นับเป็นเรื่องที่ย้อนแย้ง (Paradox) เหลือเกินที่ประเทศไทยที่มีประวัติศาสตร์ของความเป็น
เอกราชและประเพณีวัฒนธรรมอันสูงส่งยาวนาน กลับเป็นประเทศเดียวกันกับที่เลื่องลือไปทั่วโลก
เกี่ยวกับความเรื้อรังในการทุจริตคอร์รัปชั่น ถึงขนาดได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศชั้นนำของโลก
ด้านการโกงกินบ้านเมือง ซึ่งดูยังไง ก็ไปกันไม่ได้เลยกับประเทศที่เต็มไปด้วยวัดวาอาราม สุเหร่า
โบสถ์ ศาลพระภูมิ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และศาสนสถานโบราณ
คนไทยมากมายก็ต่างสงสัยเช่นกันว่า มันเป็นไปได้อย่างไร เพราะโครงสร้างการบริหารปกครองของ
ไทยเรา ต่างมีองค์กรตรวจสอบมากมาย อาทิ สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง สำนักงานตรวจเงิน
แผ่นดิน(สตง.) สำนักงานปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ(ป.ป.ช.) ล่าสุดยังตั้งศาลทุจริตคอร์รัปชั่นขึ้นมาด้วย ยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทย
ไม่สามารถแก้ปัญหาต้นทาง โดยระงับการทุจริตที่วิวัฒนาการไปในระดับวัฒนธรรมได้แล้ว เลยต้อง
พยายามให้เหตุนั้นยุติที่ศาลยุติธรรมแต่เพียงเท่านั้น (ทั้งๆ ที่รู้กันว่า กระบวนการยุติธรรมของเรานั้น
ล่าช้า จนไม่มีคนชั่วที่มีอิทธิพลคนไหนเกรงกลัวอีกแล้ว)
นอกจากนั้น ที่ผ่านมา รัฐสภาไทยได้ออกกฎหมายอีกหลายฉบับ ไม่ว่า กฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง
ภาครัฐ,
กฎหมายว่าด้วยการเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร,กฎหมายว่าด้วยการบริการภาครัฐ, กฎหมายว่าด้วยการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์,กฎหมายว่าด้วยการเปิดเผยทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง,
กฎหมายว่าด้วยการปราบปรามการฟอกเงิน,กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น,
กฎหมายว่าด้วยการติดตามทรัพย์สินในต่างแดนซึ่งเป็นเรื่องในประเทศล้อไปกับระดับนานาชาติ ที่ไทยได้ตกลง
เป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการฟอกเงิน ปราบปรามการทุจริต และการค้ามนุษย์ ซึ่งแสดงให้เห็น
ว่าประเทศเรามีเครื่องมือกลไกต่างๆ ที่ใช้ในการสู้กับการโกงกิน ได้แก่ องค์กรและตัวบทกฎหมายต่างๆ
และมีพันธกรณีระหว่างประเทศ
แต่แล้ว เหตุใดที่ทำให้ไทย ประเทศแห่งวัฒนธรรมอันสูงส่ง ยังจมอยู่ในโคลนตมแห่งคอร์รัปชั่น ยังจมปลักอยู่
กับความชั่วร้ายโสมมของการลักลอบเอาประโยชน์ โกงกินบ้านเมืองอีกเล่า?
ถ้าจะตอบว่า ไทยเราขาดกฎหมาย หรือขาดองค์กรปฏิบัติการ ก็คงไม่ได้ เนื่องจากมีมากกว่าอีกหลายๆ ประเทศ
เสียด้วยซ้ำ แล้วอะไรเล่าที่ทำให้การโกงกินเติบโตเป็นหลักปฏิบัติทั่วไปในสังคมไทย?
สาเหตุที่แท้จริง เป็นเพราะคนไทยต่างหาก เพราะคนไทยไม่กล้าพอที่จะออกมาทัดทานเมื่อเห็นการคอร์รัปชั่น แม้แต่ใน
ระดับเล็กๆ ใกล้ตัว โดยมักมองว่า“ธุระไม่ใช่” จากเรื่องเล็กๆ เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ๆ บวกกับกระบวนการยุติธรรม
ที่ล่าช้า ขาดประสิทธิภาพในการลงโทษคนทำผิด เลยทำให้คนโกงกินทั้งหลายเกิดความกล้าและความหน้าด้าน ไม่เกรง
กลัวบาปในการทำความชั่วร้ายไม่ลดละ เมื่อคนใหญ่โต เด่นดัง ทำชั่วเป็นตัวอย่าง แล้วยังลอยหน้าลอยตาได้ในสังคม
คนทั่วไปก็เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ขยายตัวจนกลายเป็นสถานการณ์ความชั่วครองเมืองทุกระดับ คืบคลานไปควบคุม
ทุกวงการ
ฉะนั้น หากคิดจะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศไทยให้ได้แล้ว ก็ต้องเริ่มกันที่สนับสนุนให้คนดีนั้นมีความกล้า
และมีความเข้มแข็ง
จะสร้างความกล้าหาญก็ต้องให้ประชาชนพลเมืองมีจิตสำนึกยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม พร้อมจะเสียสละ
เลิกคิดว่าบ้านเมืองมิใช่ธุระของตน ซึ่งเป็นเรื่องการฝึกอบรมบ่มเพาะตั้งแต่วัยเยาว์ ตั้งแต่ในบ้าน ในโรงเรียน
ในชุมชน ในสังคม โดยทั้งภาครัฐและวงการศาสนาต้องร่วมมืออย่างจริงจัง
คนดีจะเข้มแข็งได้ นอกจากทางจิตใจแล้ว ยังต้องมีองค์ความรู้ และจะมีองค์ความรู้ได้ ก็ต้องเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ภาครัฐ
ต้องเปิดเผยข้อมูล ภาคเอกชนที่มาประมูลงานภาครัฐ ก็ต้องเปิดเผยข้อมูลด้วย การเปิดเผยข้อมูลโดยเฉพาะภาครัฐนี่แหละ
จะเป็นหัวใจสำคัญของการปราบคนไม่ดี เพราะเมื่อประชาชนพลเมืองรู้เห็นความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อจัดข้าง
ภาครัฐ ก็สามารถดำเนินการติดตามตรวจสอบได้ทันที
ในขณะเดียวกัน การใช้จ่ายงบประมาณในเรื่องสำคัญที่ใช้งบประมาณมาก(ทั้งงบประจำและงบกู้) ก็มิควรตัดสินด้วยมติ
คณะรัฐมนตรีหรือเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา แต่ควรให้ประชาชนในจังหวัดที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วประเทศ ร่วมตัดสิน
ใจด้วยการลงประชามติด้วย
อีกเรื่องที่มักจะไม่มีใครพูดถึง คือรายได้แฝงของข้าราชการ เช่น ค่าเบี้ยประชุม ค่าคอมมิชชั่น/ค่านายหน้า เงินประจำ
ตำแหน่ง โบนัส รางวัลนำจับ ต่างดำเนินการจนเป็นธรรมเนียมของการบริหารราชการไทยไปแล้ว ทั้งๆที่ตามหลักสากล
แล้ว จัดเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นแบบหนึ่ง ด้วยเหตุว่าเมื่อเจ้าหน้าที่มีเงินเดือนประจำเพื่อทำหน้าที่ตนเองแล้ว เหตุใดจึง
ต้องมีเบี้ยประชุมหรือรางวัลนำจับ เป็นรายได้เพิ่มเติมอีก เพราะที่ผ่านมามักบอกกันว่า ข้าราชการเงินเดือนน้อย จะ
เอาประสิทธิภาพการทำงานอะไรนักหนา โดยมิพึงกล่าวว่าข้าราชการนั้นได้รับสวัสดิการอื่นๆตอบแทนมากกว่าเอกชน
ไปแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ พอเอาเงินเดือนที่ว่าน้อยไปรวมกับเบี้ยประชุม รางวัลนำจับต่างๆ กลายเป็นมีมูลค่ารวมมากกว่า
เอกชนด้วยซ้ำ ดังนั้นเพื่อให้โปร่งใส สังคมไทยก็ควรยกเลิกเรื่องเหล่านี้ และนำเงินเหล่านี้ไปสมทบเงินเดือนและสวัสดิ
การให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ จะได้มีข้าราชการที่มีศักดิ์ศรี สามารถรับใช้ประเทศชาติได้สมกับรายได้เสียที
ในสังคมใดๆก็ตาม การก้าวหน้าของประเทศชาติขึ้นอยู่กับผู้นำซึ่งแบ่งคร่าวๆได้ 2 ส่วน คือ
- ระดับการเมือง
- ระดับข้าราชการอาวุโส โดยเฉพาะระดับซี 11 ต่างๆ
เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นระดับใหญ่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการตั้งเรื่องจากข้าราชการประจำระดับสูงซึ่งเป็นตัวเชื่อม
ต่อระหว่างระบบราชการและนักการเมือง โดยเฉพาะระดับซี 11 ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะอำนวยให้การทุจริตเกิดขึ้นใน
ระดับเหนือ(ฝ่ายการเมือง) และในระดับใต้ (ข้าราชการใต้บังคับบัญชา)ได้หรือไม่ ฉะนั้น หากจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องการ
ทุจริตคอร์รัปชั่น ก็ต้องเล็งกันไปที่ระดับซี 11 หรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดของระดับข้าราชการประจำก่อน
ท้ายที่สุด เมื่อภาคประชาชนมีความกล้าและมีความเข้มแข็ง ภาคข้าราชการได้รับการปรับปรุงคุณภาพชีวิต องค์ประกอบ
สุดท้ายก็คือ ภาคสื่อมวลชน ที่จะต้องทำหน้าที่อย่างซื่อตรงและเคร่งครัด ไม่โอนอ่อนต่อเงินอามิสสินจ้าง ค่าสปอนเซอร์
โฆษณาต่างๆ
สังคมไทยเมื่อเห็นรากเหง้าของปัญหาเหล่านี้แล้ว ก็สามารถลงมือปฏิบัติแก้ไขได้ก็ขึ้นอยู่กับผู้นำเป็นสำคัญ ที่จะเอาจริงเอาจัง
กับเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย และเร่งรีบเปิดเผยข้อมูลให้มากที่สุด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เริ่มก้าวออกจากสังคมทุจริตคอร์รัปชั่น ... กษิต ภิรมย์ ...แนวหน้าออนไลน์ ../sao..เหลือ..noi
เอกราชและประเพณีวัฒนธรรมอันสูงส่งยาวนาน กลับเป็นประเทศเดียวกันกับที่เลื่องลือไปทั่วโลก
เกี่ยวกับความเรื้อรังในการทุจริตคอร์รัปชั่น ถึงขนาดได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศชั้นนำของโลก
ด้านการโกงกินบ้านเมือง ซึ่งดูยังไง ก็ไปกันไม่ได้เลยกับประเทศที่เต็มไปด้วยวัดวาอาราม สุเหร่า
โบสถ์ ศาลพระภูมิ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และศาสนสถานโบราณ
คนไทยมากมายก็ต่างสงสัยเช่นกันว่า มันเป็นไปได้อย่างไร เพราะโครงสร้างการบริหารปกครองของ
ไทยเรา ต่างมีองค์กรตรวจสอบมากมาย อาทิ สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง สำนักงานตรวจเงิน
แผ่นดิน(สตง.) สำนักงานปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ(ป.ป.ช.) ล่าสุดยังตั้งศาลทุจริตคอร์รัปชั่นขึ้นมาด้วย ยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทย
ไม่สามารถแก้ปัญหาต้นทาง โดยระงับการทุจริตที่วิวัฒนาการไปในระดับวัฒนธรรมได้แล้ว เลยต้อง
พยายามให้เหตุนั้นยุติที่ศาลยุติธรรมแต่เพียงเท่านั้น (ทั้งๆ ที่รู้กันว่า กระบวนการยุติธรรมของเรานั้น
ล่าช้า จนไม่มีคนชั่วที่มีอิทธิพลคนไหนเกรงกลัวอีกแล้ว)
นอกจากนั้น ที่ผ่านมา รัฐสภาไทยได้ออกกฎหมายอีกหลายฉบับ ไม่ว่า กฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง
ภาครัฐ,
กฎหมายว่าด้วยการเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร,กฎหมายว่าด้วยการบริการภาครัฐ, กฎหมายว่าด้วยการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์,กฎหมายว่าด้วยการเปิดเผยทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง,
กฎหมายว่าด้วยการปราบปรามการฟอกเงิน,กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น,
กฎหมายว่าด้วยการติดตามทรัพย์สินในต่างแดนซึ่งเป็นเรื่องในประเทศล้อไปกับระดับนานาชาติ ที่ไทยได้ตกลง
เป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการฟอกเงิน ปราบปรามการทุจริต และการค้ามนุษย์ ซึ่งแสดงให้เห็น
ว่าประเทศเรามีเครื่องมือกลไกต่างๆ ที่ใช้ในการสู้กับการโกงกิน ได้แก่ องค์กรและตัวบทกฎหมายต่างๆ
และมีพันธกรณีระหว่างประเทศ
แต่แล้ว เหตุใดที่ทำให้ไทย ประเทศแห่งวัฒนธรรมอันสูงส่ง ยังจมอยู่ในโคลนตมแห่งคอร์รัปชั่น ยังจมปลักอยู่
กับความชั่วร้ายโสมมของการลักลอบเอาประโยชน์ โกงกินบ้านเมืองอีกเล่า?
ถ้าจะตอบว่า ไทยเราขาดกฎหมาย หรือขาดองค์กรปฏิบัติการ ก็คงไม่ได้ เนื่องจากมีมากกว่าอีกหลายๆ ประเทศ
เสียด้วยซ้ำ แล้วอะไรเล่าที่ทำให้การโกงกินเติบโตเป็นหลักปฏิบัติทั่วไปในสังคมไทย?
สาเหตุที่แท้จริง เป็นเพราะคนไทยต่างหาก เพราะคนไทยไม่กล้าพอที่จะออกมาทัดทานเมื่อเห็นการคอร์รัปชั่น แม้แต่ใน
ระดับเล็กๆ ใกล้ตัว โดยมักมองว่า“ธุระไม่ใช่” จากเรื่องเล็กๆ เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ๆ บวกกับกระบวนการยุติธรรม
ที่ล่าช้า ขาดประสิทธิภาพในการลงโทษคนทำผิด เลยทำให้คนโกงกินทั้งหลายเกิดความกล้าและความหน้าด้าน ไม่เกรง
กลัวบาปในการทำความชั่วร้ายไม่ลดละ เมื่อคนใหญ่โต เด่นดัง ทำชั่วเป็นตัวอย่าง แล้วยังลอยหน้าลอยตาได้ในสังคม
คนทั่วไปก็เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ขยายตัวจนกลายเป็นสถานการณ์ความชั่วครองเมืองทุกระดับ คืบคลานไปควบคุม
ทุกวงการ
ฉะนั้น หากคิดจะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศไทยให้ได้แล้ว ก็ต้องเริ่มกันที่สนับสนุนให้คนดีนั้นมีความกล้า
และมีความเข้มแข็ง
จะสร้างความกล้าหาญก็ต้องให้ประชาชนพลเมืองมีจิตสำนึกยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม พร้อมจะเสียสละ
เลิกคิดว่าบ้านเมืองมิใช่ธุระของตน ซึ่งเป็นเรื่องการฝึกอบรมบ่มเพาะตั้งแต่วัยเยาว์ ตั้งแต่ในบ้าน ในโรงเรียน
ในชุมชน ในสังคม โดยทั้งภาครัฐและวงการศาสนาต้องร่วมมืออย่างจริงจัง
คนดีจะเข้มแข็งได้ นอกจากทางจิตใจแล้ว ยังต้องมีองค์ความรู้ และจะมีองค์ความรู้ได้ ก็ต้องเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ภาครัฐ
ต้องเปิดเผยข้อมูล ภาคเอกชนที่มาประมูลงานภาครัฐ ก็ต้องเปิดเผยข้อมูลด้วย การเปิดเผยข้อมูลโดยเฉพาะภาครัฐนี่แหละ
จะเป็นหัวใจสำคัญของการปราบคนไม่ดี เพราะเมื่อประชาชนพลเมืองรู้เห็นความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อจัดข้าง
ภาครัฐ ก็สามารถดำเนินการติดตามตรวจสอบได้ทันที
ในขณะเดียวกัน การใช้จ่ายงบประมาณในเรื่องสำคัญที่ใช้งบประมาณมาก(ทั้งงบประจำและงบกู้) ก็มิควรตัดสินด้วยมติ
คณะรัฐมนตรีหรือเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา แต่ควรให้ประชาชนในจังหวัดที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วประเทศ ร่วมตัดสิน
ใจด้วยการลงประชามติด้วย
อีกเรื่องที่มักจะไม่มีใครพูดถึง คือรายได้แฝงของข้าราชการ เช่น ค่าเบี้ยประชุม ค่าคอมมิชชั่น/ค่านายหน้า เงินประจำ
ตำแหน่ง โบนัส รางวัลนำจับ ต่างดำเนินการจนเป็นธรรมเนียมของการบริหารราชการไทยไปแล้ว ทั้งๆที่ตามหลักสากล
แล้ว จัดเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นแบบหนึ่ง ด้วยเหตุว่าเมื่อเจ้าหน้าที่มีเงินเดือนประจำเพื่อทำหน้าที่ตนเองแล้ว เหตุใดจึง
ต้องมีเบี้ยประชุมหรือรางวัลนำจับ เป็นรายได้เพิ่มเติมอีก เพราะที่ผ่านมามักบอกกันว่า ข้าราชการเงินเดือนน้อย จะ
เอาประสิทธิภาพการทำงานอะไรนักหนา โดยมิพึงกล่าวว่าข้าราชการนั้นได้รับสวัสดิการอื่นๆตอบแทนมากกว่าเอกชน
ไปแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ พอเอาเงินเดือนที่ว่าน้อยไปรวมกับเบี้ยประชุม รางวัลนำจับต่างๆ กลายเป็นมีมูลค่ารวมมากกว่า
เอกชนด้วยซ้ำ ดังนั้นเพื่อให้โปร่งใส สังคมไทยก็ควรยกเลิกเรื่องเหล่านี้ และนำเงินเหล่านี้ไปสมทบเงินเดือนและสวัสดิ
การให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ จะได้มีข้าราชการที่มีศักดิ์ศรี สามารถรับใช้ประเทศชาติได้สมกับรายได้เสียที
ในสังคมใดๆก็ตาม การก้าวหน้าของประเทศชาติขึ้นอยู่กับผู้นำซึ่งแบ่งคร่าวๆได้ 2 ส่วน คือ
- ระดับการเมือง
- ระดับข้าราชการอาวุโส โดยเฉพาะระดับซี 11 ต่างๆ
เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นระดับใหญ่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการตั้งเรื่องจากข้าราชการประจำระดับสูงซึ่งเป็นตัวเชื่อม
ต่อระหว่างระบบราชการและนักการเมือง โดยเฉพาะระดับซี 11 ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะอำนวยให้การทุจริตเกิดขึ้นใน
ระดับเหนือ(ฝ่ายการเมือง) และในระดับใต้ (ข้าราชการใต้บังคับบัญชา)ได้หรือไม่ ฉะนั้น หากจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องการ
ทุจริตคอร์รัปชั่น ก็ต้องเล็งกันไปที่ระดับซี 11 หรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดของระดับข้าราชการประจำก่อน
ท้ายที่สุด เมื่อภาคประชาชนมีความกล้าและมีความเข้มแข็ง ภาคข้าราชการได้รับการปรับปรุงคุณภาพชีวิต องค์ประกอบ
สุดท้ายก็คือ ภาคสื่อมวลชน ที่จะต้องทำหน้าที่อย่างซื่อตรงและเคร่งครัด ไม่โอนอ่อนต่อเงินอามิสสินจ้าง ค่าสปอนเซอร์
โฆษณาต่างๆ
สังคมไทยเมื่อเห็นรากเหง้าของปัญหาเหล่านี้แล้ว ก็สามารถลงมือปฏิบัติแก้ไขได้ก็ขึ้นอยู่กับผู้นำเป็นสำคัญ ที่จะเอาจริงเอาจัง
กับเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย และเร่งรีบเปิดเผยข้อมูลให้มากที่สุด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com