......สวัสดีครับ
ทุกท่านรู้จักสิงคโปร์ไหมครับ ผมเชื่อว่าสำหรับหลายๆท่าน สิงคโปร์อาจหมายถึง การเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่สำหรับหลายๆ คน สิงคโปร์ อาจหมายถึงเมืองที่เป็นระเบียบในทุกกระเบียดนิ้ว จืดชืด น่าเบื่อ และอาจจะถึงขั้นไร้สีสันและจิตวิญญาณ ผมไม่เคยแปลกใจเลยที่เวลาห้องบลูแพลเน็ท เปิดโอกาสให้มีกระทู้โหวตเปรียบเทียบระหว่างสิงคโปร์และฮ่องกงทีไร ฮ่องกงจะนำขาดสิงคโปร์ทุกครั้งไป ทั้งอาหารอร่อยกว่า ช็อปปิ้งสนุกกว่า สถานที่เที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม หรือแม้แต่สวนสนุกธีมปาร์คต่างๆ ที่เหนือกว่าครับ
อย่างไรก็ตาม ผมอาจจะเป็นคนส่วนน้อย ผมไปฮ่องกงเพียงครั้ง และแน่นอนว่าไม่ได้เห็นต่างจากเสียงส่วนใหญ่ แต่สำหรับสิงคโปร์ ผมเกือบจะจำไม่ได้ว่า ผมมีโอกาสเดินทางไปสิงคโปร์เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว การได้พบได้เจอกันหลายครั้งก็เหมือนเพื่อนสนิท ที่ระยะเวลาช่วยให้ระยะห่างที่มีระหว่างผมและสิงคโปร์ดูเหมือนจะขยับชิดใกล้กันมากยิ่งขึ้นครับ
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมตัดสินใจ พยายามจะบอกเล่าสิงคโปร์ในรูปแบบที่ผมเห็น ในรูปแบบที่มากกว่าการเดินยาวๆ บนถนนออร์ชาร์ดตั้งแต่สุดถนนหน้า Plaza Singapura หน้าสถานีรถไฟใต้ดินโดบี้กัต ไปจนถึงห้าง Tangs ใต้ถุนโรงแรมแมริออทเจ้าของสถาปัตยกรรมหลังคาจีนกลางถนนออร์ชาร์ด หรือการไปไชน่าทาวน์ ลิตเติ้ลอินเดีย มารีน่าเบย์ และเซนโตซ่า ที่ใครๆ เขาก็มักนิยมไปเที่ยวกัน ไม่แปลกใจที่สถานที่ดังกล่าว จะได้ยินเสียงคนไทยจนนึกว่าภาษาไทย เป็นภาษาราชการภาษาที่ 5 นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ แมนดาริน มาเลย์ และทมิฬครับ
นั่นจึงไม่แปลกที่ทำให้การเดินทางไปสิงคโปร์ครั้งหลังๆ ของผม สถานที่ดังกล่าวไม่ใช่เงื่อนไขจำเป็นอีกต่อไป ผมมักจะเลือกที่ที่ผมชอบ ที่ที่แตกต่าง และสัมผัสถึงความเป็นสิงคโปร์ได้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ ทำให้ผมได้รู้จัก และรัก Tiong Bahru ย่านที่ผมมองว่าสะท้อนความเป็น “โลกเก่า” และ “โลกใหม่” ของสิงคโปร์ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะครับ
Tiong Bahru เป็นภาษาลูกครึ่ง เตียงก็คือสุสาน ขณะที่บาห์รูแปลว่าใหม่ เหตุที่ได้ชื่อว่าสุสานใหม่ ก็เพราะสุสานเก่าก็อยู่ในย่านไชน่าทาวน์อันเป็นแหล่งชุมนุมชาวจีน เมื่อสุสานไม่พอเนื่องจากจำนวนประชากรที่มากขึ้น ก็ได้ขยายพื้นที่ลงมาทางตะวันออกเรื่อยๆ จนถึงเขตเตียงบาห์รู โฉมหน้าของเตียงบาห์รู เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งในทศวรรษที่ 1930 เมื่อมีการปรับพื้นที่เพื่อสร้างแฟลตในเขตดังกล่าว แฟลตในเตียงบาห์รูรุ่นแรกๆ จะเป็นลักษณะคล้ายๆ ตึกแถวยาวๆ ไม่ได้เป็นแท่งสูงๆ อย่างที่เราคุ้นเคยเหมือนอาคารชุดในปัจจุบันนี้ และมีเอกลักษณ์โดเด่นด้วยระเบียงโค้ง ๆ มีบันไดวนเป็นเกลียว และมีที่เก็บของใต้ดินครับ
วิธีการเดินทางไปเตียงบาห์รูนั้นก็ไม่ยาก ถ้าท่านเริ่มต้นที่สถานีรถไฟใต้ดินสายสีเขียว ซึ่งวิ่งระหว่างตะวันตกสุดของเกาะในย่าน Boon Lay หรือ Jurong West กับตะวันออกสุดของเกาะคือสนามบินชางงี เตียงบาห์รูจะอยู่ตรงกลางๆ ค่อนไปทาง ตะวันตก เมื่อโผล่หน้ามา ณ สถานีเตียงบาห์รู ทำอย่างไรก็ได้ครับให้อาคารเตียงบาห์รูพลาซ่าอยู่ด้านหลังของเรา แล้วค่อยๆ เดินไปทางซ้าย ข้ามถนนเสียหน่อย จะเดินตัดเข้าถนน Kim Tian หรือ Kim Chuan ก็ได้ เดินยาวไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นโค้งรูปเสี้ยวพระจันทร์หรือ Crescent ซึ่งสามารถเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาไปเพื่อชื่นชมย่านนี้อีกรอบก็ได้ครับ
จุดแรกที่ผมว่าพลาดไม่ได้เลยก็คือร้านกาแฟ และร้านขนมครับ ที่นี่มีหลายร้านมากมาย แต่ละร้านก็มีความเป็นเอกลักษณ์ เรียกว่าใครเป็นขาประจำร้านไหนก็คงต้องแวะเวียนมานั่งร้านนั้นอยู่เรื่อยๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่แต่ละร้านจะมีลูกค้าแน่นร้าน ร้านที่ผมเดินผ่าน แต่ไม่มีโอกาสแวะก็มีมากมาย ตั้งแต่ เตียงบาห์รูคาเฟ่ ร้าน Flock ร้าน Po Tea To ร้าน PS. Café Petit เป็นต้นครับ
แล้วถามว่าร้านที่ผมตั้งใจแวะจริงๆ คือร้านอะไร คำตอบก็คือร้านนี้ 40 hands ครับ สารภาพว่าผมไม่รู้จักร้านนี้มาก่อน แต่เผอิญวันที่ลงเครื่องเป็นวันอาทิตย์ แล้วผมเองอยากทานอาหาร brunch ง่ายๆ เมื่อลองหาข้อมูลดูก็พบว่าร้านนี้ หน้าตา และคำอธิบายดูจะถูกชะตามากที่สุด ก็เลยตัดสินใจเก็บกระเป๋าที่โรงแรมย่านตันหยง ปาการ์ แล้วจับรถใต้ดิน 2 ป้าย บึ่งไปยังเตียงบาห์รูทันที
ที่ขำที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือ ผมใช้เวลาเดินหาร้านดังกล่าวร่วมหนึ่งชั่วโมง สาเหตุเพราะผมลืมเอาแผนที่ไป สุดท้ายก็เลยเปิด data roaming จนหาเจอ ภาพเบื้องหน้าที่ผมเห็นก็คือ คาเฟ่ที่ทั้งเล็ก ยาว และ แคบ ขนาดเพียงครึ่งคูหา และเป็นจุดที่ผมเดินผ่านไปผ่านมาเสียหลายรอบโดยไม่ทันได้สังเกต แต่ทั้งร้านคนแน่น แม้เวลานั้นจะเข้าใกล้บ่ายสามโมงมากๆ แล้ว ผมก็เลยเปลี่ยนใจกลับหลังหันไม่ทานเอาเสียดื้อๆ ครับ
อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าคู่กันแล้ว ก็คงไม่แคล้วกัน เมื่อผมมีโอกาสร่วมโต๊ะกับเพื่อนที่ทำงานในบริษัทสัญชาติสวีดิชในช่วงกลางสัปดาห์ และถามตรงๆ ว่า ร้านกาแฟที่ดีที่สุดในเตียงบาห์รูคือร้านอะไร คำตอบที่ทำเอาผมอึ้งก็คือ เพื่อนผมซึ่งกับข้าวเพอรานากันเต็มปากอยู่ ยกนิ้วตั้งวงขึ้น 4 นิ้ว แทนคำตอบของร้าน 40 hands เมื่อได้รับคำยืนยันขนาดนี้แล้ว ผมจึงอดไม่ได้ ที่วันเสาร์ถัดมา ก่อนบินกลับเมืองไทย ผมจะกลับไปที่ร้านนี้อีกรอบ และแน่นอนว่า ผมยังคงหลง และเดินผ่านร้านไปอย่างไม่ยากเย็น เพราะสนใจห้องโยคะที่ฝั่งตรงข้ามของร้านเสียมากกว่าครับ
40 hands นี่เก๋มาก หนนี้ผมไปตั้งแต่ 8 โมงเช้า ทั้งร้านแทบจะเป็นของผม กาแฟเข้มๆ คั่วสดๆ อร่อยทั้งกาแฟเย็นและกาแฟร้อนครับ กาแฟเย็นราคาเพียงแก้วละ 5 เหรียญเท่านั้น เช่นเดียวกับกาแฟลาเต้ร้อนๆ อีกแก้ว แต่ที่ต้องเรียกว่า To Die For จริงๆ ก็คือ egg benedict ไข่ขาวสุก ไข่แดงไหลเยิ้ม ฮลแลนเดสซอสฉ่ำ และเนื้อสเต๊กย่างมากำลังดีอีกสองชิ้น แม้จะราคาสูงถึง 18 เหรียญ แต่ก็อร่อยเกินคาด กินขาดโรงแรม 4.5 – 5 ดาวที่ผมพักในช่วงหลังๆที่มาสิงคโปร์ อย่าง อมารา แฟร์มองต์ เดอะฟอร์ต แคนนิ่ง และฟูเลลอร์ตันไปอย่างไม่น่าเชื่อครับ
ร้าน 40 hands นี้สืบทราบมาว่ามีกลิ่นอายความเป็นออสเตรเลียนอยู่ไม่น้อย เพราะตัวเจ้าของเองก็ส่วนหนึ่ง และหากสังเกตในเมนู ที่นี่ก็เป็นอีกที่ ที่คุณจะร้องหา long black หรือ flat white ได้อย่างไม่เก้อเขินครับ
Seen & Unseen in Singapore สิงคโปร์ในอีกมุมที่คุณอาจไม่เคยสัมผัสครับ
ทุกท่านรู้จักสิงคโปร์ไหมครับ ผมเชื่อว่าสำหรับหลายๆท่าน สิงคโปร์อาจหมายถึง การเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่สำหรับหลายๆ คน สิงคโปร์ อาจหมายถึงเมืองที่เป็นระเบียบในทุกกระเบียดนิ้ว จืดชืด น่าเบื่อ และอาจจะถึงขั้นไร้สีสันและจิตวิญญาณ ผมไม่เคยแปลกใจเลยที่เวลาห้องบลูแพลเน็ท เปิดโอกาสให้มีกระทู้โหวตเปรียบเทียบระหว่างสิงคโปร์และฮ่องกงทีไร ฮ่องกงจะนำขาดสิงคโปร์ทุกครั้งไป ทั้งอาหารอร่อยกว่า ช็อปปิ้งสนุกกว่า สถานที่เที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม หรือแม้แต่สวนสนุกธีมปาร์คต่างๆ ที่เหนือกว่าครับ
อย่างไรก็ตาม ผมอาจจะเป็นคนส่วนน้อย ผมไปฮ่องกงเพียงครั้ง และแน่นอนว่าไม่ได้เห็นต่างจากเสียงส่วนใหญ่ แต่สำหรับสิงคโปร์ ผมเกือบจะจำไม่ได้ว่า ผมมีโอกาสเดินทางไปสิงคโปร์เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว การได้พบได้เจอกันหลายครั้งก็เหมือนเพื่อนสนิท ที่ระยะเวลาช่วยให้ระยะห่างที่มีระหว่างผมและสิงคโปร์ดูเหมือนจะขยับชิดใกล้กันมากยิ่งขึ้นครับ
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมตัดสินใจ พยายามจะบอกเล่าสิงคโปร์ในรูปแบบที่ผมเห็น ในรูปแบบที่มากกว่าการเดินยาวๆ บนถนนออร์ชาร์ดตั้งแต่สุดถนนหน้า Plaza Singapura หน้าสถานีรถไฟใต้ดินโดบี้กัต ไปจนถึงห้าง Tangs ใต้ถุนโรงแรมแมริออทเจ้าของสถาปัตยกรรมหลังคาจีนกลางถนนออร์ชาร์ด หรือการไปไชน่าทาวน์ ลิตเติ้ลอินเดีย มารีน่าเบย์ และเซนโตซ่า ที่ใครๆ เขาก็มักนิยมไปเที่ยวกัน ไม่แปลกใจที่สถานที่ดังกล่าว จะได้ยินเสียงคนไทยจนนึกว่าภาษาไทย เป็นภาษาราชการภาษาที่ 5 นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ แมนดาริน มาเลย์ และทมิฬครับ
นั่นจึงไม่แปลกที่ทำให้การเดินทางไปสิงคโปร์ครั้งหลังๆ ของผม สถานที่ดังกล่าวไม่ใช่เงื่อนไขจำเป็นอีกต่อไป ผมมักจะเลือกที่ที่ผมชอบ ที่ที่แตกต่าง และสัมผัสถึงความเป็นสิงคโปร์ได้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ ทำให้ผมได้รู้จัก และรัก Tiong Bahru ย่านที่ผมมองว่าสะท้อนความเป็น “โลกเก่า” และ “โลกใหม่” ของสิงคโปร์ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะครับ
Tiong Bahru เป็นภาษาลูกครึ่ง เตียงก็คือสุสาน ขณะที่บาห์รูแปลว่าใหม่ เหตุที่ได้ชื่อว่าสุสานใหม่ ก็เพราะสุสานเก่าก็อยู่ในย่านไชน่าทาวน์อันเป็นแหล่งชุมนุมชาวจีน เมื่อสุสานไม่พอเนื่องจากจำนวนประชากรที่มากขึ้น ก็ได้ขยายพื้นที่ลงมาทางตะวันออกเรื่อยๆ จนถึงเขตเตียงบาห์รู โฉมหน้าของเตียงบาห์รู เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งในทศวรรษที่ 1930 เมื่อมีการปรับพื้นที่เพื่อสร้างแฟลตในเขตดังกล่าว แฟลตในเตียงบาห์รูรุ่นแรกๆ จะเป็นลักษณะคล้ายๆ ตึกแถวยาวๆ ไม่ได้เป็นแท่งสูงๆ อย่างที่เราคุ้นเคยเหมือนอาคารชุดในปัจจุบันนี้ และมีเอกลักษณ์โดเด่นด้วยระเบียงโค้ง ๆ มีบันไดวนเป็นเกลียว และมีที่เก็บของใต้ดินครับ
วิธีการเดินทางไปเตียงบาห์รูนั้นก็ไม่ยาก ถ้าท่านเริ่มต้นที่สถานีรถไฟใต้ดินสายสีเขียว ซึ่งวิ่งระหว่างตะวันตกสุดของเกาะในย่าน Boon Lay หรือ Jurong West กับตะวันออกสุดของเกาะคือสนามบินชางงี เตียงบาห์รูจะอยู่ตรงกลางๆ ค่อนไปทาง ตะวันตก เมื่อโผล่หน้ามา ณ สถานีเตียงบาห์รู ทำอย่างไรก็ได้ครับให้อาคารเตียงบาห์รูพลาซ่าอยู่ด้านหลังของเรา แล้วค่อยๆ เดินไปทางซ้าย ข้ามถนนเสียหน่อย จะเดินตัดเข้าถนน Kim Tian หรือ Kim Chuan ก็ได้ เดินยาวไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นโค้งรูปเสี้ยวพระจันทร์หรือ Crescent ซึ่งสามารถเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาไปเพื่อชื่นชมย่านนี้อีกรอบก็ได้ครับ
จุดแรกที่ผมว่าพลาดไม่ได้เลยก็คือร้านกาแฟ และร้านขนมครับ ที่นี่มีหลายร้านมากมาย แต่ละร้านก็มีความเป็นเอกลักษณ์ เรียกว่าใครเป็นขาประจำร้านไหนก็คงต้องแวะเวียนมานั่งร้านนั้นอยู่เรื่อยๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่แต่ละร้านจะมีลูกค้าแน่นร้าน ร้านที่ผมเดินผ่าน แต่ไม่มีโอกาสแวะก็มีมากมาย ตั้งแต่ เตียงบาห์รูคาเฟ่ ร้าน Flock ร้าน Po Tea To ร้าน PS. Café Petit เป็นต้นครับ
แล้วถามว่าร้านที่ผมตั้งใจแวะจริงๆ คือร้านอะไร คำตอบก็คือร้านนี้ 40 hands ครับ สารภาพว่าผมไม่รู้จักร้านนี้มาก่อน แต่เผอิญวันที่ลงเครื่องเป็นวันอาทิตย์ แล้วผมเองอยากทานอาหาร brunch ง่ายๆ เมื่อลองหาข้อมูลดูก็พบว่าร้านนี้ หน้าตา และคำอธิบายดูจะถูกชะตามากที่สุด ก็เลยตัดสินใจเก็บกระเป๋าที่โรงแรมย่านตันหยง ปาการ์ แล้วจับรถใต้ดิน 2 ป้าย บึ่งไปยังเตียงบาห์รูทันที
ที่ขำที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือ ผมใช้เวลาเดินหาร้านดังกล่าวร่วมหนึ่งชั่วโมง สาเหตุเพราะผมลืมเอาแผนที่ไป สุดท้ายก็เลยเปิด data roaming จนหาเจอ ภาพเบื้องหน้าที่ผมเห็นก็คือ คาเฟ่ที่ทั้งเล็ก ยาว และ แคบ ขนาดเพียงครึ่งคูหา และเป็นจุดที่ผมเดินผ่านไปผ่านมาเสียหลายรอบโดยไม่ทันได้สังเกต แต่ทั้งร้านคนแน่น แม้เวลานั้นจะเข้าใกล้บ่ายสามโมงมากๆ แล้ว ผมก็เลยเปลี่ยนใจกลับหลังหันไม่ทานเอาเสียดื้อๆ ครับ
อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าคู่กันแล้ว ก็คงไม่แคล้วกัน เมื่อผมมีโอกาสร่วมโต๊ะกับเพื่อนที่ทำงานในบริษัทสัญชาติสวีดิชในช่วงกลางสัปดาห์ และถามตรงๆ ว่า ร้านกาแฟที่ดีที่สุดในเตียงบาห์รูคือร้านอะไร คำตอบที่ทำเอาผมอึ้งก็คือ เพื่อนผมซึ่งกับข้าวเพอรานากันเต็มปากอยู่ ยกนิ้วตั้งวงขึ้น 4 นิ้ว แทนคำตอบของร้าน 40 hands เมื่อได้รับคำยืนยันขนาดนี้แล้ว ผมจึงอดไม่ได้ ที่วันเสาร์ถัดมา ก่อนบินกลับเมืองไทย ผมจะกลับไปที่ร้านนี้อีกรอบ และแน่นอนว่า ผมยังคงหลง และเดินผ่านร้านไปอย่างไม่ยากเย็น เพราะสนใจห้องโยคะที่ฝั่งตรงข้ามของร้านเสียมากกว่าครับ
40 hands นี่เก๋มาก หนนี้ผมไปตั้งแต่ 8 โมงเช้า ทั้งร้านแทบจะเป็นของผม กาแฟเข้มๆ คั่วสดๆ อร่อยทั้งกาแฟเย็นและกาแฟร้อนครับ กาแฟเย็นราคาเพียงแก้วละ 5 เหรียญเท่านั้น เช่นเดียวกับกาแฟลาเต้ร้อนๆ อีกแก้ว แต่ที่ต้องเรียกว่า To Die For จริงๆ ก็คือ egg benedict ไข่ขาวสุก ไข่แดงไหลเยิ้ม ฮลแลนเดสซอสฉ่ำ และเนื้อสเต๊กย่างมากำลังดีอีกสองชิ้น แม้จะราคาสูงถึง 18 เหรียญ แต่ก็อร่อยเกินคาด กินขาดโรงแรม 4.5 – 5 ดาวที่ผมพักในช่วงหลังๆที่มาสิงคโปร์ อย่าง อมารา แฟร์มองต์ เดอะฟอร์ต แคนนิ่ง และฟูเลลอร์ตันไปอย่างไม่น่าเชื่อครับ
ร้าน 40 hands นี้สืบทราบมาว่ามีกลิ่นอายความเป็นออสเตรเลียนอยู่ไม่น้อย เพราะตัวเจ้าของเองก็ส่วนหนึ่ง และหากสังเกตในเมนู ที่นี่ก็เป็นอีกที่ ที่คุณจะร้องหา long black หรือ flat white ได้อย่างไม่เก้อเขินครับ