวดไปหมดทั้งตัวเลย”
“หมอคะ คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ” นั่นเป็นเสียงแรกที่แว่วเข้ามาในโสตประสาทของเธอ ก่อนที่ความรู้สึกปวดระบมซึ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจนสุดขีด
พิริยาค่อยๆ ฝืนเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง และหรี่มองผู้คนที่ยืนรายรอบ ภาพอันพร่ามัว ค่อยๆ ชัดเจน
ผู้คนที่ยืนรายรอบ หน้าตาคุ้นเคย อันประกอบด้วย หญิงชราซึ่งมีมวยผมสีขาวสลับเทาและสวมเสื้อลูกไม้กับผ้าถุงสีพื้น ยืนถัดจากนางพยาบาลและนายแพทย์ ส่วนที่ตรงโซฟา ผู้หญิงวัยประมาณสี่ห้าสิบ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบหรูดูมีราคา นั่งอยู่ใกล้กับชายวัยหกสิบ ที่อยู่ในชุดข้าราชการระดับสูง
ชัดเลย!!
พิริยาถูกเรียกกลับมายังจุดเดิม เพิ่มเติมคืออาการเจ็บระบมทั่วตัว ซึ่งยิ่งทวีความเจ็บมากขึ้นอีก เมื่อคุณหญิงรัตนาวดี ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วปราดมาจับแขน ซึ่งความจริงน่าจะเรียกว่า ‘ขย่ำแขน’ เธอเสียมากกว่า
“เป็นยังไงบ้างฮึ! ยัย ฟ้าใส นี่โชคดีแค่ไหน ที่หน้าแกไม่เสียโฉม”
“เป็นเพราะบุญของคุณหนูนะสิคะ คุณหญิง” นมชื่นปลอบขวัญ
“บุญเบินอะไร” ชายในชุดข้าราชการลุกขึ้นจากโซฟา เดินตรงเข้ามาข้างเตียง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ และเย็นชา “ก็เพราะไอ้ปอร์เช่ คันละเกือบยี่สิบล้านที่แกขับนั่นล่ะ นี่ถ้าเป็นรถญี่ปุ่นกิ๊กก๊อกนะเหรอ ป่านนี้ทั้งแก ทั้งรถ เละเป็นเขียดคาถนนไปแล้ว”
คุณหญิงรัตนาวดีหันไปหยิกแขน และเอ็ดสามี “ท่านนายพลนี่ ดูพูดเข้า พวกเรากำลังซีเรียสกันอยู่นะคะ”
“จะซีร่งซีเรียสกันไปทำไมคุณหญิง เมื่อกี้หมอก็เพิ่งบอกว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทำกายภาพบำบัดสักเดือนสองเดือน เดี๋ยวลูกมันก็กลับมาเดินปร๋อได้อย่างเดิม”
คุณหญิงพยักหน้ายิ้มๆ พลิกข้อมือดูเวลา “งั้นดิฉันขอตัวกลับแล้วดีกว่า เย็นนี้มีประชุมพิเศษกับทางสมาคม ท่านจะให้เกียรติไปกับดิฉันด้วยไหมคะ”
“โอยๆ ไม่เอาล่ะ คุณไปคนเดียวเถอะ ผมเองก็มีนัดกับพรรคพวกที่หน่วยเหมือนกัน นมชื่น ดูแลยัยฟ้าให้ดีๆ ด้วยล่ะ”
“ค่ะ ท่าน”
แล้วทุกคนก็ออกไปจากห้อง เว้นไว้เพียงนมชื่น และพิริยาก็นึกขึ้นได้ว่าอีกเพียงไม่เกินห้านาที นายปราการจะต้องบุกเข้ามาอาละวาด ตามด้วยพี่ชายของเขา และสองคนนั้นก็ต้องมีเรื่องชกต่อยกัน จนถึงกับต้องตัดขาดพี่น้อง ตายๆๆ คิดมาถึงตอนนี้แล้วปวดหัว
“คุณหนู ปวดหัวหรือคะ งั้นนมกดกริ่งเรียกพยาบาลนะคะ”
“อือ ก็ดีค่ะ เรียกพยาบาล แล้วก็เรียกรปภ.เข้ามาด้วยนะ สักสามคน”
“คุณหนูว่าอะไรนะคะ”
“หนูบอกว่า ให้นมชื่นช่วยเรียก รปภ.เข้ามาสักสามคนค่ะ”
มัวแต่รอให้นมชื่นหายงง และกดกริ่งเรียกรปภ. ก็ไม่ทันเสียแล้ว เสียงใครคนหนึ่งเปิดประตู เดินพรวดพราดเข้ามา
“คุณปลา!” นมชื่นร้องอุทาน ส่วนพิริยาแกล้งทำเป็นยังไม่ฟื้น เธอหลับตาปี๋ จะมีใครมาฆ่าแกงกันในห้องนี้ก็เชิญเถอะ เธอเหนื่อยเหลือเกินแล้วตอนนี้
ถ้ารู้ว่าต่อให้ผ่านพิธีบูชายัญที่มอวาคีแล้วยังไม่สามารถกลับมาแก้ไขอดีตได้ เธอขอกลับไปเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์คนเดิมที่โดนรถชนจนขาขาด และแม่เอื้องที่ป่วยหนัก ซึ่งไม่ถึงกับต้องตาย ยังจะดีเสียกว่า
“ฟื้นสักทีสิ ฟ้าใส ผมมีเรื่องมากมายจะพูดกับคุณนะ” ปราการกล่าวอย่างอ่อนโยน พิริยาไม่เชื่อหูตัวเอง เธอหรี่ตาข้างหนึ่งขึ้น แอบมองว่าเสียงนั้นดังออกมาจากปากเขาจริงหรือเปล่า
“คุณปลา” นมชื่นเดินเข้ามาประชิด “คุณปลาหายโกรธแค้นคุณหนูแล้วจริงๆ เหรอคะ”
“ทำไมผมต้องโกรธแค้นคุณหนูของนมชื่นด้วยล่ะครับ ในเมื่อความจริงก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว แม้แต่พี่ปราบเองยังยืนยัน ว่าเรื่องทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะลิลลี่ทำตัวของตัวเอง” มือหนาแต่อบอุ่นของปราการจับลงมาบนมือเธอ พิริยาค่อยๆ เปิดทั้งสอง มองเขาให้ชัดๆ
ใบหน้าของปราการเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
“คุณไม่โกรธ ไม่เกลียดฉันจริงๆ เหรอ” พิริยาพูดด้วยน้ำตา ปราการเลื่อนมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนแก้มเธอ และยิ้มละมุน
“ในเมื่อทุกคนต่างบอกว่าคุณไม่ผิด คุณก็คือไม่ผิด” เขากล่าว พิริยายิ้มกว้าง เผลอตัวยื่นแขนเข้าไปสวมกอดเขา อย่างกับเป็นคนคุ้นเคยกันมาแสนนาน
เธอสามารถย้อนกลับมาแก้ไขอดีตได้แล้วจริงๆ!
หลังจากนี้คงเป็นแม่เอื้องสินะ ที่เธอจะได้สวมกอดอีกครั้ง
เธอจะรีบ