O ฉับพลันฝนก็เร้นเก็บเส้นสาย
ดวงวันฉายแสงช่วงโลมห้วงหน
ขับความชื้นลบเลือนรอยเปื้อนปน
ลบหมองหม่นแผ่นฟ้าจนพร่าเลือน
O คล้ายเมฆสีเทาทึมเมื่อครึ้มฝน
ถูกแสงสรวงเบื้องบนเข้าปนเปื้อน
ย้อมสีเทาเป็นขาว..เมื่อหนาวเยือน
มาตามเตือนเลื่อนยามให้งามตา
O ลมเหน็บหนาวเกรียวกรูเสียงวู่ไหว
โลมกิ่งใบไม้ตื่นทั้งผืนป่า
เขยื้อนขยับยวบไหวอยู่ไปมา
เหมือนบอกลาล่วงพ้น .. คาบฝนปลาย
O ความเปลี่ยนแปลงผ่านสู่ .. ให้รู้เห็น
จากเมื่อสีเลื่อนเส้น .. แล่นเป็นสาย
เสียงครืนครั่นก้องอยู่ไม่รู้วาย
แปลบปลาบว่ายเวียนย้ำโลมค่ำคืน
O จนฟ้าเปลี่ยนไม้ใบสั่นไหวระริก
น้ำก็พลิกแผ่นผิว .. เป็นริ้วตื่น
จึงบัดนั้น .. ภูมิทัศน์ก็หยัดยืน
ด้วยสายลมเย็นชื่น .. เพื่อฟื้นตัว
O ถึงคราลมเย็นรื่น .. วกคืนย้อน-
พรมสายอ่อนโอนระลอกเข้าหยอกยั่ว
ยอดหญ้าเรียวโค้งนั้น .. ย่อมสั่นรัว
รอเกลือกกลั้วรับรู้ .. ฤดูลม
O จากยึดโยงรากแทงลงแหล่งดิน
ตราบฝนรินหยาดหลั่งลงสั่งสม
คลายความชุ่มความชื้นเหนือพื้น, พรม-
ภาวะอันอุดม .. ห้อมห่มไพร
O เหยียดยอดเสียดขึ้นแทงรับแรงฝน
ที่คอยหล่นร่วงหยาด .. ก่อนลาดไหล
ยืนต้นตั้งเป็นแถว .. เป็นแนวไป
รอลมไหววาดวี .. จักมีมา
O ไม่นานเลย .. จากฝนฟ้าหม่นหลัว
จนยอดไม้ส่ายรัวอยู่ทั่วหน้า
โลกต่ำ-ใบขาบเขียวทุกเรียวคา-
จะออดอ้อนลมถา .. อยู่คาพื้น
O ระบำแถวยอดหญ้าตรงหน้านั้น
จะค่อยสั่นใบพลิ้วเป็นริ้วตื่น
เขียวจากฝนฝากตอนจะย้อนคืน-
เป็นแพรผืนโยนระลอกยั่วหยอกลม
O ร้อนจะรุมสุมมาจากฟ้าไหน
เรียวจะไหววาดรับช่วยขับข่ม
รอค่ำคืนน้ำค้างมาพร่างพรม
เพื่อรับฉมชื่นมาลย์ .. กลิ่นซ่านซ้อน
O กาลย่อมผ่านโดยช่วงของดวงวัน
จากเม็ดพันธุ์แตกหน่อเป็นช่ออ่อน
จนกลีบใบเรียวแรกเริ่มแตก .. ชอน-
ไชขึ้นอ้อนออดรู้ฤดูกาล
O ฝน .. หนาว .. ร้อนรุ่มถึงขุมขน
แล้วเวียนรอบให้ฝน .. อีกฝนผ่าน
เพื่อหยัดกลีบเรียวช่อ .. ขึ้นรอบาน
พร้อมเรณูหอมซ่านขึ้นหว่านรส
O ช้าเร็ว .. มวลผึ้งภู่ย่อมรู้กลิ่น
เมื่อลมรินรวยเท .. หันเหบท
คอยดูเถิดอีกประเดี๋ยว .. การเลี้ยวลด-
เข้าจ่อจดหวานหอม .. จะพร้อมแล้ว
O ฤดูลมพรมพรำ .. อยู่ค่ำเช้า
อาจรุมเร้า, อ่อนโรย .. จนโชยแผ่ว
รอกวัดใบหญ้าเต้นจนเป็นแนว
ซ้ำบทแล้วบทเล่า .. แต่เช้าวัน
O เมื่อสายลมผ่านสู่ .. ฤดูล่อง
และฟ้าผ่องแผ้วงามสีครามนั่น
ก็เมื่อผิวต้องหนาวจนหนาวครัน
จึงบัดนั้นโลกกว้างย่อมวางรอ
O ให้ฟังเสียงลมเท .. มาเห่กล่อม
สูดกลิ่นหอมเรณูที่ชูช่อ
ทั้งเสียงไม้เสียดยอด .. แสงทอดทอ-
ลอดพุ่มกอก้านใบ .. ที่ไหวรับ
O พอลมล่องลาดเทมาเห่กล่อม
โลกที่ล้อมรอบล้วนคล้ายครวญขับ-
ผ่านบทเพลงร่ายรำ .. เพื่อสำทับ-
การเขยื้อนการขยับลำดับนั้น
O ก็ใช่- เป็นเพียงฤดูลม
หมุนรอบมาห้อมห่มให้ซมสั่น
เปลี่ยนผ่านสภาพธรรมเข้าค้ำยัน
ให้จิตใจทั้งนั้นรู้ผันแปร
O เมื่อเม็ดน้ำขาดช่วงจากห้วงหน
เมฆขาวบนฟ้าพลอย .. เลื่อนลอยแผ่
เมื่อขาวครามกลมเกลียวให้เหลียวแล
ก็เห็นแต่ภาพงามของยามนี้
O โอบโลกให้งดงามอยู่ท่ามกลาง-
ดวงวันพร่างแสงพร้อยเรียงสร้อยสี
ลมหนาวร่ำสายผ่านลงคว้านตี
เมื่อปีกผีเสื้อลายบินบ่ายย้อน
O ช่องโสตก็จะแว่วเสียงแจ้วเจื้อย-
ของนก, ลมโชยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยอ่อน
ผืนแผ่นน้ำครวญครางในต่างตอน
จักซ้ำซ้อนภาพลวงอีกดวงวัน
O ให้มองเห็นลอยดวงบนสรวงฟ้า
ทั้งแจ่มจ้ายิ่งล้ำกลางน้ำนั่น
เท็จ-จริง .. ที่มองผ่านก็ปานกัน
ย่อมแปรผันโดยจิต .. การคิดตรอง
O ก็ใช่ – ที่เป็นเพียงธรรมชาติ
ทั้งดวงวันโอภาสคอยสาดส่อง
หรือคลื่นน้ำไหลลาดลงฟาดฟอง
และปีกผีเสื้อล่องบนท้องฟ้า
O เห็นไหมเล่ากลีบผการะย้าย้อย
ทุกช่อที่เคยช้อยอยู่คอยท่า
รอฝน .. ต้องฝน .. หมดฝนพา-
กันอ่อนโรยอ่อนล้า .. ซบคาพื้น
O ฤๅ - อาจรู้ลูบโลมด้วยลมหนาว
หรือแสงงามวับวาวจากดาวดื่น
ครั้นสิ้นรอบลมร่ำกลางค่ำคืน
ฤๅ – อาจรู้ฉ่ำชื้นของพื้นดิน
O เพียงกาลผ่านเวียนแล้วเปลี่ยนช่วง
งามทั้งปวงถ้วนบทก็หมดสิ้น
ปีกลวดลายลมโชยเคยโบยบิน
อาจลาถิ่นไพรเถื่อนลับเลือนแล้ว
O ที่ไหนเล่าโลกกว้างและทางแคบ
เพียงหนีบแนบกลีบใบที่ไหวแผ่ว
ที่ไหนเล่าดีร้ายที่ปลายแนว-
ของเทือกแถวดอกมาลย์หอมหวานนั้น
O ก็นั่นแหละรูปธรรมในธรรมชาติ
ลมไหววาดแสงฉายน้ำพรายสั่น
ปีกลวดลายบินหยุด .. ดอมบุษบัน
เกสรกลั่นหวานรส .. อาจหมดฤๅ
O หากอีกสภาพธรรมในธรรมชาติ
เมื่อลมลาดล่องอยู่อาจรู้หรือ-
ว่าร้อน .. ฝน .. จนหนาว .. อีกหนาวคือ-
การยึดถือตีความเอาตามใจ
O ฤดูลม-ยอดไม้ส่ายไหวอยู่
ปีกลวดลายหรุบชูก่อนลู่ไหล-
ลอดกลีบดอกนุ่มบางแทรกร่างไป
หวานเยี่ยงไรเล่าหนอ .. จึ่งพอเพียง ?
O ฤดูลม .. หวนระลอก, ดวงดอกไม้-
ก็หอมให้แถวถิ่นรู้กลิ่น, เสียง-
นกไพรเถื่อนก้องกรู .. คล้ายอยู่เคียง-
ศัพท์สำเนียงก้องรัว .. บางหัวใจ !
.
.
ฝูงนกเถื่อนก้องอยู่ .. ก็รู้เพียง-
ศัพท์สำเนียงโฉดชั่ว .. เริ่มรัวดัง !
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=01-2015&date=11&group=41&gblog=55
O กลางริ้วลมร่ำ .. O
O ฉับพลันฝนก็เร้นเก็บเส้นสาย
ดวงวันฉายแสงช่วงโลมห้วงหน
ขับความชื้นลบเลือนรอยเปื้อนปน
ลบหมองหม่นแผ่นฟ้าจนพร่าเลือน
O คล้ายเมฆสีเทาทึมเมื่อครึ้มฝน
ถูกแสงสรวงเบื้องบนเข้าปนเปื้อน
ย้อมสีเทาเป็นขาว..เมื่อหนาวเยือน
มาตามเตือนเลื่อนยามให้งามตา
O ลมเหน็บหนาวเกรียวกรูเสียงวู่ไหว
โลมกิ่งใบไม้ตื่นทั้งผืนป่า
เขยื้อนขยับยวบไหวอยู่ไปมา
เหมือนบอกลาล่วงพ้น .. คาบฝนปลาย
O ความเปลี่ยนแปลงผ่านสู่ .. ให้รู้เห็น
จากเมื่อสีเลื่อนเส้น .. แล่นเป็นสาย
เสียงครืนครั่นก้องอยู่ไม่รู้วาย
แปลบปลาบว่ายเวียนย้ำโลมค่ำคืน
O จนฟ้าเปลี่ยนไม้ใบสั่นไหวระริก
น้ำก็พลิกแผ่นผิว .. เป็นริ้วตื่น
จึงบัดนั้น .. ภูมิทัศน์ก็หยัดยืน
ด้วยสายลมเย็นชื่น .. เพื่อฟื้นตัว
O ถึงคราลมเย็นรื่น .. วกคืนย้อน-
พรมสายอ่อนโอนระลอกเข้าหยอกยั่ว
ยอดหญ้าเรียวโค้งนั้น .. ย่อมสั่นรัว
รอเกลือกกลั้วรับรู้ .. ฤดูลม
O จากยึดโยงรากแทงลงแหล่งดิน
ตราบฝนรินหยาดหลั่งลงสั่งสม
คลายความชุ่มความชื้นเหนือพื้น, พรม-
ภาวะอันอุดม .. ห้อมห่มไพร
O เหยียดยอดเสียดขึ้นแทงรับแรงฝน
ที่คอยหล่นร่วงหยาด .. ก่อนลาดไหล
ยืนต้นตั้งเป็นแถว .. เป็นแนวไป
รอลมไหววาดวี .. จักมีมา
O ไม่นานเลย .. จากฝนฟ้าหม่นหลัว
จนยอดไม้ส่ายรัวอยู่ทั่วหน้า
โลกต่ำ-ใบขาบเขียวทุกเรียวคา-
จะออดอ้อนลมถา .. อยู่คาพื้น
O ระบำแถวยอดหญ้าตรงหน้านั้น
จะค่อยสั่นใบพลิ้วเป็นริ้วตื่น
เขียวจากฝนฝากตอนจะย้อนคืน-
เป็นแพรผืนโยนระลอกยั่วหยอกลม
O ร้อนจะรุมสุมมาจากฟ้าไหน
เรียวจะไหววาดรับช่วยขับข่ม
รอค่ำคืนน้ำค้างมาพร่างพรม
เพื่อรับฉมชื่นมาลย์ .. กลิ่นซ่านซ้อน
O กาลย่อมผ่านโดยช่วงของดวงวัน
จากเม็ดพันธุ์แตกหน่อเป็นช่ออ่อน
จนกลีบใบเรียวแรกเริ่มแตก .. ชอน-
ไชขึ้นอ้อนออดรู้ฤดูกาล
O ฝน .. หนาว .. ร้อนรุ่มถึงขุมขน
แล้วเวียนรอบให้ฝน .. อีกฝนผ่าน
เพื่อหยัดกลีบเรียวช่อ .. ขึ้นรอบาน
พร้อมเรณูหอมซ่านขึ้นหว่านรส
O ช้าเร็ว .. มวลผึ้งภู่ย่อมรู้กลิ่น
เมื่อลมรินรวยเท .. หันเหบท
คอยดูเถิดอีกประเดี๋ยว .. การเลี้ยวลด-
เข้าจ่อจดหวานหอม .. จะพร้อมแล้ว
O ฤดูลมพรมพรำ .. อยู่ค่ำเช้า
อาจรุมเร้า, อ่อนโรย .. จนโชยแผ่ว
รอกวัดใบหญ้าเต้นจนเป็นแนว
ซ้ำบทแล้วบทเล่า .. แต่เช้าวัน
O เมื่อสายลมผ่านสู่ .. ฤดูล่อง
และฟ้าผ่องแผ้วงามสีครามนั่น
ก็เมื่อผิวต้องหนาวจนหนาวครัน
จึงบัดนั้นโลกกว้างย่อมวางรอ
O ให้ฟังเสียงลมเท .. มาเห่กล่อม
สูดกลิ่นหอมเรณูที่ชูช่อ
ทั้งเสียงไม้เสียดยอด .. แสงทอดทอ-
ลอดพุ่มกอก้านใบ .. ที่ไหวรับ
O พอลมล่องลาดเทมาเห่กล่อม
โลกที่ล้อมรอบล้วนคล้ายครวญขับ-
ผ่านบทเพลงร่ายรำ .. เพื่อสำทับ-
การเขยื้อนการขยับลำดับนั้น
O ก็ใช่- เป็นเพียงฤดูลม
หมุนรอบมาห้อมห่มให้ซมสั่น
เปลี่ยนผ่านสภาพธรรมเข้าค้ำยัน
ให้จิตใจทั้งนั้นรู้ผันแปร
O เมื่อเม็ดน้ำขาดช่วงจากห้วงหน
เมฆขาวบนฟ้าพลอย .. เลื่อนลอยแผ่
เมื่อขาวครามกลมเกลียวให้เหลียวแล
ก็เห็นแต่ภาพงามของยามนี้
O โอบโลกให้งดงามอยู่ท่ามกลาง-
ดวงวันพร่างแสงพร้อยเรียงสร้อยสี
ลมหนาวร่ำสายผ่านลงคว้านตี
เมื่อปีกผีเสื้อลายบินบ่ายย้อน
O ช่องโสตก็จะแว่วเสียงแจ้วเจื้อย-
ของนก, ลมโชยเฉื่อยคล้ายเหนื่อยอ่อน
ผืนแผ่นน้ำครวญครางในต่างตอน
จักซ้ำซ้อนภาพลวงอีกดวงวัน
O ให้มองเห็นลอยดวงบนสรวงฟ้า
ทั้งแจ่มจ้ายิ่งล้ำกลางน้ำนั่น
เท็จ-จริง .. ที่มองผ่านก็ปานกัน
ย่อมแปรผันโดยจิต .. การคิดตรอง
O ก็ใช่ – ที่เป็นเพียงธรรมชาติ
ทั้งดวงวันโอภาสคอยสาดส่อง
หรือคลื่นน้ำไหลลาดลงฟาดฟอง
และปีกผีเสื้อล่องบนท้องฟ้า
O เห็นไหมเล่ากลีบผการะย้าย้อย
ทุกช่อที่เคยช้อยอยู่คอยท่า
รอฝน .. ต้องฝน .. หมดฝนพา-
กันอ่อนโรยอ่อนล้า .. ซบคาพื้น
O ฤๅ - อาจรู้ลูบโลมด้วยลมหนาว
หรือแสงงามวับวาวจากดาวดื่น
ครั้นสิ้นรอบลมร่ำกลางค่ำคืน
ฤๅ – อาจรู้ฉ่ำชื้นของพื้นดิน
O เพียงกาลผ่านเวียนแล้วเปลี่ยนช่วง
งามทั้งปวงถ้วนบทก็หมดสิ้น
ปีกลวดลายลมโชยเคยโบยบิน
อาจลาถิ่นไพรเถื่อนลับเลือนแล้ว
O ที่ไหนเล่าโลกกว้างและทางแคบ
เพียงหนีบแนบกลีบใบที่ไหวแผ่ว
ที่ไหนเล่าดีร้ายที่ปลายแนว-
ของเทือกแถวดอกมาลย์หอมหวานนั้น
O ก็นั่นแหละรูปธรรมในธรรมชาติ
ลมไหววาดแสงฉายน้ำพรายสั่น
ปีกลวดลายบินหยุด .. ดอมบุษบัน
เกสรกลั่นหวานรส .. อาจหมดฤๅ
O หากอีกสภาพธรรมในธรรมชาติ
เมื่อลมลาดล่องอยู่อาจรู้หรือ-
ว่าร้อน .. ฝน .. จนหนาว .. อีกหนาวคือ-
การยึดถือตีความเอาตามใจ
O ฤดูลม-ยอดไม้ส่ายไหวอยู่
ปีกลวดลายหรุบชูก่อนลู่ไหล-
ลอดกลีบดอกนุ่มบางแทรกร่างไป
หวานเยี่ยงไรเล่าหนอ .. จึ่งพอเพียง ?
O ฤดูลม .. หวนระลอก, ดวงดอกไม้-
ก็หอมให้แถวถิ่นรู้กลิ่น, เสียง-
นกไพรเถื่อนก้องกรู .. คล้ายอยู่เคียง-
ศัพท์สำเนียงก้องรัว .. บางหัวใจ !
.
.
ฝูงนกเถื่อนก้องอยู่ .. ก็รู้เพียง-
ศัพท์สำเนียงโฉดชั่ว .. เริ่มรัวดัง !
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=01-2015&date=11&group=41&gblog=55