O บัวดอกนั้น...O

กระทู้สนทนา



O ด้วยว่าบัวจักบานเมื่อก้านโผล่-
พ้นน้ำ-โล้ลมลูบ .. อวดรูปโฉม
กลีบดอกแย้มยั่วภู่ .. ให้จู่โจม-
ลงตฤปโลมหวานหอมที่น้อมรอ
O คลี่เรียวดอกรับแสงที่แรงร้อน
ให้เกสรเชิดสร้อยขึ้นลอยล่อ-
เรณูหวานซ่านหอมก็ย่อมพอ-
เพียง-สานต่อสืบเหง้า .. คงเผ่าพันธุ์
O พุ่งฝ่าพื้นสินธู .. เชิดชูสิทธิ์-
เอื้อชีวิต .. เป็นมีด้วยสีสัน
ช้อยกลีบบาน .. ผึ้งภู่ .. ฤๅ-รู้ทัน-
หวานหอมนั้น .. อวลกลิ่นให้บินวน
O เพียงลมและแสงสรวงที่ช่วงโชน
ฤๅ-รู้กลิ่นตม-โคลน .. ที่โคนต้น ?
เยี่ยงปูปลาทั้งหลายที่ว่าย-วน
กลางฝุ่นดินขุ่นข้นแสนหม่นมัว
O โอ้งาม .. ราวจะงามไปสามโลก
พร้อมลมโบกบ่าระลอกราวหยอกยั่ว
ใบขาบเขียวแผ่บาน .. และก้านบัว-
คล้ายโยกตัวล้อน้ำอยู่ร่ำไร
O ดอกตูมอันเกลือกโคลนที่โคนต้น
สุดฝ่าน้ำขุ่นข้นขึ้นพ้นได้
เรียวกลีบจะอาจบาน .. ณ กาลใด
เมื่อหรุบดอกหลับใหลอยู่เช่นนั้น
O โองาม .. ที่จะงามไปสามโลก
เห็นแต่เพียงเปียกโชก .. คอยโยกสั่น-
อยู่เรี่ยตมติดดินตราบสิ้นวัน
จักกี่พันแสงภาส - ฤๅอาจ .. โลม ?
O ฝุ่นดินโคลนปลิวป่าย .. รำบายหมอง
แทนเรื่อรองแสงรุ้งเข้าปรุงโฉม
ยังว่าหม่นหมองรูปที่จูบโจม
อาจยังโสมนัสสู่ .. เต่า ปู ปลา
O ขลุกคอยสมาคม .. กับตมโคลน
ดอกก้านโอนเอนอยู่ .. ราวรู้ว่า-
แสงบนสรวงลิบพู้นเกื้อกูลมา
ไม่อาจฝ่ามืดดำกลางน้ำริน
O ร่ำรมย์รสตมดินในถิ่นล่าง
ช่อดอกตูมแช่ค้างอยู่กลางสินธุ์
ฤๅ-จะอาจรับรู้ .. ผึ้งภู่-บิน
และลมรินรวยสู่ .. ฤดูกาล
O จุดประทีปโคมไฟ .. ขึ้นไขแสง
มืดย่อมแฝงรอยสิ้น .. พรากถิ่นฐาน
ภาพบัว-ผ่านจิตเพ่ง .. นั้นเบ่งบาน
แสงวันก็โลมผ่าน .. ดอกก้านใบ
O กลางประทีปโคมทอง .. อันรองเรื่อ
ภาพที่เหลือ-บัวต่ำ, สายน้ำไหล
เต่าปูปลากัดกินจนสิ้นไป
เหลือก้านดอกเศษใบ .. อยู่ใต้น้ำ
O ดวงไฟเต้นเปลวปะ .. รูปพระแผ้ว
กระทบแก้วนัยน์ตาทั่วหล้าต่ำ
สะท้อนแววตอบรับ .. ลำดับธรรม
เช่นบัวสัมผัสรู้ .. ฤดูลม
O ดวงไฟเต้นเปลวปะ .. รูปพระพุทธ
บริสุทธิ์บัวหมู่ .. ก็รู้ฉม
เอื้อมเด็ดดึงคุณค่าควรปรารมภ์-
กุมดอกก้มกราบลง .. หน้าองค์พระ !

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=09-2011&date=25&group=41&gblog=29
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่