ธรรมกาย:ฟางเส้นสุดท้ายแห่งการเสื่อมสลายของสถาบันสงฆ์ไทย-ถ้าไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาด ลาออกไปเลี้ยงหลานดีกว่า [ส.ศิวรักษ์]

กระทู้สนทนา
โดย MGR Online             
28 มิถุนายน 2559 07:54 น. (แก้ไขล่าสุด 28 มิถุนายน 2559 10:17 น.)
http://www.manager.co.th/qol/ViewNews.aspx?NewsID=9590000064325



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



        ธรรมกายเป็นฟางเส้นสุดท้ายแห่งการเสื่อมสลายของสถาบันสงฆ์ไทย เนื่องจากคำสอนของธรรมกายเป็นสัทธรรมปฏิรูป คือ บิดเบือนเฉไฉคำสอนของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ ยังไปได้ด้วยดีกับศาสนาใหม่ คือ ทุนนิยมและบริโภคนิยม ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มาทางนี้ เลยดึงดูดคนได้มาก ที่เลวร้ายกว่านั้นคือคณะสงฆ์ก็เป็นไปด้วย พระชอบสมณศักดิ์ รับเงินเป็นแสนเป็นล้านไม่อับอาย ถึงบอกว่าธรรมกายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ คณะสงฆ์ไทยก็ล่มสลาย

        นายสุลักษณ์ กล่าวถึงการจับกุมพระธัมมชโย ว่า กฎหมายบ้านเมืองต้องสำคัญ นี่ฉ้อฉล ฟอกเงิน ชัดเจน จะบอกว่าเพราะห่มเหลืองเลยทำอะไรไม่ได้มันไม่ได้ ถ้าทำผิดก็ต้องจับ รัฐบาลมีอำนาจแต่ไม่ทำ ส่วนเรื่องโล่มนุษย์นั้น รัฐบาลสามารถใช้วิธีแยบคายได้ แต่ที่ผ่านมานี่ยื้อไปยื้อมา หัวหน้าคณะปฏิวัติไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาด น้ำผึ้งหยดเดียวจะเป็นเรื่องใหญ่โต
       
        “เรื่องนี้ถ้าจะใช้อำนาจ อธิบายให้ชัดเจนเลยว่าใช้อำนาจตามกฎหมายอย่างไร คนส่วนใหญ่จะเข้าใจเลยว่าใช้อำนาจอย่างถูกต้อง ปกครองรัฐฐะแต่ไม่กล้าใช้อำนาจ ลาออกไปเลี้ยงหลานที่บ้านดีกว่า
       
        ส.ศิวรักษ์ กล่าวอีกว่า จะมาอ้างว่ากลัววุ่นวาย บานปลาย หากจับพระธัมมชโย ยึดอำนาจจากรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนคนทั้งประเทศ ยังทำได้เลย เอาคนมาขังคุกไม่กลัววุ่นวาย บานปลายหรือ เรื่องนี้ต้องกล้าตัดสินใจ


-------------------------------------








สัมภาษณ์พิเศษ พระอดิศักดิ์ วิริยสกโก
1 ใน 3 ผู้ก่อตั้งธรรมกาย
http://mblog.manager.co.th/hanzen/cx1-3-2542/


สยามธุรกิจ : ธุรกิจหลัก ๆ ของคุณไชยบูรณ์โดยสีกาอี๊ดช่วงนั้นมีอะไรบ้าง

พระอดิศักดิ์ : มีค้าน้ำมันอีสานกับสีกาอี๊ด จริง ๆ แล้วเป็นการค้าขายกับคุณวาสนา แต่เลิกค้ากันไป
ค้ากันมาเจ๊งยับเยิน คุณวาสนาเห็นว่าไอ้บริษัทนี่เหลือแต่ชื่อกลวง ๆ แล้ว ก็ยกย่องสีกาอี๊ดขึ้นมาเป็น
ผู้จัดการ ช่วงนั้นเข้าใจว่า หมดไปเป็นพัน ๆ ล้าน

สยามธุรกิจ : ธุรกิจจัดสรรที่ดินทำกันอย่างไร

พระอดิศักดิ์ : สีกาอี๊ดเป็นคนจัดการ กว้านซื้อที่ดินรอบบริเวณวัด บุกรุกป่าทำสารพัดก็อาศัยสีกาอี๊ด
เป็นคนวิ่งเต้นขึ้นเหนือลงใต้ทุกอย่าง เป็นตัวจักรเด่นชัดที่สุด คนอื่นเป็นเพียงแต่ฉากประกอบ

สยามธุรกิจ : โดยส่วนใหญ่แล้ว ธุรกิจของเขาเป็นอย่างไรบ้าง

พระอดิศักดิ์ : ธุรกิจของเขาเป็นธุรกิจสวมรอยชาวบ้าน ได้มาฟรี ๆ

สยามธุรกิจ : แล้วส่วนที่ผันเงินของวัดไปทำธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง

พระอดิศักดิ์ : เจ๊ง เจอวิบัติหมด เช่น น้ำมันอีสานหมดเป็นพัน ๆ ล้าน
หรือที่เอาไปปั่นหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ ลูกศิษย์ของอาตมาเล่าให้ฟังว่า หมดไปประมาณ 2 หมื่นล้าน

สยามธุรกิจ : จุดเริ่มการเล่นหุ้นพอจะลำดับความได้อย่างไร

พระอดิศักดิ์ : เดิมที มีการเล่นหุ้นน้ำมันของแม่ชม้อย นายไชยบูลย์เป็นหัวคิว เชียร์ลูกน้องให้ เล่นด้วยเพื่อหวังรวย
แต่ในสุดท้ายลูกศิษย์ก็ซวยเจ๊งไปตาม ๆ กัน นายไชยบูลย์จึงหลบหน้าไปพักหนึ่ง

สยามธุรกิจ : หลบหน้าไปไหน

พระอดิศักดิ์ : หลบหน้าไป ไม่รับผิดชอบ ไปเชียงใหม่ กบดานอยู่ในที่นั่น แต่ก็ไปปั้มเงินจากที่นั่น
อีกจากเศรษฐีหน้าโง่ต่อไป เสร็จแล้วหลังจากนั้น ทราบว่า มีลูกศิษย์ผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เล่นหุ้น มี
ครอบครัวแล้ว และประสบความสำเร็จมากในการเล่นหุ้น ก็เลยอยากจะได้กำไรด้วย
ก็เลย เรียกลูกศิษย์ให้นำเงินวัดไปเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

สยามธุรกิจ : พูดชัด ๆ อย่างนี้เลยใช่ไหมครับ

พระอดิศักดิ์ : ใช่ ลูกศิษย์ก็เลยตกใจ ไม่รู้จะถอนตัวอย่างไรได้ ก็เลยบอกว่ามีลูกอยู่คนหนึ่งกำลัง
โตเป็นสาว กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ สามีก็อายุมากแล้ว อยากขอตัวไปดูแลลูกสามีก่อนสักปี
สองปี เมื่อลูกโตแล้วจะรีบกลับมาช่วย พูดง่าย ๆ ก็ คือ ชิ่ง หลังจากนั้นจึงไม่กลับมาเลย เพราะ
รู้ว่า เจ้าอาวาสมีเจตนาทุจริต

สยามธุรกิจ : ทำไมลูกศิษย์ถึงรับไม่ได้กับข้อเสนอเพราะการเล่นหุ้นเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง

พระอดิศักดิ์ : ใช่ แต่เป็นพระเล่นธุรกิจได้อย่างไร แกเอามาเล่าให้อาตมาฟัง เห็นว่า ไม่ถูกต้อง
แกก็เลยหนี หนีเสร็จในช่วงนั้น นายสอง ซึ่งเพิ่งจบธรรมศาสตร์ใหม่ ๆ ฐานะทางบ้านปานกลางไม่มีงานทำ
ไปเรียนหมอนวดจากหมอนวดไทยคนหนี่ง เรียนเสร็จแล้วมารับใช้เจ้าอาวาส เพราะน้องชายบวชอยู่ที่นั่น
มาบีบมานวดนายไชยบูลย์ นายไชยบูลย์ก็ชอบด้วยเห็นว่าคุยเก่ง
เห็นว่า เด็กคนนี้มีแววดี ก็เลยอุปโลกน์นายส.เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ชี้ตัวโน้นขึ้นตัวนี้ลง
ปั่นหุ้นจนกระทั่งติดอันดับเสร็จแล้วก็เอาเงินจากลูกศิษย์ที่ไว้ใจเอามาเล่น แต่ส่วนใหญ่เป็นเงินของวัด
ชี้ตัวไหนตัวนั้นขึ้น ก็เลยมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว
แต่ในที่สุดเวรกรรมตามทันนั้น หุ้นเจ๊งระเนระนาด นายส.เกือบเป็นบ้า
นายไชยบูลย์หมดตัวเป็นเงิน 2 หมื่นล้าน ก็เลยต้องเรี่ยไรต่อ สร้างโครงการสวรรค์วิมานในฝันต่อ
แต่สร้างอะไรไม่ได้ตังค์รวดเร็วเท่ากับโกหกหลอกลวง

นายส. คือ เสี่ยสอง พี่ชายของพระสมชาย ฐาวุฑโฒ




http://www.nationtv.tv/main/content/social/378538816/


-------------------------------------




พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ  โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Phra Paisal Visalo
ระบุถึงกรณีธัมมชโยและธรรมกาย ว่า


กรณีธัมมชโย-ธรรมกาย เป็นปัญหาที่ร้ายแรงในตัวมันเอง ขณะเดียวกันก็เป็นภาพสะท้อนปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งกว่าของวงการพุทธศาสนาไทย

ประการแรกกรณีดังกล่าวไม่เพียงชวนตั้งคำถามกับคุณธรรมและวิจารณญาณของกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นรายบุคคลเท่านั้น
หากยังบ่งชี้ถึงข้อบกพร่องของระบบการปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะการรวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่คนเพียง 20 คน
โดยไม่มีกลไกการตรวจสอบภายใน

ไม่ต้องรับผิดกับผู้ใด ขาดความโปร่งใส จึงเปิดโอกาสให้มีการวิ่งเต้นใช้เส้นสายหรือผลประโยชน์เพื่อชักจูงโน้มน้าวกรรมการมหาเถรสมาคม
นำไปสู่การละเลย ไม่ใส่ใจ ต่อการประพฤติผิดพระธรรมวินัยของพระที่ร่ำรวยหลายรูป จนบุคคลอย่างธัมมชโยสามารถแผ่อำนาจ
และเครือข่ายไปอย่างกว้างขวาง

ประการต่อมา การที่ธัมมชโย-ธรรมกายได้รับความนิยมจากผู้คนจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่าชาวพุทธจำนวนมากยังคงเข้าใจผิด
หลักธรรมทางพุทธศาสนา แม้กระทั่งเรื่องพื้นฐาน เรื่องของบุญ ก็มีความเห็นที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน เช่น เชื่อว่าบริจาคเงินมากเท่าไรก็ได้บุญมากเท่านั้น

หรือทำบุญเพื่อเอา มิใช่ทำบุญเพื่อละ จึงง่ายที่จะคล้อยตามและหลงใหลศรัทธาในธัมมชโย/ธรรมกาย

กรณีดังกล่าวสะท้อนถึงความล้มเหลวในการเผยแผ่ธรรมของชาวพุทธไทย โดยเฉพาะคณะสงฆ์
ซึ่งโยงไปถึงความล้มเหลวของการศึกษาคณะสงฆ์อย่างชัดเจน


-------------------------------------



พระธรรมกายเอาเงินวัดไปให้ ฆราวาส หรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่สงฆ์ เพื่อทำการซื้อขายหุ้น
ซึ่งขาดไปจากการเป็นทรัพย์สินของวัด อย่างสิ้นเชิง โดยไม่มีหลักฐานกู้ยืมใดๆ ไว้จากวัด
หมายความว่าเงินนั้นได้หายไปจากทรัพย์สินของสงฆ์ ไม่สามารถเรียกคืนได้ ด้วยไม่มีสัญญาใดๆ รองรับอยู่




ทุติยปาราชิก ขาดความเป็นภิกขุเพราะลักขโมย

โย ปะนะ ภิกขุ คามา วา อะรัญญา วา อะทินนัง…


“อนึ่ง ภิกขุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว ประหารเสียแล้ว จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้างด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ดังนี้ ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกขุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกขุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.”

สมาชิกหมายเลข 3751822


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่