สวัสดีครับ ผมเชื่อว่า หลาย ๆ ท่าน อาจจะรู้สึกว่าสิงคโปร์เป็นประเทศที่ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่มีความเป็นธรรมชาติ และหลายอย่างดูจะประดิษฐ์มากกว่าทีคิด ซึ่งผมก็พยายามพิสูจน์และหาข้อหักล้างดังเช่นกระทู้นี้เมื่อ 2 ปีก่อนครับ https://ppantip.com/topic/33252421
ระหว่างนั้นผมก็มีโอกาสได้กลับไปสิงคโปร์อีกบ้าง แต่รู้สึกว่าการไปสิงคโปร์ในช่วงหลัง ๆ ของผม เต็มไปด้วยธุระการงานมากกว่าจะเป็นการพักผ่อน และทำให้ผมไม่ได้ใส่ใจกับการวางแผนไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ มากนัก จนกระทั่งหนล่าสุดนี้ ผมมีเวลา 7 วันเต็มในสิงคโปร์ แน่นอนว่า เป็นการไปเรียนไปทำงานตลอดวันจันทร์ – ศุกร์ มีเวลาว่างเพียงแค่บ่ายวันอาทิตย์และวันเสาร์ก่อนเดินทางกลับ นั่นทำให้ผมเลิกคิดเรื่องเที่ยว เรื่องช็อปปิ้ง แต่กลับหาธีมให้ชีวิตกลับมาเขียนบอกเล่า เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่าน Pantip ที่มีสิงคโปร์เป็นหนึ่งในแผนการเดินทางในใจครับ
กระทู้นี้จึงขออุทิศว่าด้วยเรื่องของ “ของกิน” เท่านั้นครับ ของกินที่ว่ามีหลากหลายแบบ ซึ่งผมว่าต้องมีสักแบบและสักร้านที่ถูกใจถูกจริตผู้อ่านอย่างแน่นอน และถ้าจะพูดจากใจ ร้านทั้งหมดที่ปมจะรีวิวสิริรวม 17 ร้านต่อจากนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นร้านประจำ ร้านคุ้นเคยของผม และหลาย ๆ ร้าน ผมคงจะขออนุญาตพูดว่า นี่คือ “best kept secret” ที่ไม่เคยเปิดเผยบอกใครมาก่อนครับ
ผมจะไม่เล่าเรื่องหรือเรียบเรียงร้านตามลำดับเวลาที่ผมไปรับประทาน แต่จะเรียงลำดับตามหมวดหมูที่ผมสะดวกจะเขียนถึง โดยขออนุญาตเริ่มจากอาหารเช้าก่อนครับ
อาหารเช้าแบบท้องถิ่นของคนสิงคโปร์ ที่หลาย ๆ คนคงรู้จักกันดี คงหมายถึง ไข่ลวก ขนมปังสังขยา และกาแฟร้อน หลายคนอาจจะมีร้านประจำ อย่างร้านง่าย ๆ Toast Box ในเครือ Bread Talk หรือร้านชื่อดังที่มีสาขาในเมืองไทยแล้วอย่าง Yakun Kaya Toast ร้านเหล่านั้นไม่สามารถตอบโจทย์ผมได้ทั้งหมดครับ ของผมมันต้องถึงความเป็น “ท้องถิ่น” มากกว่านั้น และถ้าจะเลือกสักหนึ่งร้านสำหรับหมวดหมู่นี้ คำตอบของผมคือ
“Toast Hut”
ร้านนี้พิเศษอย่างไร พิเศษตั้งแต่ตัวร้านแล้วครับ ร้านนี้เจ้าของร้านชื่อ Melvin Soh ผู้ที่มี passion อย่างเต็มเปี่ยมโดยเริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างในร้านขนมปังสังขยา chain ดังของเกาะแห่งนี้ตั้งแต่อายุ 17 ปี ขณะเรียนหนังสือที่ the Institute of Technical Education ก่อนจะออกมาเปิดร้านเป็นของตนเองอย่าง Toast Hut ตั้งแต่ปี 2007 ร้านก็ธรรมดาบ้าน ๆ แต่ความอร่อยอยู่ที่ขนมปังปิ้งแบบสิงคโปร์สอดไส้สังขยาและเนยสด รสชาติกลมกล่อมลงตัว และไม่ได้หวานนำเหมือนร้านดังอื่น ๆ ครับ
ถ้าจะให้ดีในตอนเช้าเช่นนี้ แนะนำให้สั่งเป็นชุดมาเลย จะได้ขนมปังสองชิ้นใหญ่หั่นครึ่ง ไข่ลวกกำลังดีสองฟอง พร้อมเครื่องดื่มร้อน จะเป็นชาหรือกาแฟก็ได้ 1 แก้ว แนะนำให้สั่งชาร้อนที่นี่เข้มและหอมอร่อยมากครับ ราคาเบ็ดเสร็จที่ผมว่านี่แค่ 3 เหรียญเท่านั้น ถ้ามาเช้าอาจจะเจอคิวที่ยาวนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากเกินจนถึงขั้นหงุดหงิดครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบสำหรับร้านนี้คืออัธยาศัย วันที่ผมไปไม่ได้พบ Melvin Soh แต่พบคุณแม่บัญชาการและลงมือปรุงเองอยู่ แม้ป้ายจะบอกว่า Self Service แต่ผมคงดูเงอะงะเกินคนท้องถิ่น คุณแม่ท่านก็เลยบรรจงวางขวดซอสปรุงรสและพริกไทย ไข่ที่ยังไม่กระเทะเปลือก 2 ฟอง ขนมปัง และชาร้อนมาให้ผมถึงที่โต๊ะครับ
ข้อมูลจำเพาะ https://www.facebook.com/ToastHut/ เวลาเปิด 6.00 – 15.00 น. ทุกวันครับ วิธีการเดินทางให้นั่งรถใต้ดินสายสีส้มหรือ Circle Line ลงสถานี Dakota ออกที่ทางออก B ข้ามทางม้าลายเล็ก และเดินออกมาถนน Old Airport Road เดินออกมาทางซ้ายมือเรื่อย ๆ ข้ามถนนที่ไฟแดงแรก ก็จะถึงศูนย์อาหาร Old Airport Road ร้านอยู่ชั้นล่าง คูหาหมายเลข 52 ครับ
Tiong Bahru Bakery อาหารเช้าที่ฮิปส์และฮิตที่สุดในตอนนี้ครับ
เตียงบาห์รูที่ผมเคยเขียนถึงเมืองสองปีก่อน บัดนี้ติดลมบนนักท่องเที่ยวชาวไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ร้านกาแฟเริ่มได้ยินเสียงบทสนทนาภาษาไทยแซมภาษาอังกฤษสำเนียงของ expat ชาติอื่น ๆ ทำเอาผมหวั่นใจว่าเตียงบาห์รูจะไม่ฮิปส์และเลิกฮิตเข้าสักวัน ประกอบกับช่วงนี้ตัวตลาดสีครีมเหลืองและศูนย์อาหารชั้นบนกำลังปิดซ่อม 3 เดือน (กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2560) เลยทำให้ผมห่างกับเตียงบาห์รูไปหน่อยครับ
แต่สุดท้ายแล้วผมก็อดใจและห้ามใจไม่ได้ กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในเช้าสุดท้ายของวันกลับบ้าน เพื่อไปหาอาหารเช้าง่าย ๆ รับประทานในร้านสีขาวตัดกับทุกอย่างในธีมสีเขียวขี้ม้าของทางร้านครับ
7.55 น. บนถนน Eng Hoon ตรงข้ามตลาดเตียงบาห์รู ตรงที่ร้าน Whisk ร้านโปรดของผมอีกร้านที่รีววิวไปคราวก่อนตั้งตระหง่านอยู่ ผมเดินลึกเข้าไปยังถนนดังกล่าว ขณะนี้มีคนเดินเตร่ไปมา บ้างก็นั่งรออยู่หน้าร้าน บ้างก็มาลองผลักประตูไม้บานใหญ่ที่ยังคงปิดสนิทจากกลอนด้านในอยู่ บางคนก็ดูจะเป็นขาประจำ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเปิด 8 โมงเช้าก็พยายามจะผลัก อย่างน้อยก็เผื่อว่ามันเปิดขึ้นมา จะได้เป็นแขกรายแรก ๆ ของร้านในวันดังกล่าวครับ
8.00 น. ประตูที่เคยปิดก็เปิดออก พร้อม ๆ กับฮิปสเตอร์และคอเบเกอรี่ราว 15 ชีวิตรวมทั้งผมด้วย ก็พรวดเข้าไปในร้าน ที่นี่จะมีคิว 2 ประเภท ถ้าสั่งกาแฟอย่างเดียวก็เข้าคิวสั้นด้านหน้า แต่ถ้าจะสั่งขนมเพิ่มด้วย ก็ให้เข้าคิวลึกที่อยู่ด้านในแทน วันนี้ผมได้คิวที่สาม เนื่องจากรับประทานอะไรที่โรงแรมมานิดหน่อยแล้ว ผมเลยสั่งครัวซองต์เพียง 1 ชิ้น ราคา 2.9 เหรียญ พร้อมกับกาแฟ Flat White เย็น อีกสักแก้ว กาแฟที่นี่รสชาติดีมาก ผมซึ่งเป็นคนติดหวานและเรียกหาน้ำเชื่อมทุกครั้ง กลับทานกาแฟและนมเพียว ๆ โดยไม่เติมความหวานได้อย่างน่าประหลาดใจครับ
ช้าก่อน นั่นคือการรับประทานที่ร้านครับ เพราะผมยังสั่งขนมอีก 3 ชิ้นกลับบ้านที่กรุงเทพฯ อ่านไม่ผิดครับ บ้านที่กรุงเทพ ฯ เพราะที่บ้านผมก็เป็นแฟนร้านนี้ เริ่มจาก ครัวซองต์อัลมอนด์ 3.8 เหรียญ ครัวซองต์อัลมอนด์ช็อกโกแลต 4 เหรียญ และที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคือ Original Kouign Amann (ผมออกเสียงประมาณควีนอามันน์) ราคา 3.5 เหรียญ สองอย่างแรกอร่อยเกินมาตรฐาน ส่วนอย่างสุดท้ายนี่อร่อยลืมตายครับ ลืมร้านเบเกอรี่ลูกครึ่งญี่ปุ่นที่ทำขายในกรุงเทพ ฯ ไปได้เลย ที่เตียงบาห์รูเบเกอรี่ รสชาติเลอค่ากว่ามาก ๆ ครับ
ทั้งนี้ ที่ร้านมีที่นั่งรับประทานเยอะอยู่ ทั้งในร่ม และบริเวณเทอเรซ หรือจะเรียกว่าหง่อคาขี่หรือช่องทางเดินรอบร้านก็ได้ครับ แต่ที่นั่งเหล่านี้ก็ถูกยึดครองจนเต็มภายใน 15 นาทีแรกหลังร้านเปิด และอัตราการหมุนเวียนเก้าอี้ดนตรีก็มีมากอย่างน่าตกใจ และอีกประการที่ผมชื่นชมร้านนี้ นอกจากน้ำเปล่าฟรีแล้ว ยังสามารถหยิบเนยแท้ ๆ (ไม่ใช่ butter blend) ที่เป็นก้อนเล็ก ๆ ได้ไม่อั้น เช่นเดียวกับแยมเบอร์รี่และแยมผิวส้มอีกอย่างละกระปุกใหญ่ ๆ ที่สามารถตักใส่ถ้วยสแตนเลสได้ตามอัธยาศัยแบบไม่มีหวงครับ
หากจะกล่าวโดยสรุป เตียงบาห์รูเบเกอรี่เกิดจากความตั้งใจของ Gontran Cherrier เชฟหนุ่มที่เปิดร้านเบเกอรี่แรกในย่านมงมาร์ตสุดฮิปส์ของปารีสเมื่อปี 2010 ก่อนจะแตกหน่อมาจนถึงโตเกียวและสิงคโปร์ในที่สุด ความอร่อยจริง ๆ สำหรับผม คงเกิดจากสูตรการปรุงและการอบที่ยังคงความเป็นฝรั่งเศสดั้งเดิมเอาไว้ได้มากที่สุดอยู่ครับ
ข้อมูลจำเพาะ http://www.tiongbahrubakery.com เลขที่ 56 ถนน Eng Hoon ถ้ามารถใต้ดินให้มาสาย East West สีเขียว ลงสถานีเตียงบาห์รู ออกทางออกเดียวกับเตียงบาห์รูพลาซ่า เดินยาวมาทางซ้ายมือเรื่อย ๆ จนเข้าถนนเตียงบาห์รู ร้านอยู่ในถนนตรงข้ามตลาดเลยครับ
อาหารเช้าและสาย ในร้านบรรยายกาศดี Be a top notch at “Nosh”
ผมรู้จักร้านนี้โดยบังเอิญจากคำแนะนำของเพื่อนในสิงคโปร์ และนี่คือมื้อแรกของผมใน 7 วันที่สิงคโปร์ครับ ผมจองร้านมาจากเมืองไทย โดยตั้งใจจะไปรับประทาน Brunch ง่าย ๆ ตอนบ่ายโมงตรง ทันทีที่ลงเครื่องตอน 11.35 น. บึ่งมารับกระเป๋า สนทนากับผู้แทนกระทรงการต่างประเทศสิงคโปร์ที่มารับและส่งขึ้นแท็กซี่อย่างรวดเร็วตอน 11.59 น. ถึงโรงแรม ตอน 12.20 เช็คอินและเก็บกระเป๋าในห้องก่อนจะรีบวิ่งไปสถานี Tanjong Pagar ถึงสถานี Buona Vista ทันเวลาตอน 12.55 น. วิ่งอีก 5 นาทีถึงร้านท่ามกลางสภาพเหงื่อท่วมกายครับ
แน่นอนว่าที่นั่งที่จองมาใกล้พัดลมที่สุด ตัวร้าน Nosh มีสองส่วนส่วนที่เป็น open air ใกล้ชิดธรรมชาติแบบที่ผมนั่งอยู่ และส่วนที่เป็นห้องปิด ปรับอากาศที่เรียกว่า Noshery และ Country Kitchen แต่มาทั้งทีแนะนำรับลมเย็น และความเขียวขจีของต้นไม้ด้านนอกในส่วนของ Rochester Park น่าจะดีกว่าครับ แต่ถ้ามาเวลาอื่น ก็อาจนั่งด้านในของตึกโคโลเนียลสีขาวแทนได้ครับ
เนื่องจากเพิ่งจะรับประทานมื้อเช้ามาจากบนเครื่อง ทำให้ผมไม่ได้สั่งอะไรที่ Nosh มากนัก นอกจากอาหารมื้อสาย 1 จาน วันนี้ผมเลือกจานที่ขึ้นชื่อที่สุดของทางร้านคือ Crab Benedict ที่มาพร้อมสลัดและมั่นฝรั่งทอดแบบที่เรียกว่า Wedges ข้างล่างของ Egg Benedict รองมาด้วนมัฟฟินรสชาติดี ส่วนไข่นั้นอร่อย แต่อาจจะสุกน้อยไปนิด เลยไข่แดงแอบไหลเยิ้มออกมากหน่อย สิ่งที่ดีที่สุดของจานนี้เป็นไปตามคาดนั่นก็คือตัว crab cake ที่ไม่มีอย่างอื่นนอกจาก ปู ปู และ ปู อัดแน่นมาจนเต็มก้อนจุใจ ส่วนรสชาตินั้นก็อร่อย และผมว่ามันตัดกับเนื้อสัมผัสข้น ๆ เข้ม ๆ ของไข่ดาวน้ำได้เป็นอย่างดีครับ ยังไม่นับรวมซอสฮอลแลนเดสของที่นี่ที่มีกลิ่นเครื่องแกงอ่อน ๆ รสชาติฟิวชั่นกันได้ลงตัวที่สุด คุ้มค่าคุ้มราคา 20 เหรียญครับ
ผมปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มง่าย ๆ ของที่นี่ คือ homemade ginger beer รสชาติก็เหมือนจิงเจอร์เอลนั่นล่ะครับ แต่มันพิเศษตรงที่ปรุงเอง เปรี่ยวหวานกำลังดี แต่ความซ่าดูจะน้อยไปหน่อย ก็สมน้ำสมเนื้อกับราคา 4 เหรียญ ถ้าไม่อยากสั่งเครื่องดื่ม ที่นี่ก็บริการ infused water ฟรีตลอดการรับประทานอาหารเช่นกันครับ
ป.ล. แอบงอนร้านนี้เล็กน้อย ตรงที่โต๊ะอื่นจะได้จานกระเบื้องสีขาว สลับการเขียนลายสีน้ำเงินเข้มสวย ๆ แต่ผมได้จานแบบธรรมดาไปนิด แต่ไม่เป็นไร อาหารอร่อย ให้อภัยได้ครับ
ข้อมูลจำเพาะ http://nosh.com.sg/ การเดินทาง นั่งรถไฟใต้ดิน สาย east west สีขเยีว หรือสายวงกลมสีส้ม ลงสถานี Buona Vista แล้วออกทางด้านหลังที่เป็นสนามหญ้า เดินผ่าน Rochester Mall มาก็จะถึงทางเข้าร้านพอดีเลยครับ ร้านหยุดวันจันทร์และอังคาร ส่วนอาหารมื้อสายมีบริการวันเสาร์และอาทิตย์ช่วง 10 โมงครึ่งถึง บ่ายสามโมง (ร้านนี้คิดค่าบริการร้อยละ 10 และภาษี GST ร้อยละ 7 เพิ่มจากราคาในเมนูครับ)
[CR] 7 วันใน 17 ร้านที่ดีที่สุดของผมที่ "สิงคโปร์" ครับ
ระหว่างนั้นผมก็มีโอกาสได้กลับไปสิงคโปร์อีกบ้าง แต่รู้สึกว่าการไปสิงคโปร์ในช่วงหลัง ๆ ของผม เต็มไปด้วยธุระการงานมากกว่าจะเป็นการพักผ่อน และทำให้ผมไม่ได้ใส่ใจกับการวางแผนไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ มากนัก จนกระทั่งหนล่าสุดนี้ ผมมีเวลา 7 วันเต็มในสิงคโปร์ แน่นอนว่า เป็นการไปเรียนไปทำงานตลอดวันจันทร์ – ศุกร์ มีเวลาว่างเพียงแค่บ่ายวันอาทิตย์และวันเสาร์ก่อนเดินทางกลับ นั่นทำให้ผมเลิกคิดเรื่องเที่ยว เรื่องช็อปปิ้ง แต่กลับหาธีมให้ชีวิตกลับมาเขียนบอกเล่า เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่าน Pantip ที่มีสิงคโปร์เป็นหนึ่งในแผนการเดินทางในใจครับ
กระทู้นี้จึงขออุทิศว่าด้วยเรื่องของ “ของกิน” เท่านั้นครับ ของกินที่ว่ามีหลากหลายแบบ ซึ่งผมว่าต้องมีสักแบบและสักร้านที่ถูกใจถูกจริตผู้อ่านอย่างแน่นอน และถ้าจะพูดจากใจ ร้านทั้งหมดที่ปมจะรีวิวสิริรวม 17 ร้านต่อจากนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นร้านประจำ ร้านคุ้นเคยของผม และหลาย ๆ ร้าน ผมคงจะขออนุญาตพูดว่า นี่คือ “best kept secret” ที่ไม่เคยเปิดเผยบอกใครมาก่อนครับ
ผมจะไม่เล่าเรื่องหรือเรียบเรียงร้านตามลำดับเวลาที่ผมไปรับประทาน แต่จะเรียงลำดับตามหมวดหมูที่ผมสะดวกจะเขียนถึง โดยขออนุญาตเริ่มจากอาหารเช้าก่อนครับ
อาหารเช้าแบบท้องถิ่นของคนสิงคโปร์ ที่หลาย ๆ คนคงรู้จักกันดี คงหมายถึง ไข่ลวก ขนมปังสังขยา และกาแฟร้อน หลายคนอาจจะมีร้านประจำ อย่างร้านง่าย ๆ Toast Box ในเครือ Bread Talk หรือร้านชื่อดังที่มีสาขาในเมืองไทยแล้วอย่าง Yakun Kaya Toast ร้านเหล่านั้นไม่สามารถตอบโจทย์ผมได้ทั้งหมดครับ ของผมมันต้องถึงความเป็น “ท้องถิ่น” มากกว่านั้น และถ้าจะเลือกสักหนึ่งร้านสำหรับหมวดหมู่นี้ คำตอบของผมคือ
“Toast Hut”
ร้านนี้พิเศษอย่างไร พิเศษตั้งแต่ตัวร้านแล้วครับ ร้านนี้เจ้าของร้านชื่อ Melvin Soh ผู้ที่มี passion อย่างเต็มเปี่ยมโดยเริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างในร้านขนมปังสังขยา chain ดังของเกาะแห่งนี้ตั้งแต่อายุ 17 ปี ขณะเรียนหนังสือที่ the Institute of Technical Education ก่อนจะออกมาเปิดร้านเป็นของตนเองอย่าง Toast Hut ตั้งแต่ปี 2007 ร้านก็ธรรมดาบ้าน ๆ แต่ความอร่อยอยู่ที่ขนมปังปิ้งแบบสิงคโปร์สอดไส้สังขยาและเนยสด รสชาติกลมกล่อมลงตัว และไม่ได้หวานนำเหมือนร้านดังอื่น ๆ ครับ
ถ้าจะให้ดีในตอนเช้าเช่นนี้ แนะนำให้สั่งเป็นชุดมาเลย จะได้ขนมปังสองชิ้นใหญ่หั่นครึ่ง ไข่ลวกกำลังดีสองฟอง พร้อมเครื่องดื่มร้อน จะเป็นชาหรือกาแฟก็ได้ 1 แก้ว แนะนำให้สั่งชาร้อนที่นี่เข้มและหอมอร่อยมากครับ ราคาเบ็ดเสร็จที่ผมว่านี่แค่ 3 เหรียญเท่านั้น ถ้ามาเช้าอาจจะเจอคิวที่ยาวนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากเกินจนถึงขั้นหงุดหงิดครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบสำหรับร้านนี้คืออัธยาศัย วันที่ผมไปไม่ได้พบ Melvin Soh แต่พบคุณแม่บัญชาการและลงมือปรุงเองอยู่ แม้ป้ายจะบอกว่า Self Service แต่ผมคงดูเงอะงะเกินคนท้องถิ่น คุณแม่ท่านก็เลยบรรจงวางขวดซอสปรุงรสและพริกไทย ไข่ที่ยังไม่กระเทะเปลือก 2 ฟอง ขนมปัง และชาร้อนมาให้ผมถึงที่โต๊ะครับ
ข้อมูลจำเพาะ https://www.facebook.com/ToastHut/ เวลาเปิด 6.00 – 15.00 น. ทุกวันครับ วิธีการเดินทางให้นั่งรถใต้ดินสายสีส้มหรือ Circle Line ลงสถานี Dakota ออกที่ทางออก B ข้ามทางม้าลายเล็ก และเดินออกมาถนน Old Airport Road เดินออกมาทางซ้ายมือเรื่อย ๆ ข้ามถนนที่ไฟแดงแรก ก็จะถึงศูนย์อาหาร Old Airport Road ร้านอยู่ชั้นล่าง คูหาหมายเลข 52 ครับ
Tiong Bahru Bakery อาหารเช้าที่ฮิปส์และฮิตที่สุดในตอนนี้ครับ
เตียงบาห์รูที่ผมเคยเขียนถึงเมืองสองปีก่อน บัดนี้ติดลมบนนักท่องเที่ยวชาวไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ร้านกาแฟเริ่มได้ยินเสียงบทสนทนาภาษาไทยแซมภาษาอังกฤษสำเนียงของ expat ชาติอื่น ๆ ทำเอาผมหวั่นใจว่าเตียงบาห์รูจะไม่ฮิปส์และเลิกฮิตเข้าสักวัน ประกอบกับช่วงนี้ตัวตลาดสีครีมเหลืองและศูนย์อาหารชั้นบนกำลังปิดซ่อม 3 เดือน (กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2560) เลยทำให้ผมห่างกับเตียงบาห์รูไปหน่อยครับ
แต่สุดท้ายแล้วผมก็อดใจและห้ามใจไม่ได้ กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในเช้าสุดท้ายของวันกลับบ้าน เพื่อไปหาอาหารเช้าง่าย ๆ รับประทานในร้านสีขาวตัดกับทุกอย่างในธีมสีเขียวขี้ม้าของทางร้านครับ
7.55 น. บนถนน Eng Hoon ตรงข้ามตลาดเตียงบาห์รู ตรงที่ร้าน Whisk ร้านโปรดของผมอีกร้านที่รีววิวไปคราวก่อนตั้งตระหง่านอยู่ ผมเดินลึกเข้าไปยังถนนดังกล่าว ขณะนี้มีคนเดินเตร่ไปมา บ้างก็นั่งรออยู่หน้าร้าน บ้างก็มาลองผลักประตูไม้บานใหญ่ที่ยังคงปิดสนิทจากกลอนด้านในอยู่ บางคนก็ดูจะเป็นขาประจำ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเปิด 8 โมงเช้าก็พยายามจะผลัก อย่างน้อยก็เผื่อว่ามันเปิดขึ้นมา จะได้เป็นแขกรายแรก ๆ ของร้านในวันดังกล่าวครับ
8.00 น. ประตูที่เคยปิดก็เปิดออก พร้อม ๆ กับฮิปสเตอร์และคอเบเกอรี่ราว 15 ชีวิตรวมทั้งผมด้วย ก็พรวดเข้าไปในร้าน ที่นี่จะมีคิว 2 ประเภท ถ้าสั่งกาแฟอย่างเดียวก็เข้าคิวสั้นด้านหน้า แต่ถ้าจะสั่งขนมเพิ่มด้วย ก็ให้เข้าคิวลึกที่อยู่ด้านในแทน วันนี้ผมได้คิวที่สาม เนื่องจากรับประทานอะไรที่โรงแรมมานิดหน่อยแล้ว ผมเลยสั่งครัวซองต์เพียง 1 ชิ้น ราคา 2.9 เหรียญ พร้อมกับกาแฟ Flat White เย็น อีกสักแก้ว กาแฟที่นี่รสชาติดีมาก ผมซึ่งเป็นคนติดหวานและเรียกหาน้ำเชื่อมทุกครั้ง กลับทานกาแฟและนมเพียว ๆ โดยไม่เติมความหวานได้อย่างน่าประหลาดใจครับ
ช้าก่อน นั่นคือการรับประทานที่ร้านครับ เพราะผมยังสั่งขนมอีก 3 ชิ้นกลับบ้านที่กรุงเทพฯ อ่านไม่ผิดครับ บ้านที่กรุงเทพ ฯ เพราะที่บ้านผมก็เป็นแฟนร้านนี้ เริ่มจาก ครัวซองต์อัลมอนด์ 3.8 เหรียญ ครัวซองต์อัลมอนด์ช็อกโกแลต 4 เหรียญ และที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงคือ Original Kouign Amann (ผมออกเสียงประมาณควีนอามันน์) ราคา 3.5 เหรียญ สองอย่างแรกอร่อยเกินมาตรฐาน ส่วนอย่างสุดท้ายนี่อร่อยลืมตายครับ ลืมร้านเบเกอรี่ลูกครึ่งญี่ปุ่นที่ทำขายในกรุงเทพ ฯ ไปได้เลย ที่เตียงบาห์รูเบเกอรี่ รสชาติเลอค่ากว่ามาก ๆ ครับ
ทั้งนี้ ที่ร้านมีที่นั่งรับประทานเยอะอยู่ ทั้งในร่ม และบริเวณเทอเรซ หรือจะเรียกว่าหง่อคาขี่หรือช่องทางเดินรอบร้านก็ได้ครับ แต่ที่นั่งเหล่านี้ก็ถูกยึดครองจนเต็มภายใน 15 นาทีแรกหลังร้านเปิด และอัตราการหมุนเวียนเก้าอี้ดนตรีก็มีมากอย่างน่าตกใจ และอีกประการที่ผมชื่นชมร้านนี้ นอกจากน้ำเปล่าฟรีแล้ว ยังสามารถหยิบเนยแท้ ๆ (ไม่ใช่ butter blend) ที่เป็นก้อนเล็ก ๆ ได้ไม่อั้น เช่นเดียวกับแยมเบอร์รี่และแยมผิวส้มอีกอย่างละกระปุกใหญ่ ๆ ที่สามารถตักใส่ถ้วยสแตนเลสได้ตามอัธยาศัยแบบไม่มีหวงครับ
หากจะกล่าวโดยสรุป เตียงบาห์รูเบเกอรี่เกิดจากความตั้งใจของ Gontran Cherrier เชฟหนุ่มที่เปิดร้านเบเกอรี่แรกในย่านมงมาร์ตสุดฮิปส์ของปารีสเมื่อปี 2010 ก่อนจะแตกหน่อมาจนถึงโตเกียวและสิงคโปร์ในที่สุด ความอร่อยจริง ๆ สำหรับผม คงเกิดจากสูตรการปรุงและการอบที่ยังคงความเป็นฝรั่งเศสดั้งเดิมเอาไว้ได้มากที่สุดอยู่ครับ
ข้อมูลจำเพาะ http://www.tiongbahrubakery.com เลขที่ 56 ถนน Eng Hoon ถ้ามารถใต้ดินให้มาสาย East West สีเขียว ลงสถานีเตียงบาห์รู ออกทางออกเดียวกับเตียงบาห์รูพลาซ่า เดินยาวมาทางซ้ายมือเรื่อย ๆ จนเข้าถนนเตียงบาห์รู ร้านอยู่ในถนนตรงข้ามตลาดเลยครับ
อาหารเช้าและสาย ในร้านบรรยายกาศดี Be a top notch at “Nosh”
ผมรู้จักร้านนี้โดยบังเอิญจากคำแนะนำของเพื่อนในสิงคโปร์ และนี่คือมื้อแรกของผมใน 7 วันที่สิงคโปร์ครับ ผมจองร้านมาจากเมืองไทย โดยตั้งใจจะไปรับประทาน Brunch ง่าย ๆ ตอนบ่ายโมงตรง ทันทีที่ลงเครื่องตอน 11.35 น. บึ่งมารับกระเป๋า สนทนากับผู้แทนกระทรงการต่างประเทศสิงคโปร์ที่มารับและส่งขึ้นแท็กซี่อย่างรวดเร็วตอน 11.59 น. ถึงโรงแรม ตอน 12.20 เช็คอินและเก็บกระเป๋าในห้องก่อนจะรีบวิ่งไปสถานี Tanjong Pagar ถึงสถานี Buona Vista ทันเวลาตอน 12.55 น. วิ่งอีก 5 นาทีถึงร้านท่ามกลางสภาพเหงื่อท่วมกายครับ
แน่นอนว่าที่นั่งที่จองมาใกล้พัดลมที่สุด ตัวร้าน Nosh มีสองส่วนส่วนที่เป็น open air ใกล้ชิดธรรมชาติแบบที่ผมนั่งอยู่ และส่วนที่เป็นห้องปิด ปรับอากาศที่เรียกว่า Noshery และ Country Kitchen แต่มาทั้งทีแนะนำรับลมเย็น และความเขียวขจีของต้นไม้ด้านนอกในส่วนของ Rochester Park น่าจะดีกว่าครับ แต่ถ้ามาเวลาอื่น ก็อาจนั่งด้านในของตึกโคโลเนียลสีขาวแทนได้ครับ
เนื่องจากเพิ่งจะรับประทานมื้อเช้ามาจากบนเครื่อง ทำให้ผมไม่ได้สั่งอะไรที่ Nosh มากนัก นอกจากอาหารมื้อสาย 1 จาน วันนี้ผมเลือกจานที่ขึ้นชื่อที่สุดของทางร้านคือ Crab Benedict ที่มาพร้อมสลัดและมั่นฝรั่งทอดแบบที่เรียกว่า Wedges ข้างล่างของ Egg Benedict รองมาด้วนมัฟฟินรสชาติดี ส่วนไข่นั้นอร่อย แต่อาจจะสุกน้อยไปนิด เลยไข่แดงแอบไหลเยิ้มออกมากหน่อย สิ่งที่ดีที่สุดของจานนี้เป็นไปตามคาดนั่นก็คือตัว crab cake ที่ไม่มีอย่างอื่นนอกจาก ปู ปู และ ปู อัดแน่นมาจนเต็มก้อนจุใจ ส่วนรสชาตินั้นก็อร่อย และผมว่ามันตัดกับเนื้อสัมผัสข้น ๆ เข้ม ๆ ของไข่ดาวน้ำได้เป็นอย่างดีครับ ยังไม่นับรวมซอสฮอลแลนเดสของที่นี่ที่มีกลิ่นเครื่องแกงอ่อน ๆ รสชาติฟิวชั่นกันได้ลงตัวที่สุด คุ้มค่าคุ้มราคา 20 เหรียญครับ
ผมปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มง่าย ๆ ของที่นี่ คือ homemade ginger beer รสชาติก็เหมือนจิงเจอร์เอลนั่นล่ะครับ แต่มันพิเศษตรงที่ปรุงเอง เปรี่ยวหวานกำลังดี แต่ความซ่าดูจะน้อยไปหน่อย ก็สมน้ำสมเนื้อกับราคา 4 เหรียญ ถ้าไม่อยากสั่งเครื่องดื่ม ที่นี่ก็บริการ infused water ฟรีตลอดการรับประทานอาหารเช่นกันครับ
ป.ล. แอบงอนร้านนี้เล็กน้อย ตรงที่โต๊ะอื่นจะได้จานกระเบื้องสีขาว สลับการเขียนลายสีน้ำเงินเข้มสวย ๆ แต่ผมได้จานแบบธรรมดาไปนิด แต่ไม่เป็นไร อาหารอร่อย ให้อภัยได้ครับ
ข้อมูลจำเพาะ http://nosh.com.sg/ การเดินทาง นั่งรถไฟใต้ดิน สาย east west สีขเยีว หรือสายวงกลมสีส้ม ลงสถานี Buona Vista แล้วออกทางด้านหลังที่เป็นสนามหญ้า เดินผ่าน Rochester Mall มาก็จะถึงทางเข้าร้านพอดีเลยครับ ร้านหยุดวันจันทร์และอังคาร ส่วนอาหารมื้อสายมีบริการวันเสาร์และอาทิตย์ช่วง 10 โมงครึ่งถึง บ่ายสามโมง (ร้านนี้คิดค่าบริการร้อยละ 10 และภาษี GST ร้อยละ 7 เพิ่มจากราคาในเมนูครับ)