เรื่องจริงที่ต้องเล่าต่อ
จาก
นามปากกา “เศษฝุ่นสีเงิน”
เสนอ
วิญญาณ ติด กรรม
ตอน โอ่งน้ำที่ลานวัด
เมื่อข้าพเจ้าจบการศึกษา และรอเข้าทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ (ปกติพยาบาลที่จบการศึกษาแล้ว จะมีงานรองรับทันที) ช่วงเวลานั้นข้าพเจ้ามีความรู้สึกในใจออกมาอย่างถ้วนทั่วว่า อยากตั้งใจบวชให้กับพ่อและแม่ ที่เลี้ยงดูข้าพเจ้าจนเติบใหญ่ และส่งเสียให้ข้าพเจ้าเรียนจนจบ มีการงานที่มั่นคง อยากให้ท่านได้อานิสงค์ แห่งบุญนี้ซึ่งข้าพเจ้าเอง ยังตอบแทนบุญคุณท่านได้ไม่หมดไม่สิ้น จึงได้ปรึกษาพ่อกับแม่เรื่องนี้ และพ่อกับแม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
งานบวชข้าพเจ้าจัดได้เต็มรูปแบบ ตามพิธีบวชของหมู่บ้าน แต่ใช้เวลาบวชแค่ 7 วันเนื่องจากข้าพเจ้าเอง ต้องมีธุระทางโลก คือ กลับไปทำงาน ชดใช้พ่อแม่เลี้ยงดูท่าน วันแรกของการบวชคือตอนเช้า ต้องไปโกนผมที่วัด ซึ่งบุคคลที่มาปลงผมประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่สาว พี่เขย ญาติ และ คนแก่คนเฒ่าแถวบ้าน พิธีเป็นไปโดยเรียบง่าย ไม่มีพิธีเอิกเหริกใด พอปลงผมเสร็จ ก็บวชเป็นพระนาคก่อน
จากนั้นเดินทางไปที่บ้าน พ่อและแม่ต้องเตรียม น้ำขมิ้นส้มป่อย (เป็นน้ำศักดิ์สิทธิที่ทางภาคเหนือ ใช้ สำหรับประกอบพิธีกรรม) มารอหน้าประตูเข้าบ้าน เพื่อล้างเท้าให้ข้าพเจ้า กราบและ เชิญข้าพเจ้าเข้าบ้านในฐานะ บุคคลที่ต้องสืบทอดพระศาสนา สืบต่อจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่บุตรของท่านอีกต่อไป จากนั้นทางญาติผู้ใหญ่ เตรียม ข้าวเหนียวนึ่ง กล้วย ไข่ต้ม ดอกไม้ ข้าวตอก ใส่ขันเงินขันทองใส่พานวางสดสวย น่างดงาม มาขอข้าพเจ้าไปเลี้ยงดูในฐานะ พระนาค พ่อและแม่รับของเหล่านั้น แล้วให้ข้าพเจ้าไปอยู่ที่บ้านญาติ
ข้าพเจ้าเดินทางไปที่บ้านญาติ โดยมีผู้ทรงศีลแต่งกายขาว ถือเครื่องใช้ส่วนตัวของข้าพเจ้านำหน้าเดินไป เครื่องใช่ส่วนตัวพระนาค ประกอบด้วย หมากพลู คนโทใส่น้ำสะอาด หอยเบี้ย ธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้หอม เวลาเดินไปไหน ต้องมีผู้ทรงศีลแต่งกายขาว ถือเดินนำหน้าทุกครั้งไป
การแต่งตัวของพระนาค คือ ใส่โสร่ง คล้ายชาวพม่า สีสันสวนสดงดงาม คาดเข็มขัดเงินฉลุลายวิจิตร เสื้อใส่อังสะลูกไม้สีขาวติดดิ้นทอง ใส่เครื่องประดับมากมายหลายอย่าง
วันนี้ทั้งวันข้าพเจ้าต้องเดินเท้าเปล่า ไปบ้านแต่ละหลังในหมู่บ้าน เพื่อให้พรญาติโยมทั้งหลาย มีความเชื่อว่า หากพระนาคได้ขึ้นไปบนบ้านหลังใด จะเกิดความร่มเย็นเจริญรุ่งเรือง และ ตอนเย็นกลับมาพักผ่อน
ตอนเช้ามืดข้าพเจ้าต้องเตรียมตัวไปวัด เพื่อประกอบพิธีการบวช จากพระนาคเป็น เณร และ พระสงฆ์ต่อไป
หลังจากบวชเสร็จ ข้าพเจ้าก็เข้าสู่ ร่มกาสวพัสตร์ และทิ้งเครื่องพระนาค มาถือ เครื่องอัฐบริขาร และ ประพฤติเรียบง่าย ตามวัตรของสงฆ์ อย่างเคร่งครัด
คืนแรกที่ข้าพเจ้าบวช ต้องนอนในพระวิหาร ที่มีพระประธานของวัดตั้งอยู่ เป็นเวลา 3 วัน และไม่มีการปิดหน้าต่างประตู ให้เปิดไว้ทั้งคืน ตอนนั้นข้าพเจ้าได้นอนแล้ว และใกล้เวลาตื่นมานั่งสมาธิ ทำวัตรเช้าตอน ตี 4 ข้าพเจ้ากำลังลืมตาจะลุกขึ้น
ฟิ้ววววววววววววววว พลั๊ว
เสียงก้อนหินก้อนประมาณหัวแม่มือ ถูกโยน หรือ ถูกยิงมาจากนอกพระวิหาร และตรงมาตก เฉียดหัวข้าพเจ้าไปนิดเดียว ตอนนี้เวลาตี 4 น่าจะไม่มีใครมายิงหินเล่น ข้าพเจ้าแปลกใจอย่างมาก แต่ไม่ได้ถามหรือเสาะหาที่มา เพราะข้าพเจ้าต้องเตรียมเข้าสมาธิ และ ทำวัตรแล้ว
เมื่อทำวัตรจบ ข้าพเจ้า เดินออกไปนอกรั้ววัดเพื่อ กรวดน้ำ ข้าพเจ้าคิดในใจว่า หากข้าพเจ้ากรวดน้ำในวัด อาจโปรดและแผ่บุญไปยัง ภพภูมิที่ลึกล่างต่ำไปไม่ได้ไม่ถึง จึงออกมานอกเขตพัทธสีมา เพื่อกรวดน้ำ ตั้งใจอธิษฐาน ให้ท่านทั้งหลายทุก ๆ ภพภูมิได้รับผลบุญกุศลนี้
ผ่านเวลาไป วันนี้วันที่ 4 ของการบวช ข้าพเจ้าต้องมานอนที่กุฏิ หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าเดินจงกรม สวดมนต์ ทำสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะต่างๆ จนล่วงเลยมาถึงประมาณ ตี 1 ข้าพเจ้าก็ต้องพักผ่อนได้แล้ว เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
ขณะที่กำลังจะนอนอยู่นั้น ได้ยินเสียง แผลบ แผลบ แผลบ เสียงเหมือนสัตว์ สุนัข หรือ แมว มาเลียน้ำที่โอ่งน้ำ ลานล้างบาตร ซึ่งอยู่ติดกับกุฏิที่ข้าพเจ้าพักอยู่ ด้วยที่ยังไม่นอนและเกิดความสงสัย จึงได้เปิดผ้าที่กั้นหน้าต่างมองดูว่าคืออะไร
มองดูเห็นความมืด และมีเงาอะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่าเป็นสัตว์ หรือคน หรือสิ่งใด แลบลิ้นเลียกินน้ำอยู่ที่โอ่งจริง ๆ รูปร่างลักษณะหน้าไม่ชัด แต่ลิ้นแบนกว้างและยาวมาก ที่น่าตกใจคือ ขาและแขนยาวสูงใหญ่ เท้าและมือแบนใหญ่เท่าฝาโอ่ง ข้าพเจ้าพยายามมองให้เห็นลำตัว จึงมองตามแขนและขา ที่ทำท่าเหมือนนั่งขุกเข่า เอามือวางราบกับพื้น ยิ่งมองตามแขนขาก็ยิ่งไม่สิ้นสุดสูงใหญ่มาก อ้อ เห็นแล้ว ลำตัวเหมือนมนุษย์เรานี่เอง ไม่ใส่เสื้อผ้าผอมจนเห็นลายกระดูกซี่โครง ลำตัวสูงกว่าหลังคาพระวิหารไปนิดเดียว
ข้าพเจ้าจึงไม่รบกวนท่านแล้ว และนั่งสมาธิสักครู่ จากนั้นกล่าวแผ่เมตตาไป ได้ยินเสียงเหมือนลมพัดพาใบไม้ปลิวเป็นทาง ทิศทางลมออกไปทางหน้าวัด (ฟังจากเสียงใบไม้ที่ดังต่อเนื่อง)และสงบไป
วิเคราะห์สถานการณ์
การบวชพระใหม่ ถือว่าบุรุษนั้นมีอานสงค์แห่งบุญมาก ประกอบด้วยต้องปฏิบัติกิจ ของสงฆ์อย่างเคร่งครัดจนบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติแบบนั้นครบทั้ง 7 วัน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้าพเจ้าขอ อธิบายตามความเชื่อของข้าพเจ้าดังนี้
1.ลูกหินที่ถูกยิง หรือ โยนมานั้น เป็นการแสดงเจตจำนงว่า ข้ารู้แล้ว ข้ารับทราบแล้ว ข้าน้อมถวายความเคารพแด่ท่านผู้แสวงหาบุญในครั้งนี้ และข้าพเจ้าได้ตอบรับท่านแล้วด้วยบุญแห่งข้าพเจ้าแล้ว
2.เงาที่ข้าพเจ้าได้เห็น อาจกล่าวได้ว่า เป็นเปรตประเภทหนึ่ง ที่หิวโหยหาส่วนบุญเศษกุศล โดยจำแลงกายมาให้ข้าพเจ้าได้รับรู้ด้วยตาเนื้อได้ และข้าพเจ้าได้ตอบรับท่านแล้วด้วยบุญแห่งข้าพเจ้าแล้ว
ข้อคิด
พระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ที่พึงปฏิบัติ ตามวัตรของสงฆ์ อย่างเคร่งครัดจนบริสุทธิ์แล้ว ท่านย่อมสามารถแผ่บุญกุศลนั้นให้ไพศาล ช่วยทุกข์เวทนาได้หลากหลายภพภูมิ ขอให้ท่านจงปฏิบัติที่สุดแห่งทุกข์ อยู่ในพรหมจรรย์ที่งดงาม แต่หากคิดผิดศีล มิได้ตามวัตรนั้นแล้ว ด้วยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ท่านเองก็ไม่ได้มีบุญกุศลใด ไม่สามารถแผ่บุญกุศล หรือ ช่วยสัตว์ในโลกนี้ได้เลย
เศษฝุ่นสีเงิน
เรื่องจริง สู่ เรื่องเล่า 7
จาก
นามปากกา “เศษฝุ่นสีเงิน”
เสนอ
วิญญาณ ติด กรรม
ตอน โอ่งน้ำที่ลานวัด
เมื่อข้าพเจ้าจบการศึกษา และรอเข้าทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ (ปกติพยาบาลที่จบการศึกษาแล้ว จะมีงานรองรับทันที) ช่วงเวลานั้นข้าพเจ้ามีความรู้สึกในใจออกมาอย่างถ้วนทั่วว่า อยากตั้งใจบวชให้กับพ่อและแม่ ที่เลี้ยงดูข้าพเจ้าจนเติบใหญ่ และส่งเสียให้ข้าพเจ้าเรียนจนจบ มีการงานที่มั่นคง อยากให้ท่านได้อานิสงค์ แห่งบุญนี้ซึ่งข้าพเจ้าเอง ยังตอบแทนบุญคุณท่านได้ไม่หมดไม่สิ้น จึงได้ปรึกษาพ่อกับแม่เรื่องนี้ และพ่อกับแม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
งานบวชข้าพเจ้าจัดได้เต็มรูปแบบ ตามพิธีบวชของหมู่บ้าน แต่ใช้เวลาบวชแค่ 7 วันเนื่องจากข้าพเจ้าเอง ต้องมีธุระทางโลก คือ กลับไปทำงาน ชดใช้พ่อแม่เลี้ยงดูท่าน วันแรกของการบวชคือตอนเช้า ต้องไปโกนผมที่วัด ซึ่งบุคคลที่มาปลงผมประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่สาว พี่เขย ญาติ และ คนแก่คนเฒ่าแถวบ้าน พิธีเป็นไปโดยเรียบง่าย ไม่มีพิธีเอิกเหริกใด พอปลงผมเสร็จ ก็บวชเป็นพระนาคก่อน
จากนั้นเดินทางไปที่บ้าน พ่อและแม่ต้องเตรียม น้ำขมิ้นส้มป่อย (เป็นน้ำศักดิ์สิทธิที่ทางภาคเหนือ ใช้ สำหรับประกอบพิธีกรรม) มารอหน้าประตูเข้าบ้าน เพื่อล้างเท้าให้ข้าพเจ้า กราบและ เชิญข้าพเจ้าเข้าบ้านในฐานะ บุคคลที่ต้องสืบทอดพระศาสนา สืบต่อจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่บุตรของท่านอีกต่อไป จากนั้นทางญาติผู้ใหญ่ เตรียม ข้าวเหนียวนึ่ง กล้วย ไข่ต้ม ดอกไม้ ข้าวตอก ใส่ขันเงินขันทองใส่พานวางสดสวย น่างดงาม มาขอข้าพเจ้าไปเลี้ยงดูในฐานะ พระนาค พ่อและแม่รับของเหล่านั้น แล้วให้ข้าพเจ้าไปอยู่ที่บ้านญาติ
ข้าพเจ้าเดินทางไปที่บ้านญาติ โดยมีผู้ทรงศีลแต่งกายขาว ถือเครื่องใช้ส่วนตัวของข้าพเจ้านำหน้าเดินไป เครื่องใช่ส่วนตัวพระนาค ประกอบด้วย หมากพลู คนโทใส่น้ำสะอาด หอยเบี้ย ธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้หอม เวลาเดินไปไหน ต้องมีผู้ทรงศีลแต่งกายขาว ถือเดินนำหน้าทุกครั้งไป
การแต่งตัวของพระนาค คือ ใส่โสร่ง คล้ายชาวพม่า สีสันสวนสดงดงาม คาดเข็มขัดเงินฉลุลายวิจิตร เสื้อใส่อังสะลูกไม้สีขาวติดดิ้นทอง ใส่เครื่องประดับมากมายหลายอย่าง
วันนี้ทั้งวันข้าพเจ้าต้องเดินเท้าเปล่า ไปบ้านแต่ละหลังในหมู่บ้าน เพื่อให้พรญาติโยมทั้งหลาย มีความเชื่อว่า หากพระนาคได้ขึ้นไปบนบ้านหลังใด จะเกิดความร่มเย็นเจริญรุ่งเรือง และ ตอนเย็นกลับมาพักผ่อน
ตอนเช้ามืดข้าพเจ้าต้องเตรียมตัวไปวัด เพื่อประกอบพิธีการบวช จากพระนาคเป็น เณร และ พระสงฆ์ต่อไป
หลังจากบวชเสร็จ ข้าพเจ้าก็เข้าสู่ ร่มกาสวพัสตร์ และทิ้งเครื่องพระนาค มาถือ เครื่องอัฐบริขาร และ ประพฤติเรียบง่าย ตามวัตรของสงฆ์ อย่างเคร่งครัด
คืนแรกที่ข้าพเจ้าบวช ต้องนอนในพระวิหาร ที่มีพระประธานของวัดตั้งอยู่ เป็นเวลา 3 วัน และไม่มีการปิดหน้าต่างประตู ให้เปิดไว้ทั้งคืน ตอนนั้นข้าพเจ้าได้นอนแล้ว และใกล้เวลาตื่นมานั่งสมาธิ ทำวัตรเช้าตอน ตี 4 ข้าพเจ้ากำลังลืมตาจะลุกขึ้น
ฟิ้ววววววววววววววว พลั๊ว
เสียงก้อนหินก้อนประมาณหัวแม่มือ ถูกโยน หรือ ถูกยิงมาจากนอกพระวิหาร และตรงมาตก เฉียดหัวข้าพเจ้าไปนิดเดียว ตอนนี้เวลาตี 4 น่าจะไม่มีใครมายิงหินเล่น ข้าพเจ้าแปลกใจอย่างมาก แต่ไม่ได้ถามหรือเสาะหาที่มา เพราะข้าพเจ้าต้องเตรียมเข้าสมาธิ และ ทำวัตรแล้ว
เมื่อทำวัตรจบ ข้าพเจ้า เดินออกไปนอกรั้ววัดเพื่อ กรวดน้ำ ข้าพเจ้าคิดในใจว่า หากข้าพเจ้ากรวดน้ำในวัด อาจโปรดและแผ่บุญไปยัง ภพภูมิที่ลึกล่างต่ำไปไม่ได้ไม่ถึง จึงออกมานอกเขตพัทธสีมา เพื่อกรวดน้ำ ตั้งใจอธิษฐาน ให้ท่านทั้งหลายทุก ๆ ภพภูมิได้รับผลบุญกุศลนี้
ผ่านเวลาไป วันนี้วันที่ 4 ของการบวช ข้าพเจ้าต้องมานอนที่กุฏิ หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าเดินจงกรม สวดมนต์ ทำสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะต่างๆ จนล่วงเลยมาถึงประมาณ ตี 1 ข้าพเจ้าก็ต้องพักผ่อนได้แล้ว เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
ขณะที่กำลังจะนอนอยู่นั้น ได้ยินเสียง แผลบ แผลบ แผลบ เสียงเหมือนสัตว์ สุนัข หรือ แมว มาเลียน้ำที่โอ่งน้ำ ลานล้างบาตร ซึ่งอยู่ติดกับกุฏิที่ข้าพเจ้าพักอยู่ ด้วยที่ยังไม่นอนและเกิดความสงสัย จึงได้เปิดผ้าที่กั้นหน้าต่างมองดูว่าคืออะไร
มองดูเห็นความมืด และมีเงาอะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่าเป็นสัตว์ หรือคน หรือสิ่งใด แลบลิ้นเลียกินน้ำอยู่ที่โอ่งจริง ๆ รูปร่างลักษณะหน้าไม่ชัด แต่ลิ้นแบนกว้างและยาวมาก ที่น่าตกใจคือ ขาและแขนยาวสูงใหญ่ เท้าและมือแบนใหญ่เท่าฝาโอ่ง ข้าพเจ้าพยายามมองให้เห็นลำตัว จึงมองตามแขนและขา ที่ทำท่าเหมือนนั่งขุกเข่า เอามือวางราบกับพื้น ยิ่งมองตามแขนขาก็ยิ่งไม่สิ้นสุดสูงใหญ่มาก อ้อ เห็นแล้ว ลำตัวเหมือนมนุษย์เรานี่เอง ไม่ใส่เสื้อผ้าผอมจนเห็นลายกระดูกซี่โครง ลำตัวสูงกว่าหลังคาพระวิหารไปนิดเดียว
ข้าพเจ้าจึงไม่รบกวนท่านแล้ว และนั่งสมาธิสักครู่ จากนั้นกล่าวแผ่เมตตาไป ได้ยินเสียงเหมือนลมพัดพาใบไม้ปลิวเป็นทาง ทิศทางลมออกไปทางหน้าวัด (ฟังจากเสียงใบไม้ที่ดังต่อเนื่อง)และสงบไป
วิเคราะห์สถานการณ์
การบวชพระใหม่ ถือว่าบุรุษนั้นมีอานสงค์แห่งบุญมาก ประกอบด้วยต้องปฏิบัติกิจ ของสงฆ์อย่างเคร่งครัดจนบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติแบบนั้นครบทั้ง 7 วัน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้าพเจ้าขอ อธิบายตามความเชื่อของข้าพเจ้าดังนี้
1.ลูกหินที่ถูกยิง หรือ โยนมานั้น เป็นการแสดงเจตจำนงว่า ข้ารู้แล้ว ข้ารับทราบแล้ว ข้าน้อมถวายความเคารพแด่ท่านผู้แสวงหาบุญในครั้งนี้ และข้าพเจ้าได้ตอบรับท่านแล้วด้วยบุญแห่งข้าพเจ้าแล้ว
2.เงาที่ข้าพเจ้าได้เห็น อาจกล่าวได้ว่า เป็นเปรตประเภทหนึ่ง ที่หิวโหยหาส่วนบุญเศษกุศล โดยจำแลงกายมาให้ข้าพเจ้าได้รับรู้ด้วยตาเนื้อได้ และข้าพเจ้าได้ตอบรับท่านแล้วด้วยบุญแห่งข้าพเจ้าแล้ว
ข้อคิด
พระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ที่พึงปฏิบัติ ตามวัตรของสงฆ์ อย่างเคร่งครัดจนบริสุทธิ์แล้ว ท่านย่อมสามารถแผ่บุญกุศลนั้นให้ไพศาล ช่วยทุกข์เวทนาได้หลากหลายภพภูมิ ขอให้ท่านจงปฏิบัติที่สุดแห่งทุกข์ อยู่ในพรหมจรรย์ที่งดงาม แต่หากคิดผิดศีล มิได้ตามวัตรนั้นแล้ว ด้วยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ท่านเองก็ไม่ได้มีบุญกุศลใด ไม่สามารถแผ่บุญกุศล หรือ ช่วยสัตว์ในโลกนี้ได้เลย