นายสุรพงษ์  โตวิจักษ์ชัยกุล  อดีต รมว.ต่างประเทศ รัฐบาลยิ่งลักษณ์  ผู้ถูกถอดถอน
กับ นางสาวสุภา  ปิยะจิตติ  กรรมการ ป.ป.ช.  ผู้เสนอเรื่องถอดถอนต่อที่ประชุม สนช.

มีการตอบโต้ที่เป็นหลักสำคัญของการถอดถอนอยู่ 2 ประเด็น  คือ

1. เรื่องคุณสมบัติของนายภักดี  โพธิศิริ   อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ที่รวมลงมติส่งเรื่องถอดถอนต่อ สนช. ว่าขาดคุณสมบัติการเป็น ป.ป.ช. หรือไม่

2. เรื่องระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548


ใน 2 ประเด็นนี้  ผมเห็นว่า  เหตุผล ข้อกฎหมาย ของนายสุรพงษ์  โตวิจักษณ์ชัยกุล  ถูกต้อง 100% ครับ
ส่วนเหตุผล  ข้อกฎหมาย  ของนางสาวสุภา  ปิยะจิตติ  นั้น   ออกไปในทางแถ และถือว่ามีอำนาจในการถอดถอน

แต่อย่างไรก็ตาม    ผมเชื่อว่า  นายสุรพงษ์  ไม่มีทางรอดจากการถูกถอดถอนแน่นอน 10000000000000000000 %



ทำไมผมถึงว่านายสุรพงษ์  ถูกต้อง     นางสาวสุภา  แถ
ด้วยเหตุผลดังนี้ครับ

ประเด็นเรื่องหนังสือเดินทางที่นายกระทรวงการต่างประเทศออกให้ทักษิณ
หลังจากโดนรัฐบาลอภิสิทธิ์ยกเลิกหนังสือเดินทาง

ประเด็นนี้   มีข้อที่ควรพิจารณานิดเดียวครับ  คือ รัฐบาลอภิสิทธิ์  ยกเลิกหนังสือเดินทางทักษิณ
ด้วยการใช้ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548  ข้อ 23 (7)
ที่บอกว่า  เจ้าหน้าที่ยกเลิกหนังสือเดินทางได้ หากพิจารณาเห็นว่า

หากให้ผู้ถือหนังสือเดินทางยังคงอยู่ในต่างประเทศต่อไป อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศได้

ด้วยการใช้ระเบียบข้อนี้  รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงได้ยกเลิกหนังสือเดินทางของทักษิณ

เมื่อมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์  ก็ได้ใช้ระเบียบข้อเดียวกันนี้  คืนหนังสือเดินทางให้ทักษิณ
เพราะ พิจารณาเห็นว่า  ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศ


นายสุรพงษ์  ให้เหตุผลว่า  เป็นเรื่องการวินิจฉัยทางการเมือง ซึ่งสามารถเห็นแตกต่างกันได้ ไม่ใช่การวินิจฉัยทางข้อกฎหมาย

รัฐบาลอภิสิทธิ์  เห็นอย่างหนึ่ง     รัฐบาลยิ่งลักษณ์เห็นอย่างหนึ่ง
เป็นเรื่อง "ความเห็น"  ไม่ใช่เรื่อง "ข้อกฎหมาย"

ศาล  ตำรวจ  ก็ไม่ได้คำสั่งห้ามเกี่ยวกับหนังสือเดินทางใด ๆ

ขณะที่นางสาวสุภา   อ้างไปสารพัด  เรียกว่าแถให้เข้าไปในเรื่องข้อกฎหมายให้ได้
อ้างไปในเรื่องการดุลพินิจ (ทั้งที่ดุลพินิจเป็นเรื่องของ รมว.ต่างประเทศ  แล้วผิดตรงไหน)
อ้างไปในเรื่องการสั่งการต่อปลัดกระทรวงให้คืนหนังสือเดินทาง (แต่ไม่ฟ้องร้องเรื่องใช้อำนาจหน้าที่ก้าวก่าย)



ประเด็นคุณสมบัติการเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ของนายภักดี  โพธิศิริ

นายภักดี นั้น  ได้รับการแต่งตั้งจาก คมช. ให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2549
ซึ่งตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 11   ผู้ได้รับการแต่งตั้งต้องลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทภายใน 15 วัน

มิฉะนั้น  กฎหมายถือว่า  ผู้ได้รับการแต่งตั้ง ไม่ได้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. มาตั้งแต่ต้น (ตั้งแต่วันแต่งตั้ง)

ขณะนั้น  นายภักดี  โพธิศิริ   เป็นกรรมการในบริษัทองค์การเภสัชกรรม
ซึ่งต้องลาออกจากกรรมการบริษัทภายใน 15 วัน

แต่นายภักดี  ไม่ได้ลาออกภายใน 15 วัน   ไปลาออกในต้นเดือนธันวาคม 2549
ซึ่งเกินกว่า 15 วัน

ผิดกฎหมายเห็น ๆ   ผิดกฎหมายเต็ม ๆ   ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. เองนั่นแหละ

ซึ่งเรื่องนี้  มีการยื่นคำร้องให้หลายองค์กรพิจารณาคุณสมบัตินายภักดี
มีการยื่นฟ้องต่อศาลว่านายภักดีเป็น ป.ป.ช. เก๊

แต่ล้มเหลวหมด   และนายภักดี  โพธิศิริ  ก็เป็นกรรมการ ป.ป.ช. จนครบวาระ 9 ปีเต็ม
พ้นวาระไปเมื่อปี 2558

แปลกไหมครับ   คนทำผิดกฎหมาย   แต่ไม่ว่า สนช. ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าศาลยุติธรรม
กลับไม่มีองค์กรใดเห็นว่าผิด

เรื่องนี้  นางสาวสุภา  แถข้าง ๆ คู ๆ ว่า
คนที่จะบอกว่านายภักดีขาดคุณสมบัติคือ สนช. และศาลรัฐธรรมนูญ  เมื่อไม่มีองค์ใดชี้ว่าขาดคุณสมบัติ  จึงไม่ขาดคุณสมบัติ

เป็นการใช้เทคนิคทางข้อกฎหมาย   โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง




เรื่องนี้  เรื่องถอดถอนนายสุรพงษ์ นี่   ชัดกว่าทุกเรื่องครับ     ชัดกว่าเรื่องถอดถอนยิ่งลักษณ์
ว่าเป็นการดำเนินการแบบ "หมาป่ากับลูกแกะ"

ถอดถอนยิ่งลักษณ์เรื่องสั่งย้ายนายถวิล  เปลี่ยนศรี   ยังเป็นเรื่องข้อกฎหมาย
ที่ยิ่งลักษณ์มีอำนาจสมบูรณ์ตาม พรบ.บริหารราชการแผ่นดิน  แต่ก็โดนตีความว่า แทรกแซง

แต่เรื่องนายสุรพงษ์ นี่   เป็นเรื่อง "ความเห็น"  เป็นเรื่อง "ดุลพินิจ"  ไม่ใช่เรื่องข้อกฎหมาย
ยังโดน

แถมเรื่องที่เป็นข้อกฎหมายในเรื่องคุณสมบัตินายภักดี  โพธิศิริ
"คนดี" กลับมองว่า นายภักดี  ไม่ได้ทำผิดกฎหมายใด ๆ  ไม่งั้นการถอดถอนนายสุรพงษ์จะล่ม

ไม่แค่เรื่องนายสุรพงษ์   แต่จะรวมถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย
เพราะหากบอกว่านายภักดีผิดกฎหมาย ขาดคุณสมบัติการเป็น ป.ป.ช.  มีหวังยุ่ง

เหตุว่านายภักดีจะกลายเป็น ป.ป.ช เก๊  ที่นั่งลงมติในที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ตั้ง 9 ปีเต็ม





ดิส อิส สลิ่มแลนด์แดนกะลา