แค่คุณสมบัติข้างบนที่กล่าวมาก็คงจะพอจะทำให้ท่านกงสหรัฐกลัวว่าจะมีหนุ่มอเมริกันเรียงแถวเข้ามาแจกกรีนการ์ดเราแล้วใช่มั้ยล่ะ ตอนแรกเอาจริงๆ เราทำใจไว้แล้วว่าคงไม่ผ่าน เพราะมีคนไซโคเยอะมว้าก
วีซ่าอเมริกา ไอ้ที่เขาว่ายาก มันก็ไม่ยากหรอกค่ะ แต่จะว่าง่ายมันก็ไม่ใช่ แต่มันออกแนว unpredictable มากกว่า
เพราะเอาจริงๆ แล้ว ปัจจัยสำคัญเลย ที่จะตัดสินว่าเราจะได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของท่านกงสุลคนเดียวเลย ซึ่งปัจจัยนี้ เราไม่สามารถควบคุมได้
สิ่งที่เราทำได้ คงมีแต่การเตรียมเอกสารให้รัดกุม ดูน่าเชื่อถือที่สุด ว่าเราจะไม่โดดไปทำงานเมืองนอกแน่ๆ
สิ่งที่ท่านพิจราณาจากอะไร??
หลังจากที่เราอ่านรีวิวมาตลอดเกือน 4 เดือน เราคิดว่าสิ่งสำคัญในการเพิ่มโอกาสวีซ่าอนุมัติคือ
1. DS160 (50%) เอาจริงๆ จนท.เขาไม่มีเวลามาตั้งคำถามกับทุกคนหรอกค่ะ เขาดูข้อมูลที่เรากรอกไว้เนี่ยแหละ ว่าสัมพันธ์กับการสัมภาษณ์ขนาดไหน
โปรไฟล์หลักๆ ของเราเลยก็มีประมาณนี้
- สถานะ: โสด
- เคยไปเวิร์คมา 2 ครั้ง ครั้งล่าสุดเพิ่งกลับมาตอนเดือนตุลา 2016 นี่เอง
- อายุงาน: แค่ 6 เดือน >> สิ่งนี้ทำให้เรากลัวมาก เพราะปกติอายุงานควรจะ 1 ปีขึ้นไปถึงจะอยู่ในเกณฑ์ที่น่าจะปลอดภัย และเอาจริงๆ งานเราไม่ได้ดีเด่ะอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่เราใช้วิธี “เชียนให้ดูดี” คือไม่ได้โกหกนะ แต่เขียนให้ดูเหมือนงานเราสำคัญมากๆ อ่ะนึกออกป่ะ ตัวอย่างประมาณนี้
EX. I’m employed by………………… Now I’m working at…………. Which is………………(เล่าย่อๆ เกี่ยวกับความสำคัญขององกรค์ที่ทำอยู่)……………… My duties are…………1]……….2]…………..3] ร่ายเลยค่ะ เขียนยาวๆ เขียนเยอะๆ ตอนเราเขียน กรอกไป 150 คำ 5555+
- แผนการเดินทาง: ถึงเราจะขอไปงั้นๆ แบบอยากได้วีซ่าเพราะจะได้ไปที่ไหน เมื่อไหร่ก็ภายใน 10 ปีนี้ แต่แผนการเดินทางควรจะชัดเจนค่ะ หากกงสุลถามมา ควรตอบให้ได้ว่าไปไหน เมื่อไหร่ นานแค่ไหน เดินทางอย่างไร
- การกรอกข้อมูลของคนที่รู้จักในอเมริกา: ถามว่ากรอกได้ไหม??
ได้ค่ะ ตอนเราขอเราก็กรอก ที่สำคัญคือโปรไฟล์ของ “เพื่อน” เรามากกว่า คนที่คิดจะกลับไปหาเพื่อนต่างเพศ เราคงไม่ต้องบอกนะ ว่าห้ามระบุ 55555 ให้ใส่ชื่อเพื่อนที่เป็นผู้หญิงไปค่ะ เพื่อนที่เรียน ป โท จะมีเครดิตค่อนข้างดี พวก นร.ทุนไรงี้ แต่ถ้าเป็นเพื่อนประเภทที่ไปโดดวีซ่า ไปแอบทำงาน อยู่เกินวีซ่า ต่อให้เป็นซิติเซนแล้ว ก็แนะนำว่าไม่ต้องกรอกค่ะ กงเขาจะคิดว่าเพื่อนจะชวนคุณไปทำแบบเดียวกันค่ะ
- กรอกว่าเดินทางคนเดียว เป็นไรไหม?
ถึงเป็นผู้หญิงโสด เดินทางคนเดียว เราว่าไม่เป็นไรค่ะ ถ้า!! ย้ำว่าถ้า! คุณเคยเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองมาแล้ว สัก 4-5 ประเทศ ลาว/พม่า/เวียดนาม งี้ไม่นับนะ เอาแบบ เกาหลี/ญี่ปุ่น หรือทางยุโรปที่ต้องขอวีซ่า ฝรั่งเศส/อังกฤษ/ไอซ์แลนด์ เพราะมันเป็นการพิสูจน์ว่า คุณสามารถดูแลตัวเองในอเมริกาได้ ภาษาอังกฤษจึงต้องดีในระนึง และไม่เคยมีประวัติโดด แบบไปเที่ยวแล้วกลับ ถ้าประวัติการเดินทางยังไม่มากเท่าไหร่ ให้หาเพื่อนเดินทางไปด้วย สัก 1-2 คน จะเพิ่มโอกาสขอวีซ่าผ่านมากขึ้นค่ะ
2. การสัมภาษณ์ (50%)
- ท่องจำสิ่งที่กรอกไปใน DS160 ให้ดีค่ะ เวลาสัมภาษณ์ ตอบให้มั่นใจ อย่าโกหก หรือพูดความจริงให้มากที่สุด ฮา ถามอะไรมา ตอบได้ฉะฉานทันที จ้องตากงสุล มันจะมีช่องลำโพงอยู่ทางด้านขวา พูดกรอกลงไปเลยค่ะ ให้กงได้ยินชัดๆ
**จากประสบการณ์ตรงของเราตอนไปสัมภาษณ์มาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วนะ**
เราไปสัมภาษณ์รอบ 7.00 ค่ะ รอบแรกเลย ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ขุ่นพระ ที่เลือกสัมภาษณ์รอบแรก เพราะเราคิดว่ากงสุลยังอารมณ์ดีๆ อยู่ค่ะ 5555+
ในหัวมีแต่คำถามว่าจะได้? ไม่ได้? ได้? ไม่ได้? อยู่อย่างนั้น เอาจริงๆ เราคงไม่บอกว่าห้ามตื่นเต้นหรอก ตื่นเต้นได้ แต่ก็มีสติด้วยค่ะ จำสิ่งที่กรอกใน DS160 ให้ดี เพราะเขาจะถามเราจากข้อมูลที่เราให้ไปนั่นแหละ
โอเค พอผ่าน พี่ รปภ.ข้างหน้าสถานฑูตมาแล้ว เขาจะให้ฝากของค่ะ เอาไปได้แค่มือถือ 1 เครื่องเท่านั้น พร้อมบัตรประชาชนแนบไปด้วยเอาไว้เอาของคืนตอนกลับ พอเดินผ่านเครื่องสแกน เขาจะให้เราไปตรวจเอกสารรอบแรกค่ะ เดินเลี้ยวซ้ายผ่านประตูออกไป ให้เอาใบ DS160 กับ Passport เล่มปัจจุบัน ใส่ซองใส ย้ำว่าซองใสเท่านั้น สองอย่างนี้ ไปยื่นเคานเตอร์ ขั้นตอนนี้ไม่มีอะไรมาก จากนั้นเดินเลี้ยวขวา เข้าไปในห้องแอร์
จะมีตู้กระจกเรียงอยู่ 2 ฝากของกำแพงค่ะ กระจกแบบหนามาก สงสัยกลัวคนที่สัมภาษณ์วีซ่าไม่ผ่านกระโดดบีบคอท่านกงฯ 5555 เราก็ไปยืนต่อแถวตรวจเอกสารที่เตรียมมาอีกรอบ ที่ช่อง 11–15 พร้อมสแกนนิ้วกับ จนท.คนไทย
จากนั้นไปสแกนนิ้วไปสแกนนิ้วต่อกับ จนท.ฝรั่งหล่อๆ ที่ช่อง 10
จากนั้นจะเป็นความระทึกแล้วล่ะค่ะ เหอๆ
ตรงนี้ขออนุญาตพาทพิงคนอื่นหน่อยนะคะ
ที่ช่อง 6-9 นี่เอง ที่เราจะต้องสัมภาษณ์กับคนที่จะให้ / หรือไม่ให้วีซ่ากับเราจริงๆ แล้วล่ะ
มีคนมาก่อนหน้าเราประมาณ 4-5 คน
คนแรก เป็นพระรูปนึง ไปมาหลายประเทศแล้ว
คนที่สอง คุณลุง ใส่สูทดูภูมิฐานมากๆ แกมาเกาะขอบสถานฑูตคนแรกเลยอ่ะ
คนที่สาม คือแม่กับลูกไฮโซคู่นึง ที่น่าจะไปมาหลายประเทศแล้ว มาขอด้วยกัน
คนที่สี่ พี่ทอมซี้เรา แอบเห็นแกมีพาสปอร์ต 5 เล่ม กรีดพาสปอร์ตไปมา เรานี่ตาร้อนผ่าวเลย เพราะโปรไฟล์แกดีมาก ไปรอบโลกมาหมดแล้วมั้ง 55555++
เราเป็นคนที่ห้า ใส่เสื้อ สนง.บวกแขวนป้ายเรียบร้อย กลัวคนไม่รู้ว่าทำงานที่ไหน 55555++
รอประมาณ 5 นาทีผ่านไป กงสุลคนแรกก็มาค่ะ เป็นแหม่มผมทอง ยิ้มแย้ม ดูใจดี พูดไทยเก่ง พระคุณเจ้าเดินเข้าไปช่องนั้น แล้วก็ผ่านไปแบบสบายๆ
พอช่องที่สองเปิด เจอผู้หญิง น่าจะเป็นแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งเราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า มักจะไม่ให้ผู้หญิง โสด ผ่านวีซ่า คุณลุงใส่สูทเดินเข้าไปค่ะ และแกสัมภาษณ์เป็นภาษาไทย ไปเอเชียมาแล้ว 5-6 ประเทศ และสิ่งที่เหล่านี้คงทำให้แกผ่าน --ถ้า-- แกไม่เอ่ยว่า จะไปเยี่ยมคนรู้จักที่เป็นหมอนวด หรือทำร้านนวดอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ หลังจากนั้น ท่านกงฯ ก็บอก I’m really sorry ลุงจะยื่นอะไรก็ไม่ขอดูเลยค่ะ เป็นรายแรกของวันนั้นที่โดนปฏิเสธ บรรยากาศแบบเงียบและตึงเครียดมาก ลุงแกเดินคอตกออกไป คนที่รออยู่หลังๆ กลืนน้ำลายเอื๊อก รวมถึงเราด้วย
พอช่องที่สามก็เปิดมา เจอผู้ชายคอเคเชี่ยน ผมน้อย หุ่นท้วมคนนึง ดูใจดี ปกติจะมีความเชื่อว่า ผู้ชายขาวท้วมๆ จะให้ผ่านง่ายค่ะ แม่ลูกที่ดูไฮโซคู่นั้นก็เดินเข้าไปสัมภาษณ์ด้วยกัน
เหลือเรากับพี่ทอมที่รอลุ้นว่าจะได้คนไหน ระหว่างรอก็ใจเต้นแบบว่า เหมือนจะหลุดออกมานอกอกเลย เห้อ เราก็ภาวนาว่าอย่าให้ได้เจ๊ตรงกลางเลย ดูจริงจังและขึงขังมาก หนูกลัว TT
พอลุงคนนั้นเดินออกไปแล้ว พี่ทอมเราก็ไปสัมภาษณ์กับผู้หญิงผิวสีอย่างช่วยไม่ได้ค่ะ ตอนนั้นเราภาวนา ขอให้ได้ใครก็ได้ แหม่มผมทอง หรือคุณผมน้อยก็ได้
แต่... ด้วยความที่พี่ทอมมีประสบการณ์เดินทางโชกโชน สัมภาษณ์แบบมั่นใจมาก แกเลยโดนไม่กี่คำถาม แล้วก็... ผ่านจ้า แกเดินตัวปลิวออกไป แล้วเราก็ไม่เห็นแกอีกเลย
เราก็แบบ...
เอ้ย ไม่อยากได้อะไร ก็ดันได้แบบนั้น เห้อ คือตอนนั้นไม่อยากสัมภาษณ์ละ อยากวิ่งกลับบ้านไปร้องไห้ รู้สึกกลัว
แต่ก็นะ มาถึงขนาดนี้ละ เราก็เดินเข้าไปหาคุณผู้หญิงแอฟริกัน เมกันเลยคร้า พร้อมกับทักทายว่า “Good morning, how are you?”
กง: I’m good, and you?
เรา: I’m good, thankyou.
กง: So, where are you going?
เรา: I’m going to..............
กง: And who are you going to visit?
เรา: No no, I’m going to…………….. with my friend.
กง: How many days?
เรา: 10 days… includes probably 2 days on a plane.
กง: Okay… then who is…………(ในนั้นกรอกชื่อเพื่อนผู้หญิงที่เรียน โท อยู่ที่มินิโซต้าไปคนนึง)…………..??
เรา: She is a friend.
กง: How did you two meet?
เรา: I met last time I visited America.
กง: So, you’re not going to meet her on this trip?
เรา: Nah
กง: Alright, and where are you working?
เรา: I’m working at…………บอกสถานที่ทำงาน………….
กง: How long?
เรา: 6 months now madam.
กง: Have you travel anywhere?
เรา: Yes, I went to Malaysia and Singapore last month. It was awesome (แกล้งทำเป็นมีความสุข ตาเป็นประกาย ทั้งๆ ที่ตรูเครียดจาตายอยู่ละ เลิกถามได้ม้ายยยย)… and I went to America twice on Work and Travel Program. (คุณกงฯ พิมพ์คอมต่อกแต่กๆ อยากรู้จังว่านางพิมพ์อะไร ๕๕๕)
กง: Alright, your visa is approved.
แล้วนางก็เก็บเอกสารเราไปค่ะ ตอนนั้นแบบว่า ในหูนี่มีเสียงวิ้งๆ ผ่านหรอวะ ผ่านจริงดิ ฮือๆ เอกสารที่เราเตรียมไป ท่านกงไม่ขอดูเลยสักอย่าง ชีวิต... แอบเสียดายค่าขอ statement
แล้วนางก็กำชับประมาณว่า วีซ่านี้ห้ามทำงานนะ และต้องเที่ยวแค่ 10 วันแค่นั้น (ดุจุง) แล้วเราก็รีบ Thankyou แล้วเดินโซเซออกมา พร้อมกับอาการหุบยิ้มไม่ได้ คือคนที่กำลังเดินเข้ามาสัมภาษณ์คงเดาผลวีซ่าเราออกอ่านะ
คือสัมภาษณ์เหมือนจะไม่เยอะ แต่จริงๆ ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้ว เขาถามเราเยอะเหมือนกันนะ เรารู้สึกว่ามันนานมากอ่ะ โอเค ทริคการขอวีซ่าเมกาก็เท่านี้ล่ะนะ สรุปได้มา 10 ปี เขียนยาวมาก ก็ขอให้คนที่มีใจจะไปเที่ยวจริงๆ ถ้าเอาทริคนี้ไปใช้ก็ขอให้ผ่านละกัน จุ้บๆ ไปละ
รีวิว การสัมภาษณ์วีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา สำหรับสาวโสด อายุน้อย อายุงานก็ไม่เยอะและหน้าตาดี โดยเฉพาะ
วีซ่าอเมริกา ไอ้ที่เขาว่ายาก มันก็ไม่ยากหรอกค่ะ แต่จะว่าง่ายมันก็ไม่ใช่ แต่มันออกแนว unpredictable มากกว่า
เพราะเอาจริงๆ แล้ว ปัจจัยสำคัญเลย ที่จะตัดสินว่าเราจะได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของท่านกงสุลคนเดียวเลย ซึ่งปัจจัยนี้ เราไม่สามารถควบคุมได้
สิ่งที่เราทำได้ คงมีแต่การเตรียมเอกสารให้รัดกุม ดูน่าเชื่อถือที่สุด ว่าเราจะไม่โดดไปทำงานเมืองนอกแน่ๆ
สิ่งที่ท่านพิจราณาจากอะไร??
หลังจากที่เราอ่านรีวิวมาตลอดเกือน 4 เดือน เราคิดว่าสิ่งสำคัญในการเพิ่มโอกาสวีซ่าอนุมัติคือ
1. DS160 (50%) เอาจริงๆ จนท.เขาไม่มีเวลามาตั้งคำถามกับทุกคนหรอกค่ะ เขาดูข้อมูลที่เรากรอกไว้เนี่ยแหละ ว่าสัมพันธ์กับการสัมภาษณ์ขนาดไหน
โปรไฟล์หลักๆ ของเราเลยก็มีประมาณนี้
- สถานะ: โสด
- เคยไปเวิร์คมา 2 ครั้ง ครั้งล่าสุดเพิ่งกลับมาตอนเดือนตุลา 2016 นี่เอง
- อายุงาน: แค่ 6 เดือน >> สิ่งนี้ทำให้เรากลัวมาก เพราะปกติอายุงานควรจะ 1 ปีขึ้นไปถึงจะอยู่ในเกณฑ์ที่น่าจะปลอดภัย และเอาจริงๆ งานเราไม่ได้ดีเด่ะอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่เราใช้วิธี “เชียนให้ดูดี” คือไม่ได้โกหกนะ แต่เขียนให้ดูเหมือนงานเราสำคัญมากๆ อ่ะนึกออกป่ะ ตัวอย่างประมาณนี้
EX. I’m employed by………………… Now I’m working at…………. Which is………………(เล่าย่อๆ เกี่ยวกับความสำคัญขององกรค์ที่ทำอยู่)……………… My duties are…………1]……….2]…………..3] ร่ายเลยค่ะ เขียนยาวๆ เขียนเยอะๆ ตอนเราเขียน กรอกไป 150 คำ 5555+
- แผนการเดินทาง: ถึงเราจะขอไปงั้นๆ แบบอยากได้วีซ่าเพราะจะได้ไปที่ไหน เมื่อไหร่ก็ภายใน 10 ปีนี้ แต่แผนการเดินทางควรจะชัดเจนค่ะ หากกงสุลถามมา ควรตอบให้ได้ว่าไปไหน เมื่อไหร่ นานแค่ไหน เดินทางอย่างไร
- การกรอกข้อมูลของคนที่รู้จักในอเมริกา: ถามว่ากรอกได้ไหม??
ได้ค่ะ ตอนเราขอเราก็กรอก ที่สำคัญคือโปรไฟล์ของ “เพื่อน” เรามากกว่า คนที่คิดจะกลับไปหาเพื่อนต่างเพศ เราคงไม่ต้องบอกนะ ว่าห้ามระบุ 55555 ให้ใส่ชื่อเพื่อนที่เป็นผู้หญิงไปค่ะ เพื่อนที่เรียน ป โท จะมีเครดิตค่อนข้างดี พวก นร.ทุนไรงี้ แต่ถ้าเป็นเพื่อนประเภทที่ไปโดดวีซ่า ไปแอบทำงาน อยู่เกินวีซ่า ต่อให้เป็นซิติเซนแล้ว ก็แนะนำว่าไม่ต้องกรอกค่ะ กงเขาจะคิดว่าเพื่อนจะชวนคุณไปทำแบบเดียวกันค่ะ
- กรอกว่าเดินทางคนเดียว เป็นไรไหม?
ถึงเป็นผู้หญิงโสด เดินทางคนเดียว เราว่าไม่เป็นไรค่ะ ถ้า!! ย้ำว่าถ้า! คุณเคยเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองมาแล้ว สัก 4-5 ประเทศ ลาว/พม่า/เวียดนาม งี้ไม่นับนะ เอาแบบ เกาหลี/ญี่ปุ่น หรือทางยุโรปที่ต้องขอวีซ่า ฝรั่งเศส/อังกฤษ/ไอซ์แลนด์ เพราะมันเป็นการพิสูจน์ว่า คุณสามารถดูแลตัวเองในอเมริกาได้ ภาษาอังกฤษจึงต้องดีในระนึง และไม่เคยมีประวัติโดด แบบไปเที่ยวแล้วกลับ ถ้าประวัติการเดินทางยังไม่มากเท่าไหร่ ให้หาเพื่อนเดินทางไปด้วย สัก 1-2 คน จะเพิ่มโอกาสขอวีซ่าผ่านมากขึ้นค่ะ
2. การสัมภาษณ์ (50%)
- ท่องจำสิ่งที่กรอกไปใน DS160 ให้ดีค่ะ เวลาสัมภาษณ์ ตอบให้มั่นใจ อย่าโกหก หรือพูดความจริงให้มากที่สุด ฮา ถามอะไรมา ตอบได้ฉะฉานทันที จ้องตากงสุล มันจะมีช่องลำโพงอยู่ทางด้านขวา พูดกรอกลงไปเลยค่ะ ให้กงได้ยินชัดๆ
**จากประสบการณ์ตรงของเราตอนไปสัมภาษณ์มาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วนะ**
เราไปสัมภาษณ์รอบ 7.00 ค่ะ รอบแรกเลย ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ขุ่นพระ ที่เลือกสัมภาษณ์รอบแรก เพราะเราคิดว่ากงสุลยังอารมณ์ดีๆ อยู่ค่ะ 5555+
ในหัวมีแต่คำถามว่าจะได้? ไม่ได้? ได้? ไม่ได้? อยู่อย่างนั้น เอาจริงๆ เราคงไม่บอกว่าห้ามตื่นเต้นหรอก ตื่นเต้นได้ แต่ก็มีสติด้วยค่ะ จำสิ่งที่กรอกใน DS160 ให้ดี เพราะเขาจะถามเราจากข้อมูลที่เราให้ไปนั่นแหละ
โอเค พอผ่าน พี่ รปภ.ข้างหน้าสถานฑูตมาแล้ว เขาจะให้ฝากของค่ะ เอาไปได้แค่มือถือ 1 เครื่องเท่านั้น พร้อมบัตรประชาชนแนบไปด้วยเอาไว้เอาของคืนตอนกลับ พอเดินผ่านเครื่องสแกน เขาจะให้เราไปตรวจเอกสารรอบแรกค่ะ เดินเลี้ยวซ้ายผ่านประตูออกไป ให้เอาใบ DS160 กับ Passport เล่มปัจจุบัน ใส่ซองใส ย้ำว่าซองใสเท่านั้น สองอย่างนี้ ไปยื่นเคานเตอร์ ขั้นตอนนี้ไม่มีอะไรมาก จากนั้นเดินเลี้ยวขวา เข้าไปในห้องแอร์
จะมีตู้กระจกเรียงอยู่ 2 ฝากของกำแพงค่ะ กระจกแบบหนามาก สงสัยกลัวคนที่สัมภาษณ์วีซ่าไม่ผ่านกระโดดบีบคอท่านกงฯ 5555 เราก็ไปยืนต่อแถวตรวจเอกสารที่เตรียมมาอีกรอบ ที่ช่อง 11–15 พร้อมสแกนนิ้วกับ จนท.คนไทย
จากนั้นไปสแกนนิ้วไปสแกนนิ้วต่อกับ จนท.ฝรั่งหล่อๆ ที่ช่อง 10
จากนั้นจะเป็นความระทึกแล้วล่ะค่ะ เหอๆ
ตรงนี้ขออนุญาตพาทพิงคนอื่นหน่อยนะคะ
ที่ช่อง 6-9 นี่เอง ที่เราจะต้องสัมภาษณ์กับคนที่จะให้ / หรือไม่ให้วีซ่ากับเราจริงๆ แล้วล่ะ
มีคนมาก่อนหน้าเราประมาณ 4-5 คน
คนแรก เป็นพระรูปนึง ไปมาหลายประเทศแล้ว
คนที่สอง คุณลุง ใส่สูทดูภูมิฐานมากๆ แกมาเกาะขอบสถานฑูตคนแรกเลยอ่ะ
คนที่สาม คือแม่กับลูกไฮโซคู่นึง ที่น่าจะไปมาหลายประเทศแล้ว มาขอด้วยกัน
คนที่สี่ พี่ทอมซี้เรา แอบเห็นแกมีพาสปอร์ต 5 เล่ม กรีดพาสปอร์ตไปมา เรานี่ตาร้อนผ่าวเลย เพราะโปรไฟล์แกดีมาก ไปรอบโลกมาหมดแล้วมั้ง 55555++
เราเป็นคนที่ห้า ใส่เสื้อ สนง.บวกแขวนป้ายเรียบร้อย กลัวคนไม่รู้ว่าทำงานที่ไหน 55555++
รอประมาณ 5 นาทีผ่านไป กงสุลคนแรกก็มาค่ะ เป็นแหม่มผมทอง ยิ้มแย้ม ดูใจดี พูดไทยเก่ง พระคุณเจ้าเดินเข้าไปช่องนั้น แล้วก็ผ่านไปแบบสบายๆ
พอช่องที่สองเปิด เจอผู้หญิง น่าจะเป็นแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งเราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า มักจะไม่ให้ผู้หญิง โสด ผ่านวีซ่า คุณลุงใส่สูทเดินเข้าไปค่ะ และแกสัมภาษณ์เป็นภาษาไทย ไปเอเชียมาแล้ว 5-6 ประเทศ และสิ่งที่เหล่านี้คงทำให้แกผ่าน --ถ้า-- แกไม่เอ่ยว่า จะไปเยี่ยมคนรู้จักที่เป็นหมอนวด หรือทำร้านนวดอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ หลังจากนั้น ท่านกงฯ ก็บอก I’m really sorry ลุงจะยื่นอะไรก็ไม่ขอดูเลยค่ะ เป็นรายแรกของวันนั้นที่โดนปฏิเสธ บรรยากาศแบบเงียบและตึงเครียดมาก ลุงแกเดินคอตกออกไป คนที่รออยู่หลังๆ กลืนน้ำลายเอื๊อก รวมถึงเราด้วย
พอช่องที่สามก็เปิดมา เจอผู้ชายคอเคเชี่ยน ผมน้อย หุ่นท้วมคนนึง ดูใจดี ปกติจะมีความเชื่อว่า ผู้ชายขาวท้วมๆ จะให้ผ่านง่ายค่ะ แม่ลูกที่ดูไฮโซคู่นั้นก็เดินเข้าไปสัมภาษณ์ด้วยกัน
เหลือเรากับพี่ทอมที่รอลุ้นว่าจะได้คนไหน ระหว่างรอก็ใจเต้นแบบว่า เหมือนจะหลุดออกมานอกอกเลย เห้อ เราก็ภาวนาว่าอย่าให้ได้เจ๊ตรงกลางเลย ดูจริงจังและขึงขังมาก หนูกลัว TT
พอลุงคนนั้นเดินออกไปแล้ว พี่ทอมเราก็ไปสัมภาษณ์กับผู้หญิงผิวสีอย่างช่วยไม่ได้ค่ะ ตอนนั้นเราภาวนา ขอให้ได้ใครก็ได้ แหม่มผมทอง หรือคุณผมน้อยก็ได้
แต่... ด้วยความที่พี่ทอมมีประสบการณ์เดินทางโชกโชน สัมภาษณ์แบบมั่นใจมาก แกเลยโดนไม่กี่คำถาม แล้วก็... ผ่านจ้า แกเดินตัวปลิวออกไป แล้วเราก็ไม่เห็นแกอีกเลย
เราก็แบบ... เอ้ย ไม่อยากได้อะไร ก็ดันได้แบบนั้น เห้อ คือตอนนั้นไม่อยากสัมภาษณ์ละ อยากวิ่งกลับบ้านไปร้องไห้ รู้สึกกลัว
แต่ก็นะ มาถึงขนาดนี้ละ เราก็เดินเข้าไปหาคุณผู้หญิงแอฟริกัน เมกันเลยคร้า พร้อมกับทักทายว่า “Good morning, how are you?”
กง: I’m good, and you?
เรา: I’m good, thankyou.
กง: So, where are you going?
เรา: I’m going to..............
กง: And who are you going to visit?
เรา: No no, I’m going to…………….. with my friend.
กง: How many days?
เรา: 10 days… includes probably 2 days on a plane.
กง: Okay… then who is…………(ในนั้นกรอกชื่อเพื่อนผู้หญิงที่เรียน โท อยู่ที่มินิโซต้าไปคนนึง)…………..??
เรา: She is a friend.
กง: How did you two meet?
เรา: I met last time I visited America.
กง: So, you’re not going to meet her on this trip?
เรา: Nah
กง: Alright, and where are you working?
เรา: I’m working at…………บอกสถานที่ทำงาน………….
กง: How long?
เรา: 6 months now madam.
กง: Have you travel anywhere?
เรา: Yes, I went to Malaysia and Singapore last month. It was awesome (แกล้งทำเป็นมีความสุข ตาเป็นประกาย ทั้งๆ ที่ตรูเครียดจาตายอยู่ละ เลิกถามได้ม้ายยยย)… and I went to America twice on Work and Travel Program. (คุณกงฯ พิมพ์คอมต่อกแต่กๆ อยากรู้จังว่านางพิมพ์อะไร ๕๕๕)
กง: Alright, your visa is approved.
แล้วนางก็เก็บเอกสารเราไปค่ะ ตอนนั้นแบบว่า ในหูนี่มีเสียงวิ้งๆ ผ่านหรอวะ ผ่านจริงดิ ฮือๆ เอกสารที่เราเตรียมไป ท่านกงไม่ขอดูเลยสักอย่าง ชีวิต... แอบเสียดายค่าขอ statement
แล้วนางก็กำชับประมาณว่า วีซ่านี้ห้ามทำงานนะ และต้องเที่ยวแค่ 10 วันแค่นั้น (ดุจุง) แล้วเราก็รีบ Thankyou แล้วเดินโซเซออกมา พร้อมกับอาการหุบยิ้มไม่ได้ คือคนที่กำลังเดินเข้ามาสัมภาษณ์คงเดาผลวีซ่าเราออกอ่านะ
คือสัมภาษณ์เหมือนจะไม่เยอะ แต่จริงๆ ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้ว เขาถามเราเยอะเหมือนกันนะ เรารู้สึกว่ามันนานมากอ่ะ โอเค ทริคการขอวีซ่าเมกาก็เท่านี้ล่ะนะ สรุปได้มา 10 ปี เขียนยาวมาก ก็ขอให้คนที่มีใจจะไปเที่ยวจริงๆ ถ้าเอาทริคนี้ไปใช้ก็ขอให้ผ่านละกัน จุ้บๆ ไปละ