ภายใน ‘ห้องขัง’ ทุกสิ่งทุกอย่างมืดมิด หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งเงียบๆบนเตียงนอนขนาดใหญ่ที่แสนนุ่มสบาย ร่างนั้นผ่ายผอม สีหน้าอมทุกข์เหลือแสน เป็นเวลาที่แม้ไม่นานมากแต่มันก็ใกล้เคียงสิบปีร้อยปีสำหรับเธอเลยทีเดียวที่เธอถูก ‘จองจำ’ อยู่ ณ ที่แห่งนี้
มือผอมบางนั้นสั่นระริกเมื่อก้มลงแตะ ‘โซ่’ ที่ตรึงเธอไว้ที่นี่ เพียงแค่สัมผัสอย่างแผ่วเบา หนามแหลมนั้นไม่ได้สะกิดเพียงนิ้วของเธอเท่านั้น แต่ยังกระเทือนไปถึงจิตใจของเธอด้วย หนามกุหลาบ...ดอกไม้ที่เธอชอบเหลือเกิน บัดนี้กิ่งเถาของมันกลายเป็นเครื่องรั้งเธอเอาไว้ให้อยู่ในห้องห้องนี้
ความมืดทำให้เธอมองไม่เห็นแต่เธอรู้ เธอจำได้ มันคือหลุมขนาดใหญ่ที่เธอยอมตกลงมาอย่างเต็มใจยิ่งยวด หลุมนี้เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆก็กลายเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ มันมีขนาดกว้างขวางพอให้เดินเล่นได้สบายใจและยิ่งอบอุ่นใจมากขึ้นเพราะเธอมี ‘เขา’ อยู่เคียงข้างกาย ที่นี่ไม่ใช่มีแค่คู่ของเธอและเขาเท่านั้น แต่ยังมีคู่อื่นๆอีกที่อยู่ด้วย แต่ละคู่ต่างคนต่างอยู่กับคู่ของตน ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจกับใครทั้งนั้น และคู่ของเธอเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ข้างในนี้สว่างสดใส สีชมพูที่เธอรักหนักหนา เธออยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เดินไปข้างหน้าพร้อมกับเขา แต่นานวันเข้า เดินเข้าไปในอุโมงค์นั้นลึกขึ้นๆ สีชมพูนั้นก็หม่นลงเรื่อยๆ เธออดไม่สบายใจไม่ได้ แต่ยังคงเชื่อในตัวคนที่ยืนอยู่เคียงข้างว่าจะไม่ทอดทิ้งเธอไปที่ใด
ไม่เป็นไร...หญิงสาวปลอบใจตัวเอง หล่อนหวังสุดใจว่าปลายอุโมงค์นี้จะกลับกลายเป็นสีชมพูสดใสอีกครั้งเหมือนเมื่อต้นทาง แต่ความหวังของเธอก็ริบหรี่ลงเมื่อพบว่ายิ่งเดินไปไกลเท่าใด สีชมพูนั้นก็ยิ่งหมองลงๆจนใกล้จะกลายเป็นสีดำอันมืดมิดอยู่รอมร่อ
เธอมองทางข้างหน้า ดวงหน้ามีร่องรอยไม่สบายใจจนต้องมองหน้าคนที่เดินเคลียอยู่ข้างๆอย่างขอกำลังใจและเมื่ออีกฝ่ายยิ้มให้และโอบบ่าเธอไว้ด้วยกริยาทะนุถนอม เธอดูเหมือนมีแรงมากขึ้น มาก...จนเธอเชื่อว่าไม่ว่าหนทางข้างหน้าเป็นเช่นไรเธอก็พร้อมจะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่าง
ตอนนี้สีชมพูนั้นหายไปหมดแล้วเหลือเพียงแต่ความมืดดำเท่านั้น สายตาเริ่มชินกับความมืด เสียงฝีเท้าสองคู่ยังคงเดินเคียงกันไป จนกระทั่งปลายสุดของอุโมงค์คือห้องห้องหนึ่ง เธอเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ เขายิ้มที่แม้ในความมืดก็ยังคงเจนใจของเธอเสมอ เขาไขกุญแจ ผ้าดำที่เธอเองไม่รู้ว่าเขาไปหามาจากไหนกำลังปิดเธอจากการมองเห็นทุกสรรพสิ่ง ชายหนุ่มจูบเธออย่างแผ่วเบา กระซิบข้างๆหู
“ผมรักคุณ”
คำพูดที่เธอได้ยินสม่ำเสมอตั้งแต่ร่วมเดินทางมากับเขา ในหลุม ในอุโมงค์แห่งนี้ เธอยิ้มรับและเดินเข้าไปในห้องนั้นอย่างว่าง่าย เขาพาเธอไปนั่งที่ที่หนึ่ง นุ่มสบาย เธอเข้าใจว่ามันเป็นเตียง เสียงฝีเท้าก้าวออกไป เปิดประตูและเสียงงับปิดอย่างแผ่วเบา เธอไม่กลัว...เธอมั่นใจในตัวเขา
ทุกๆวันเขาจะมาหาเธอ ป้อนคำหวานและสัมผัสที่อบอุ่นอ่อนโยนบอกความในใจของเขาเสมอมา ในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ เธอจะลุกขึ้นเดินสัมผัสผนังห้อง สำรวจมันท่ามกลางความมืดมิด เพราะเธอไม่รู้ว่าจะหาสิ่งใดฆ่าเวลาได้ดีกว่านี้
เวลาผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง ห้องนั้นจากที่หล่อนเข้าใจว่ากว้างและกระตือรือร้นที่จะสำรวจมันในตอนแรก กลับกลายเป็นที่ที่คับแคบและน่าเบื่อหน่าย อยู่มาวันหนึ่ง...เธอนึกสนุกขึ้นมา เธอเดินไปที่ประตูห้องซึ่งเธอไม่คิดจะเปิดออกเลยนับแต่เข้ามาที่นี่ เธอเดินออกไปด้วยความตั้งใจที่ว่าขอแค่ออกไปเล่นข้างนอกบ้างแล้วจะกลับ...แค่นั้นจริงๆ ความมืดทำให้เธอต้องคลำผนังไปตลอดทาง และต้องตกใจเมื่อมีมือแข็งแรงคู่หนึ่งลากเธอไปที่อ้อมแขนที่เธอรู้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของ
หัวใจของเขาเต้นแรง เธอรู้ว่าเขาตกใจกับการหายตัวไปของเธอ ชายหนุ่มพาเธอกลับไปยังห้องนั้นและสัมผัสเธออย่างอ่อนหวานซึ่งเธอเองก็เต็มใจที่จะปลอบโยนให้เขาหายตระหนก เมื่อเธอตื่นอีกครั้งเขาก็จะมากอด กระซิบข้างหูเพื่อบอกลาไปเหมือนทุกๆวันที่เขารอให้เธอตื่นก่อนออกไป
ครั้งนี้...สังหรณ์ประหลาดทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงประตูนั้นปิดลง เธอก็เดินตามเขาไปที่ประตูนั้นอย่างไม่ทุลักทุเลนักเพราะความเคยชินที่ผ่านมาเป็นเวลาพอสมควรในห้องนี้ เธอแตะลูกบิดประตูอย่างลังเลก่อนตัดสินใจเปิดมันออก แต่หญิงสาวงงไปด้วยความไม่คาดคิด
มันล็อค!
เมื่อเขามาหาเธออีกครั้ง เธอจึงตัดพ้อเขาในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่สุดท้ายเขาก็ปิดปากเธอเอาไว้ได้ทุกที เธอต้องอดทนกับสภาวะนี้นานพอควร แต่ทุกอย่างต้องมีที่สิ้นสุดและความอดทนของเธอก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน ตามปกติเขาจะเป็นฝ่ายตื่นก่อนเธอ แต่วันนี้เธอรอให้เขาหลับไปก่อน จนแน่ใจแล้วเธอจึงค่อยๆเคลื่อนกายให้เงียบที่สุดไปยังประตู เปิดมันและเดินออกไป
อีกครั้งที่เธอถูกดึงเข้าไปสู่อ้อมแขนอีกฝ่ายทั้งๆที่เพิ่งเดินออกมาได้ไม่ไกล คราวนี้ไม่ใช่แค่หัวใจที่สั่นระรัวแล้ว เธอสัมผัสได้ถึงความรุ่มร้อนแห่งโทสะของเขา เมื่อเธอกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเขานำสิ่งๆหนึ่งมันรัดข้อเท้าเอาไว้ หนามของมันคมจนบาดผิวหล่อนให้เจ็บปวด เธอลองสัมผัสมันและก็รับรู้ว่ามันคือเถาดอกกุหลาบ...คอกไม้ที่เธอชอบ ตอนนี้มันตรึงเธอไว้ไม่ให้ออกจากห้องนี้ไปได้ บางครั้งเธอเด็ดดอกของมันออกมา ตอนแรกเธอประคับประคองดอกไม้เป็นอย่างดี แต่พอบัดนี้เธอกระชากมันโดยไม่สนใจว่าหนามของมันจะครูดกับผิวเนื้อเธออย่างไร มือนั้นสั่นระริกด้วยแรงอารมณ์ เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งสลับกับอาการเซื่องซึมในบางคราว
เธอไม่เคยปฏิเสธการแสดงความรักของเขา แต่ยามใดที่เขาไม่อยู่เธอจะเดินไปเดินมาด้วยความว้าวุ่นใจ อยากจะไปทุบประตูกรีดร้องบอกให้เขาปล่อยเธอไป แต่ศักดิ์ศรีทำให้เธอทำเช่นนั้นไม่ได้ นานวันร่างนั้นยิ่งผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ไม่ว่าชายหนุ่มพยายามเอาอกเอาใจเธอแค่ไหน ร่างนั้นก็ยังคงนิ่งจนแทบจะกลายเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตจิตใจ เขาพร่ำขอร้องเธออย่างทรมานใจกับสภาพของเธอ จนสุดท้ายเขาได้แต่ถอนใจ ออกไปจากห้องด้วยความเจ็บปวด
เมื่อลับหลังอีกฝ่ายเธอพยายามคิดหาคำตอบเสมอ คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่เธอตกลงมาในนี้ เดินทางอยู่ในอุโมงค์จนกระทั่งมาจบที่ห้องนี้ ทำไมที่อื่นๆเธอจึงไม่รู้สึกทรมานเท่าที่ห้องนี้? เธอแตะแก้มที่ตอบลง แขนขาซูบเซียว บาดแผลจากหนามกุหลาบ น้ำตาเธอแทบหยดด้วยความอัดอั้นตันใจ ทำไมเธอต้องมาอยู่ในห้องขังอันมืดมิดนี้ด้วย? แต่แล้วฉับพลันความคิดก็สว่างวาบขึ้นมา หญิงสาวอยากจะหัวเราะให้กับเวลาที่ผ่านมาในการคิดหาคำตอบหลายๆอย่างนั่น ทั้งๆที่คำตอบของมันก็อยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง
ใช่แล้ว...ความมืดมิด
ผ้าสีดำที่ผูกตาเธอเอาไว้เป็นเวลายาวนานก็ถูกปลดเปลื้องออกด้วยมือสั่นระริก แสงสว่างทำให้เธอต้องรีบหลับตาอีกครั้งเพราะความไม่ชิน ท้ายที่สุดเธอก็สามารถปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างนั้นได้ เธอมองไปรอบๆห้องที่เธอใช้ชีวิตอยู่ มันเป็นห้องที่มีเพียงแค่พื้นและผนังแต่ไม่มีเพดาน ดูคล้ายกับแบบโมเดลของสถาปนิก ในห้องนั้นโล่งกว้าง มีเพียงเตียงใหญ่เท่านั้นที่เป็นเครื่องเรือนตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องอย่างเช่นที่เธอได้รับรู้เมื่อยามที่อยู่ในความมืด คราวนี้เธอได้รับรู้มันท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจรัสนี้ ความรู้สึกของเธอก็เปลี่ยนไป
เธอแกะเถากุหลาบออกจากข้อเท้าของตน มันคลายตัวออกอย่างง่ายดาย หญิงสาวเดินกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ กางแขนออก หมุนตัวล้อแสงอย่างร่าเริงจนเธอเหนื่อยหอบ แก้มที่เคยซูบตอบกลับกลายเป็นพวงแก้มมีสีสันเปล่งปลั่ง ผิวกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากหนามก็เลือนหายไป หญิงสาวที่เคยผอมบางกลับมีน้ำมีนวลขึ้นกระจ่างตา
ชายหนุ่มเข้ามาอีกครั้งในยามค่ำคืน เขาชะงัก สีหน้ามัวหม่นยามเมื่อเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ ผ้าผูกตาหล่นอยู่ตรงนั้น เช่นเดียวกันกับ ‘โซ่’ ที่หล่อนปลดพันธนาการด้วยตัวเองก็กองอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน เธอเดินเข้ามากอดเขาไว้ สัมผัสของเธออ่อนโยนอ่อนหวานอย่างที่เขาไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน เขาจูบหน้าผากเธอเบาๆหลังจากที่อยู่ในอ้อมแขนกันและกัน เธอชันตัวขึ้นมองเขาเต็มตา เขาจับมือเธอไว้ค่อยๆจรดริมฝีปากกับมือนุ่มนั้น เธอยิ้มกระซิบที่ข้างหูเขา
“ฉันรักคุณ”
ทันใดนั้นปีกสีขาวค่อยๆงอกขึ้นกลางหลังขอเธอ ชายหนุ่มมองตระหนกและสิ้นหวัง มือของเขาปล่อยลงข้างตัวอย่างหมดแรง เธอกอดปลอบประโลมเขาก่อนก้าวจากเตียง เธอมองเขาราวกับจะให้ประทับไว้ในความทรงจำ ไม่มีวินาทีไหนทีเธอจะละสายตาจากเขา ดวงตารื้นไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความอาลัยอาวรณ์และที่เด่นชัดกว่าใดๆทั้งหมด...ความรัก!
ปีกนั้นกางออกเต็มที่ ร่างงดงามที่ไม่แปรสายตาออกจากชายหนุ่มค่อยๆเปลี่ยนไป ขนสีขาวเริ่มปกคลุมร่างกาย ร่างกายค่อยๆเล็กลงจนในที่สุดก็กลายเป็นนกสีขาว สะอาดบริสุทธิ์ บินขึ้นสู่ฟากฟ้า...ไปจากเขา จากห้องห้องนั้น จากอุโมงค์ และจากหลุมใหญ่นั้น บินไกลออกไป...ออกไปสู่แสงสว่างแห่งแสงตะวันที่เจิดจ้าเรืองรอง
=====================================================
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นงานเขียนชิ้นที่สามในชีวิต (ถ้าจำไม่ผิด เขียนตอนสมัยเรียน เก่ากว่ากระทู้ก่อนอีก) ยังเห็นความกะโหลกกะลาอยู่เยอะค่ะ แล้วก็ค่อนข้างดิบทีเดียว ^^"
ตอนนั้นอ่านเรื่อง "โรมิโอ กับ จูเลียต" ตอนที่จูเลียตเปรียบเทียบดอกกุหลาบ ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็คือ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมหวาน (ก็เหมือนโรมิโอ ไม่ว่าเขาจะชื่ออะไรตระกูลอะไรก็เป็นแค่ชื่อ แต่เขาคือโรมิโอ) หนิงเลยเอาแรงบันดาลใจมาตั้งเป็นชื่อเรื่องซะเลย ตอนนั้นเป็นช่วงที่ค่อนข้างปล่อยความคิดตัวเองออกมาแบบไม่ได้กลั่นกรองมากมาย คิดอะไรก็สื่อออกมาแบบซื่อตรง โผงผางอยู่สักหน่อย งานเลยอ่านยากนิดหนึ่งนะคะ
แต่สุดท้ายก็ยังคงหวังว่าคนอ่านจะชอบมันนะคะ แค่บางส่วนก็ยังดี ^^
Romeo and Juliet
มือผอมบางนั้นสั่นระริกเมื่อก้มลงแตะ ‘โซ่’ ที่ตรึงเธอไว้ที่นี่ เพียงแค่สัมผัสอย่างแผ่วเบา หนามแหลมนั้นไม่ได้สะกิดเพียงนิ้วของเธอเท่านั้น แต่ยังกระเทือนไปถึงจิตใจของเธอด้วย หนามกุหลาบ...ดอกไม้ที่เธอชอบเหลือเกิน บัดนี้กิ่งเถาของมันกลายเป็นเครื่องรั้งเธอเอาไว้ให้อยู่ในห้องห้องนี้
ความมืดทำให้เธอมองไม่เห็นแต่เธอรู้ เธอจำได้ มันคือหลุมขนาดใหญ่ที่เธอยอมตกลงมาอย่างเต็มใจยิ่งยวด หลุมนี้เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆก็กลายเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ มันมีขนาดกว้างขวางพอให้เดินเล่นได้สบายใจและยิ่งอบอุ่นใจมากขึ้นเพราะเธอมี ‘เขา’ อยู่เคียงข้างกาย ที่นี่ไม่ใช่มีแค่คู่ของเธอและเขาเท่านั้น แต่ยังมีคู่อื่นๆอีกที่อยู่ด้วย แต่ละคู่ต่างคนต่างอยู่กับคู่ของตน ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจกับใครทั้งนั้น และคู่ของเธอเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ข้างในนี้สว่างสดใส สีชมพูที่เธอรักหนักหนา เธออยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เดินไปข้างหน้าพร้อมกับเขา แต่นานวันเข้า เดินเข้าไปในอุโมงค์นั้นลึกขึ้นๆ สีชมพูนั้นก็หม่นลงเรื่อยๆ เธออดไม่สบายใจไม่ได้ แต่ยังคงเชื่อในตัวคนที่ยืนอยู่เคียงข้างว่าจะไม่ทอดทิ้งเธอไปที่ใด
ไม่เป็นไร...หญิงสาวปลอบใจตัวเอง หล่อนหวังสุดใจว่าปลายอุโมงค์นี้จะกลับกลายเป็นสีชมพูสดใสอีกครั้งเหมือนเมื่อต้นทาง แต่ความหวังของเธอก็ริบหรี่ลงเมื่อพบว่ายิ่งเดินไปไกลเท่าใด สีชมพูนั้นก็ยิ่งหมองลงๆจนใกล้จะกลายเป็นสีดำอันมืดมิดอยู่รอมร่อ
เธอมองทางข้างหน้า ดวงหน้ามีร่องรอยไม่สบายใจจนต้องมองหน้าคนที่เดินเคลียอยู่ข้างๆอย่างขอกำลังใจและเมื่ออีกฝ่ายยิ้มให้และโอบบ่าเธอไว้ด้วยกริยาทะนุถนอม เธอดูเหมือนมีแรงมากขึ้น มาก...จนเธอเชื่อว่าไม่ว่าหนทางข้างหน้าเป็นเช่นไรเธอก็พร้อมจะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่าง
ตอนนี้สีชมพูนั้นหายไปหมดแล้วเหลือเพียงแต่ความมืดดำเท่านั้น สายตาเริ่มชินกับความมืด เสียงฝีเท้าสองคู่ยังคงเดินเคียงกันไป จนกระทั่งปลายสุดของอุโมงค์คือห้องห้องหนึ่ง เธอเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ เขายิ้มที่แม้ในความมืดก็ยังคงเจนใจของเธอเสมอ เขาไขกุญแจ ผ้าดำที่เธอเองไม่รู้ว่าเขาไปหามาจากไหนกำลังปิดเธอจากการมองเห็นทุกสรรพสิ่ง ชายหนุ่มจูบเธออย่างแผ่วเบา กระซิบข้างๆหู
“ผมรักคุณ”
คำพูดที่เธอได้ยินสม่ำเสมอตั้งแต่ร่วมเดินทางมากับเขา ในหลุม ในอุโมงค์แห่งนี้ เธอยิ้มรับและเดินเข้าไปในห้องนั้นอย่างว่าง่าย เขาพาเธอไปนั่งที่ที่หนึ่ง นุ่มสบาย เธอเข้าใจว่ามันเป็นเตียง เสียงฝีเท้าก้าวออกไป เปิดประตูและเสียงงับปิดอย่างแผ่วเบา เธอไม่กลัว...เธอมั่นใจในตัวเขา
ทุกๆวันเขาจะมาหาเธอ ป้อนคำหวานและสัมผัสที่อบอุ่นอ่อนโยนบอกความในใจของเขาเสมอมา ในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ เธอจะลุกขึ้นเดินสัมผัสผนังห้อง สำรวจมันท่ามกลางความมืดมิด เพราะเธอไม่รู้ว่าจะหาสิ่งใดฆ่าเวลาได้ดีกว่านี้
เวลาผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง ห้องนั้นจากที่หล่อนเข้าใจว่ากว้างและกระตือรือร้นที่จะสำรวจมันในตอนแรก กลับกลายเป็นที่ที่คับแคบและน่าเบื่อหน่าย อยู่มาวันหนึ่ง...เธอนึกสนุกขึ้นมา เธอเดินไปที่ประตูห้องซึ่งเธอไม่คิดจะเปิดออกเลยนับแต่เข้ามาที่นี่ เธอเดินออกไปด้วยความตั้งใจที่ว่าขอแค่ออกไปเล่นข้างนอกบ้างแล้วจะกลับ...แค่นั้นจริงๆ ความมืดทำให้เธอต้องคลำผนังไปตลอดทาง และต้องตกใจเมื่อมีมือแข็งแรงคู่หนึ่งลากเธอไปที่อ้อมแขนที่เธอรู้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของ
หัวใจของเขาเต้นแรง เธอรู้ว่าเขาตกใจกับการหายตัวไปของเธอ ชายหนุ่มพาเธอกลับไปยังห้องนั้นและสัมผัสเธออย่างอ่อนหวานซึ่งเธอเองก็เต็มใจที่จะปลอบโยนให้เขาหายตระหนก เมื่อเธอตื่นอีกครั้งเขาก็จะมากอด กระซิบข้างหูเพื่อบอกลาไปเหมือนทุกๆวันที่เขารอให้เธอตื่นก่อนออกไป
ครั้งนี้...สังหรณ์ประหลาดทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงประตูนั้นปิดลง เธอก็เดินตามเขาไปที่ประตูนั้นอย่างไม่ทุลักทุเลนักเพราะความเคยชินที่ผ่านมาเป็นเวลาพอสมควรในห้องนี้ เธอแตะลูกบิดประตูอย่างลังเลก่อนตัดสินใจเปิดมันออก แต่หญิงสาวงงไปด้วยความไม่คาดคิด
มันล็อค!
เมื่อเขามาหาเธออีกครั้ง เธอจึงตัดพ้อเขาในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่สุดท้ายเขาก็ปิดปากเธอเอาไว้ได้ทุกที เธอต้องอดทนกับสภาวะนี้นานพอควร แต่ทุกอย่างต้องมีที่สิ้นสุดและความอดทนของเธอก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน ตามปกติเขาจะเป็นฝ่ายตื่นก่อนเธอ แต่วันนี้เธอรอให้เขาหลับไปก่อน จนแน่ใจแล้วเธอจึงค่อยๆเคลื่อนกายให้เงียบที่สุดไปยังประตู เปิดมันและเดินออกไป
อีกครั้งที่เธอถูกดึงเข้าไปสู่อ้อมแขนอีกฝ่ายทั้งๆที่เพิ่งเดินออกมาได้ไม่ไกล คราวนี้ไม่ใช่แค่หัวใจที่สั่นระรัวแล้ว เธอสัมผัสได้ถึงความรุ่มร้อนแห่งโทสะของเขา เมื่อเธอกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเขานำสิ่งๆหนึ่งมันรัดข้อเท้าเอาไว้ หนามของมันคมจนบาดผิวหล่อนให้เจ็บปวด เธอลองสัมผัสมันและก็รับรู้ว่ามันคือเถาดอกกุหลาบ...คอกไม้ที่เธอชอบ ตอนนี้มันตรึงเธอไว้ไม่ให้ออกจากห้องนี้ไปได้ บางครั้งเธอเด็ดดอกของมันออกมา ตอนแรกเธอประคับประคองดอกไม้เป็นอย่างดี แต่พอบัดนี้เธอกระชากมันโดยไม่สนใจว่าหนามของมันจะครูดกับผิวเนื้อเธออย่างไร มือนั้นสั่นระริกด้วยแรงอารมณ์ เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งสลับกับอาการเซื่องซึมในบางคราว
เธอไม่เคยปฏิเสธการแสดงความรักของเขา แต่ยามใดที่เขาไม่อยู่เธอจะเดินไปเดินมาด้วยความว้าวุ่นใจ อยากจะไปทุบประตูกรีดร้องบอกให้เขาปล่อยเธอไป แต่ศักดิ์ศรีทำให้เธอทำเช่นนั้นไม่ได้ นานวันร่างนั้นยิ่งผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ไม่ว่าชายหนุ่มพยายามเอาอกเอาใจเธอแค่ไหน ร่างนั้นก็ยังคงนิ่งจนแทบจะกลายเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตจิตใจ เขาพร่ำขอร้องเธออย่างทรมานใจกับสภาพของเธอ จนสุดท้ายเขาได้แต่ถอนใจ ออกไปจากห้องด้วยความเจ็บปวด
เมื่อลับหลังอีกฝ่ายเธอพยายามคิดหาคำตอบเสมอ คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่เธอตกลงมาในนี้ เดินทางอยู่ในอุโมงค์จนกระทั่งมาจบที่ห้องนี้ ทำไมที่อื่นๆเธอจึงไม่รู้สึกทรมานเท่าที่ห้องนี้? เธอแตะแก้มที่ตอบลง แขนขาซูบเซียว บาดแผลจากหนามกุหลาบ น้ำตาเธอแทบหยดด้วยความอัดอั้นตันใจ ทำไมเธอต้องมาอยู่ในห้องขังอันมืดมิดนี้ด้วย? แต่แล้วฉับพลันความคิดก็สว่างวาบขึ้นมา หญิงสาวอยากจะหัวเราะให้กับเวลาที่ผ่านมาในการคิดหาคำตอบหลายๆอย่างนั่น ทั้งๆที่คำตอบของมันก็อยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง
ใช่แล้ว...ความมืดมิด
ผ้าสีดำที่ผูกตาเธอเอาไว้เป็นเวลายาวนานก็ถูกปลดเปลื้องออกด้วยมือสั่นระริก แสงสว่างทำให้เธอต้องรีบหลับตาอีกครั้งเพราะความไม่ชิน ท้ายที่สุดเธอก็สามารถปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างนั้นได้ เธอมองไปรอบๆห้องที่เธอใช้ชีวิตอยู่ มันเป็นห้องที่มีเพียงแค่พื้นและผนังแต่ไม่มีเพดาน ดูคล้ายกับแบบโมเดลของสถาปนิก ในห้องนั้นโล่งกว้าง มีเพียงเตียงใหญ่เท่านั้นที่เป็นเครื่องเรือนตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องอย่างเช่นที่เธอได้รับรู้เมื่อยามที่อยู่ในความมืด คราวนี้เธอได้รับรู้มันท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจรัสนี้ ความรู้สึกของเธอก็เปลี่ยนไป
เธอแกะเถากุหลาบออกจากข้อเท้าของตน มันคลายตัวออกอย่างง่ายดาย หญิงสาวเดินกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ กางแขนออก หมุนตัวล้อแสงอย่างร่าเริงจนเธอเหนื่อยหอบ แก้มที่เคยซูบตอบกลับกลายเป็นพวงแก้มมีสีสันเปล่งปลั่ง ผิวกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากหนามก็เลือนหายไป หญิงสาวที่เคยผอมบางกลับมีน้ำมีนวลขึ้นกระจ่างตา
ชายหนุ่มเข้ามาอีกครั้งในยามค่ำคืน เขาชะงัก สีหน้ามัวหม่นยามเมื่อเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ ผ้าผูกตาหล่นอยู่ตรงนั้น เช่นเดียวกันกับ ‘โซ่’ ที่หล่อนปลดพันธนาการด้วยตัวเองก็กองอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน เธอเดินเข้ามากอดเขาไว้ สัมผัสของเธออ่อนโยนอ่อนหวานอย่างที่เขาไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน เขาจูบหน้าผากเธอเบาๆหลังจากที่อยู่ในอ้อมแขนกันและกัน เธอชันตัวขึ้นมองเขาเต็มตา เขาจับมือเธอไว้ค่อยๆจรดริมฝีปากกับมือนุ่มนั้น เธอยิ้มกระซิบที่ข้างหูเขา
“ฉันรักคุณ”
ทันใดนั้นปีกสีขาวค่อยๆงอกขึ้นกลางหลังขอเธอ ชายหนุ่มมองตระหนกและสิ้นหวัง มือของเขาปล่อยลงข้างตัวอย่างหมดแรง เธอกอดปลอบประโลมเขาก่อนก้าวจากเตียง เธอมองเขาราวกับจะให้ประทับไว้ในความทรงจำ ไม่มีวินาทีไหนทีเธอจะละสายตาจากเขา ดวงตารื้นไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความอาลัยอาวรณ์และที่เด่นชัดกว่าใดๆทั้งหมด...ความรัก!
ปีกนั้นกางออกเต็มที่ ร่างงดงามที่ไม่แปรสายตาออกจากชายหนุ่มค่อยๆเปลี่ยนไป ขนสีขาวเริ่มปกคลุมร่างกาย ร่างกายค่อยๆเล็กลงจนในที่สุดก็กลายเป็นนกสีขาว สะอาดบริสุทธิ์ บินขึ้นสู่ฟากฟ้า...ไปจากเขา จากห้องห้องนั้น จากอุโมงค์ และจากหลุมใหญ่นั้น บินไกลออกไป...ออกไปสู่แสงสว่างแห่งแสงตะวันที่เจิดจ้าเรืองรอง
=====================================================
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นงานเขียนชิ้นที่สามในชีวิต (ถ้าจำไม่ผิด เขียนตอนสมัยเรียน เก่ากว่ากระทู้ก่อนอีก) ยังเห็นความกะโหลกกะลาอยู่เยอะค่ะ แล้วก็ค่อนข้างดิบทีเดียว ^^"
ตอนนั้นอ่านเรื่อง "โรมิโอ กับ จูเลียต" ตอนที่จูเลียตเปรียบเทียบดอกกุหลาบ ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็คือ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมหวาน (ก็เหมือนโรมิโอ ไม่ว่าเขาจะชื่ออะไรตระกูลอะไรก็เป็นแค่ชื่อ แต่เขาคือโรมิโอ) หนิงเลยเอาแรงบันดาลใจมาตั้งเป็นชื่อเรื่องซะเลย ตอนนั้นเป็นช่วงที่ค่อนข้างปล่อยความคิดตัวเองออกมาแบบไม่ได้กลั่นกรองมากมาย คิดอะไรก็สื่อออกมาแบบซื่อตรง โผงผางอยู่สักหน่อย งานเลยอ่านยากนิดหนึ่งนะคะ
แต่สุดท้ายก็ยังคงหวังว่าคนอ่านจะชอบมันนะคะ แค่บางส่วนก็ยังดี ^^