สยามสแควร์ (ไพรัช คุ้มวัน, 2017) คะแนน C+
By Form Corleone
" หนังมีสารข้อความที่ดีมาก แต่มันไม่มีเหตุผลที่มารองรับสารเหล่านั้นได้เท่าที่ควร " เป็นงานที่ไม่ได้รู้สึกเกลียดหรือชอบ อยู่ในระดับกลางๆ มีส่วนที่ชอบและไม่ชอบผสมกันไป ส่วนที่ชอบคงเป็นข้อความที่หนังต้องการส่งสารมาถึงเรา ประเด็นที่วัยรุ่นหรือผู้ปกครองควรที่จะตอบสนองข้อความเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ในหมู่เพื่อนร่วมรุ่น รวมถึงปัญหาผีมีปม คนช่วยผี หนังดูพยายามให้ที่จะแตกต่างโดยเลือกโลเคชั่นเป็นสถาบันกวดวิชา แต่มันไม่ได้สัมพันธ์หรือรองรับพฤติกรรมของตัวละครอะไรเลย ความสัมพันธ์ในเรื่องน่าจะเกิดในโรงเรียนเสียมากกว่า แต่อาจเป็นเพราะมันจะซ้ำซากจนเกินไป จึงเลือกมาใช้พล็อตความสัมพันธ์ในโรงเรียนกวดวิชาแทน ซึ่งมันขัดกับความรู้สึกมากๆ ความสมเหตุสมผลหรือตรรกะต่างๆในเรื่องเลยถูกลดทอนตามไปด้วย แม้หนังจะเปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจ แต่จนแล้วจนรอดน้ำหนักต่างๆของตัวละครในเรื่องก็จางหายไปในที่สุด และกลายร่างเป็นความสะเปะสะปะจับต้นชนปลายกันไม่แนบสนิท นำพาซึ่งความหงุดหงิดอยู่เป็นระยะๆ แต่ไม่ได้แย่จนรู้สึกอึดอัด
ตัวละครเยอะเกินความจำเป็น ทำให้หนังไม่สามารถสร้างสมดุลของตัวละครได้ตลอดรอดฝั่ง ตัวละครบางตัวจึงกลายเป็นวอลเปเปอร์ประดับฉากแค่นั้น หนังน่าจะเลือกโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์เพียงไม่กี่คนน่าจะเป็นอะไรที่โอเคมากกว่านี้ เพราะเราจะได้โฟกัสไปที่ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งเลย การปรากฏตัวของผีนั้นทำหลายจังหวะเกินไป จนทำให้เราชินและไม่น่ากลัว โดยเฉพาะในรูปของ ‘ซาวด์เสียง’ ที่ไม่รู้ว่าจะใช้ซ้ำๆกันทำไม หรือรูปลักษณ์ของตัวผีที่ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้น่าจดจำหรือติดตาตามไปฝัน หรือปิดไฟในที่มืดแล้วเราจะนึกหน้าผีตัวนี้ได้ออกเหมือนหนังผีเรื่องอื่นๆ วิธีเล่าเรื่องก็ติดขัดไม่ไหลลื่น ความตลกร้ายของตัวละครคือ ถ้าเป็นเราคงจะไม่ทำอะไรแบบนี้แน่ๆ เพราะมันขัดกับจิตสำนึกมากๆ แต่ในเมื่อหนังเลือกทำแบบนี้เพราะอาจจะมีข้อจำกัดในส่วนของบทภาพยนตร์หรืออะไรก็ตามแต่ เราก็คงจะมองผ่านๆและร่วมสนุกไปกับพฤติกรรมของตัวละครที่ชวนแปลกพิลึกๆตลกๆไปได้เพลินๆ อย่างไม่ยากจนเกินไป
ข้อดีคือหนังผูกเงื่อนไขปัญหาได้ค่อนข้างดี การหยิบสมุดเฟรนด์ชิป มาใช้ในการดำเนินเรื่องเป็นส่วนที่เราชอบมาก เพราะสมุดเล่มนี้เปรียบเสมือนเรื่องราวของตัวเราที่เพื่อนเขียนให้เรา มันคือเรื่องราวต่างๆที่เพื่อนคนหนึ่งมองเพื่อนอีกคนหนึ่ง และเราจะยอมรับในสิ่งที่เพื่อนเขียนถึงตัวเราได้มากแค่ไหน เราจะเป็นในแบบที่เราเป็นหรือจะเป็นในแบบที่เพื่อนมองว่าเราเป็น ลึกๆแล้วเราคงรู้ตัวว่าสิ่งที่เราเป็นนั้นคืออะไร เมื่อเราโตขึ้นคงหนีไม่พ้นสังคมแห่งการตัดสิน สังคมที่เราต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินของคนอื่นว่าเราเป็นแบบไหน หรือบางครั้งเราก็เผลอตัดสินคนอื่นไปแล้วจากการได้ยินหรือได้อ่านเท่านั้น โดยไม่ได้ทำความรู้จักหรือนั่งฟัง เปิดใจให้เขาได้อธิบายตัวตนของเขาให้เราฟัง บางครั้งคำพูดเพียงไม่กี่คำที่หลุดออกมาจากปากเราในการตัดสินคนอื่นโดยไม่ได้ผ่านความคิด อาจทำร้ายชีวิตของคนๆหนึ่งเลยก็ได้ และมันก็กลับไปแก้ไขคำพูดเหล่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นข้อความหรือสารที่หนังต้องการส่งมาให้จึงมีคุณค่าในตัวของมันเอง และคำพูดที่ไม่ได้คิด อาจจะสร้างสิ่งที่น่ากลัวตามมาหลังจากนั้น และที่แน่นอนคือมันน่ากลัวกว่าผีจริงๆเสียอีก
ท้ายสุดแต่ไม่สุดท้าย 'สยามสแควร์' เป็นหนังที่ไม่ได้แย่ในเนื้อหาสาระที่ตัวมันเองพยายามจะสื่อออกมา แต่ตัวหนังขาดความสมดุลอย่างสิ้นเชิง เรียกว่าไปไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะเป็นทางผีหรือปมปัญหาวัยรุ่น ความไม่สมเหตุสมผลของตัวละคร ความไม่สมเหตุสมผลของสถานที่ รวมถึงความสัมพันธ์ที่ตื้นเขินจนไร้น้ำหนัก ทำให้เราไม่สามารถเชื่อสิ่งต่างๆที่หนังนำเสนอได้เลย อย่างไรก็ตามแต่ เรายังคงชอบประเด็นที่หนังนำเสนอและชื่นชมตัวผู้กำกับที่กล้านำเสนออะไรใหม่ๆในหนังผี จนทำให้เราเชื่อว่า ถ้าหนังหนึ่งเรื่องมีสารข้อความที่ดีแล้ว ไม่ว่าองค์ประกอบต่างๆที่รายล้อมรอบๆจะดูเลอะเทอะแค่ไหน สาระที่แข็งแรงยังคงส่งผ่านมาถึงเราได้อยู่ดี
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: สยามสแควร์ (ไพรัช คุ้มวัน, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
" หนังมีสารข้อความที่ดีมาก แต่มันไม่มีเหตุผลที่มารองรับสารเหล่านั้นได้เท่าที่ควร " เป็นงานที่ไม่ได้รู้สึกเกลียดหรือชอบ อยู่ในระดับกลางๆ มีส่วนที่ชอบและไม่ชอบผสมกันไป ส่วนที่ชอบคงเป็นข้อความที่หนังต้องการส่งสารมาถึงเรา ประเด็นที่วัยรุ่นหรือผู้ปกครองควรที่จะตอบสนองข้อความเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ในหมู่เพื่อนร่วมรุ่น รวมถึงปัญหาผีมีปม คนช่วยผี หนังดูพยายามให้ที่จะแตกต่างโดยเลือกโลเคชั่นเป็นสถาบันกวดวิชา แต่มันไม่ได้สัมพันธ์หรือรองรับพฤติกรรมของตัวละครอะไรเลย ความสัมพันธ์ในเรื่องน่าจะเกิดในโรงเรียนเสียมากกว่า แต่อาจเป็นเพราะมันจะซ้ำซากจนเกินไป จึงเลือกมาใช้พล็อตความสัมพันธ์ในโรงเรียนกวดวิชาแทน ซึ่งมันขัดกับความรู้สึกมากๆ ความสมเหตุสมผลหรือตรรกะต่างๆในเรื่องเลยถูกลดทอนตามไปด้วย แม้หนังจะเปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจ แต่จนแล้วจนรอดน้ำหนักต่างๆของตัวละครในเรื่องก็จางหายไปในที่สุด และกลายร่างเป็นความสะเปะสะปะจับต้นชนปลายกันไม่แนบสนิท นำพาซึ่งความหงุดหงิดอยู่เป็นระยะๆ แต่ไม่ได้แย่จนรู้สึกอึดอัด
ตัวละครเยอะเกินความจำเป็น ทำให้หนังไม่สามารถสร้างสมดุลของตัวละครได้ตลอดรอดฝั่ง ตัวละครบางตัวจึงกลายเป็นวอลเปเปอร์ประดับฉากแค่นั้น หนังน่าจะเลือกโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์เพียงไม่กี่คนน่าจะเป็นอะไรที่โอเคมากกว่านี้ เพราะเราจะได้โฟกัสไปที่ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งเลย การปรากฏตัวของผีนั้นทำหลายจังหวะเกินไป จนทำให้เราชินและไม่น่ากลัว โดยเฉพาะในรูปของ ‘ซาวด์เสียง’ ที่ไม่รู้ว่าจะใช้ซ้ำๆกันทำไม หรือรูปลักษณ์ของตัวผีที่ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้น่าจดจำหรือติดตาตามไปฝัน หรือปิดไฟในที่มืดแล้วเราจะนึกหน้าผีตัวนี้ได้ออกเหมือนหนังผีเรื่องอื่นๆ วิธีเล่าเรื่องก็ติดขัดไม่ไหลลื่น ความตลกร้ายของตัวละครคือ ถ้าเป็นเราคงจะไม่ทำอะไรแบบนี้แน่ๆ เพราะมันขัดกับจิตสำนึกมากๆ แต่ในเมื่อหนังเลือกทำแบบนี้เพราะอาจจะมีข้อจำกัดในส่วนของบทภาพยนตร์หรืออะไรก็ตามแต่ เราก็คงจะมองผ่านๆและร่วมสนุกไปกับพฤติกรรมของตัวละครที่ชวนแปลกพิลึกๆตลกๆไปได้เพลินๆ อย่างไม่ยากจนเกินไป
ข้อดีคือหนังผูกเงื่อนไขปัญหาได้ค่อนข้างดี การหยิบสมุดเฟรนด์ชิป มาใช้ในการดำเนินเรื่องเป็นส่วนที่เราชอบมาก เพราะสมุดเล่มนี้เปรียบเสมือนเรื่องราวของตัวเราที่เพื่อนเขียนให้เรา มันคือเรื่องราวต่างๆที่เพื่อนคนหนึ่งมองเพื่อนอีกคนหนึ่ง และเราจะยอมรับในสิ่งที่เพื่อนเขียนถึงตัวเราได้มากแค่ไหน เราจะเป็นในแบบที่เราเป็นหรือจะเป็นในแบบที่เพื่อนมองว่าเราเป็น ลึกๆแล้วเราคงรู้ตัวว่าสิ่งที่เราเป็นนั้นคืออะไร เมื่อเราโตขึ้นคงหนีไม่พ้นสังคมแห่งการตัดสิน สังคมที่เราต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินของคนอื่นว่าเราเป็นแบบไหน หรือบางครั้งเราก็เผลอตัดสินคนอื่นไปแล้วจากการได้ยินหรือได้อ่านเท่านั้น โดยไม่ได้ทำความรู้จักหรือนั่งฟัง เปิดใจให้เขาได้อธิบายตัวตนของเขาให้เราฟัง บางครั้งคำพูดเพียงไม่กี่คำที่หลุดออกมาจากปากเราในการตัดสินคนอื่นโดยไม่ได้ผ่านความคิด อาจทำร้ายชีวิตของคนๆหนึ่งเลยก็ได้ และมันก็กลับไปแก้ไขคำพูดเหล่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นข้อความหรือสารที่หนังต้องการส่งมาให้จึงมีคุณค่าในตัวของมันเอง และคำพูดที่ไม่ได้คิด อาจจะสร้างสิ่งที่น่ากลัวตามมาหลังจากนั้น และที่แน่นอนคือมันน่ากลัวกว่าผีจริงๆเสียอีก
ท้ายสุดแต่ไม่สุดท้าย 'สยามสแควร์' เป็นหนังที่ไม่ได้แย่ในเนื้อหาสาระที่ตัวมันเองพยายามจะสื่อออกมา แต่ตัวหนังขาดความสมดุลอย่างสิ้นเชิง เรียกว่าไปไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะเป็นทางผีหรือปมปัญหาวัยรุ่น ความไม่สมเหตุสมผลของตัวละคร ความไม่สมเหตุสมผลของสถานที่ รวมถึงความสัมพันธ์ที่ตื้นเขินจนไร้น้ำหนัก ทำให้เราไม่สามารถเชื่อสิ่งต่างๆที่หนังนำเสนอได้เลย อย่างไรก็ตามแต่ เรายังคงชอบประเด็นที่หนังนำเสนอและชื่นชมตัวผู้กำกับที่กล้านำเสนออะไรใหม่ๆในหนังผี จนทำให้เราเชื่อว่า ถ้าหนังหนึ่งเรื่องมีสารข้อความที่ดีแล้ว ไม่ว่าองค์ประกอบต่างๆที่รายล้อมรอบๆจะดูเลอะเทอะแค่ไหน สาระที่แข็งแรงยังคงส่งผ่านมาถึงเราได้อยู่ดี
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/