ปกติจะไม่ใช่คนเขียนอะไรเกี่ยวกับหนังที่ดู
เพราะชอบที่จะเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว และไม่อยากตีกรอบความคิดของคนอื่นด้วยงานเขียนของตัวเอง
แต่เรื่องนี้กลับคิดว่า ยังไงก็ต้องเขียน เพราะมันคงไม่มีผลต่อความคิดของคนอื่นแน่ๆ 555+
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ข้างบนคือเหตุผลสร้างภาพ จริงๆคือขี้เกียจ
หนังเล่าเรื่องด้วยพล็อตง่ายๆ เพียงแค่การกลับมาของสมาชิกครอบครัวคนหนึ่ง ที่หนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตของตัวเองและประสบความสำเร็จในชีวิตถึง 12 ปี
โดยที่ 12 ปีที่ผ่าน เขาแทบไม่ได้ติดต่อสมาชิกที่เหลือหรือกลับมาเยี่ยมบ้านเลย นอกจากไปรษณียบัตรที่ส่งมาให้เนื่องในโอกาสพิเศษของคนในบ้านเอง
โดยจุดประสงค์หลักของการกลับมา เพียงแค่ต้องการบอก"ข่าวร้าย"ของตัวเอง ให้คนในบ้านรับรู้เท่านั้น
ทั้งเรื่องมีแค่นี้จริงๆ
จริงๆหนังหลายๆเรื่องที่เล่าเรื่องการ"รวมญาติ"เรื่องอื่นๆ มักจะเริ่มต้นที่การรวมตัวของครอบครัวที่ดูเหมือนปกติสุข แล้วดำเนินเรื่องไปพร้อมกับคายความลับของตัวละคร ที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังของสมาชิกจนถึงจุดระเบิดท้ายเรื่อง
ถึงแม้ทุกคนจะมีความไม่สมประกอบ แต่ก็ยังได้ความเป็น Cinematic (การตัดต่อ มุมภาพ การเล่าเรื่อง)ช่วยดึงคนดูไว้จนจบเรื่อง
แต่เรื่องนี้กลับกัน
หนังแสดงถึงความอึดอัดของตัวละครเอกที่ต้องเผชิญอยู่ตลอดเรื่อง จนแทบจะลุกหนีออกจากโรงให้รู้แล้วรู้รอดไปให้พ้นๆเสียที
(ซึ่งหนังก็ทำได้สำเร็จ เพราะในระหว่างที่ดู ก็มีคนลุกเดินหนีออกไปได้หลายคน)
ตัวละครทุกตัวในบ้าน เต็มไปด้วยความผิดที่ผิดทางกันไปหมด
- แม่ ผู้พร่ำเพ้อขี้บ่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ตลอดเวลา
- พี่ชาย ที่ขี้โวยวาย คอยขัดจังหวะคนอื่น ไม่ว่าใครจะพูดอะไร จะคอยแต่ประชด-ดัน พร้อมทั้งน้ำเสียง-สีหน้า ที่เราอยากจะเอาตีนยันหน้าได้ทุกเมื่อ
-พี่สะไภ้ ที่พูดเยอะพยายามหาเรื่องคุยอยู่ตลอดเวลา แต่
ไม่รู้เรื่อง คือพูดไม่รู้เรื่องจริงๆนะ พูดเหมือนคนที่บกพร่องทางการสื่อสาร และการเรียบเรียงประโยค ปกติคนเราจะพูดประโยค ประธาน-กริยา-กรรม เพื่อให้ประโยคสมบูรณ์ แต่คนนี้จะพูดแค่ ประธาน-กริยา แล้วทิ้งไว้อย่างนั้น ให้คนฟังคิดต่อเองว่า "พยายามจะสื่ออะไร(วะ)" (ขอบคุณ น้องที่เป็นฟพท.ฝรั่งเศสคนนึง ที่ช่วยอธิบายเรื่องแกรมม่าภาษาฝรั่งเศสให้ฟัง)
- น้องสาวคนเล็ก สาวช่างฝัน ที่ดูจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับแม่ ดูมีเรื่องขัดแย้งกันอยู่ตลอด แต่เป็นคนที่ดูปกติสุดในบ้านละ
แม้กระทั่งตัวเอก ที่อ้ำๆอึ้งๆ ถามคำ-ตอบคำ ยิง Topic อะไรไปก็พร้อมจะ Dead Air ได้ทุกเมื่อ
คือเมื่อทุกอย่างมารวมกัน มันคือความน่ารำคาญระดับมหากาพย์ ที่ถ้าให้เราเป็นตัวละครเอกในเรื่อง เป็นเราคงอยากจะหนีไปให้พ้นๆ ไม่อยากกลับมาเหมือนกัน
ประกอบกับ การจับภาพ CU หน้าตัวละครที่ดูอึดอัด
การตัดต่อกระโดดไปมา จังหวะเพลง-ดนตรีประกอบที่อยากจะใส่อะไรก็ใส่
ยิ่งช่วยให้เกิด"นรก"สำหรับคนดูมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ทำให้เราเกิดอารมณ์ร่วมไปพร้อมกับตัวเอกแบบสุดๆ
แต่อย่างไรก็ดี ความน่ารำคาญของบทพูดในภาพยนตร์ ก็จะสอดแทรกถึงสาเหตุการกระทำของตัวละครอยู่ตลอดว่า "อะไร-ทำไม-เมื่อไหร่"
ซึ่งคนดู ต้องใช้ความอดทนในการแกะคำพูดเอาเอง เพราะไม่มีประโยคไหนในเรื่อง ที่บอกกันตรงๆเลย
เป็นศูนย์รวมของพวก ปากไม่ตรงกับใจ ขนานแท้
อย่างที่บอก หนังรวมญาติ เรื่องอื่นๆมักจะมีจุดไคลแม๊กซ์ที่"การคายความลับ จนนำไปสู่การเกลียดชัง และยอมรับสภาพในท้ายสุด"
แต่สำหรับเรื่องนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ "การเก็บความลับต่างหาก ที่แสดงถึงความรักของทุกคนในบ้าน"
ปล.หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับทุกคน เป็นหนังที่"เลือกคนดู"
เป็นหนังที่แทบไม่มีพล็อต เน้นสร้างบรรยากาศความทรมานให้คนดูล้วนๆ
ถ้าคุณดูอยู่ในโรงฯ แล้วลุกออกไปกลางเรื่อง คุณไม่ผิดหรอกครับ
เพราะหนังสร้างความทรมานให้คุณประสบความสำเร็จแล้ว
It's Only the End of the World แค่จุดจบของโลกคนดูหนัง
เพราะชอบที่จะเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว และไม่อยากตีกรอบความคิดของคนอื่นด้วยงานเขียนของตัวเอง
แต่เรื่องนี้กลับคิดว่า ยังไงก็ต้องเขียน เพราะมันคงไม่มีผลต่อความคิดของคนอื่นแน่ๆ 555+
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หนังเล่าเรื่องด้วยพล็อตง่ายๆ เพียงแค่การกลับมาของสมาชิกครอบครัวคนหนึ่ง ที่หนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตของตัวเองและประสบความสำเร็จในชีวิตถึง 12 ปี
โดยที่ 12 ปีที่ผ่าน เขาแทบไม่ได้ติดต่อสมาชิกที่เหลือหรือกลับมาเยี่ยมบ้านเลย นอกจากไปรษณียบัตรที่ส่งมาให้เนื่องในโอกาสพิเศษของคนในบ้านเอง
โดยจุดประสงค์หลักของการกลับมา เพียงแค่ต้องการบอก"ข่าวร้าย"ของตัวเอง ให้คนในบ้านรับรู้เท่านั้น
ทั้งเรื่องมีแค่นี้จริงๆ
จริงๆหนังหลายๆเรื่องที่เล่าเรื่องการ"รวมญาติ"เรื่องอื่นๆ มักจะเริ่มต้นที่การรวมตัวของครอบครัวที่ดูเหมือนปกติสุข แล้วดำเนินเรื่องไปพร้อมกับคายความลับของตัวละคร ที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังของสมาชิกจนถึงจุดระเบิดท้ายเรื่อง
ถึงแม้ทุกคนจะมีความไม่สมประกอบ แต่ก็ยังได้ความเป็น Cinematic (การตัดต่อ มุมภาพ การเล่าเรื่อง)ช่วยดึงคนดูไว้จนจบเรื่อง
แต่เรื่องนี้กลับกัน
หนังแสดงถึงความอึดอัดของตัวละครเอกที่ต้องเผชิญอยู่ตลอดเรื่อง จนแทบจะลุกหนีออกจากโรงให้รู้แล้วรู้รอดไปให้พ้นๆเสียที
(ซึ่งหนังก็ทำได้สำเร็จ เพราะในระหว่างที่ดู ก็มีคนลุกเดินหนีออกไปได้หลายคน)
ตัวละครทุกตัวในบ้าน เต็มไปด้วยความผิดที่ผิดทางกันไปหมด
- แม่ ผู้พร่ำเพ้อขี้บ่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ตลอดเวลา
- พี่ชาย ที่ขี้โวยวาย คอยขัดจังหวะคนอื่น ไม่ว่าใครจะพูดอะไร จะคอยแต่ประชด-ดัน พร้อมทั้งน้ำเสียง-สีหน้า ที่เราอยากจะเอาตีนยันหน้าได้ทุกเมื่อ
-พี่สะไภ้ ที่พูดเยอะพยายามหาเรื่องคุยอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้เรื่อง คือพูดไม่รู้เรื่องจริงๆนะ พูดเหมือนคนที่บกพร่องทางการสื่อสาร และการเรียบเรียงประโยค ปกติคนเราจะพูดประโยค ประธาน-กริยา-กรรม เพื่อให้ประโยคสมบูรณ์ แต่คนนี้จะพูดแค่ ประธาน-กริยา แล้วทิ้งไว้อย่างนั้น ให้คนฟังคิดต่อเองว่า "พยายามจะสื่ออะไร(วะ)" (ขอบคุณ น้องที่เป็นฟพท.ฝรั่งเศสคนนึง ที่ช่วยอธิบายเรื่องแกรมม่าภาษาฝรั่งเศสให้ฟัง)
- น้องสาวคนเล็ก สาวช่างฝัน ที่ดูจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับแม่ ดูมีเรื่องขัดแย้งกันอยู่ตลอด แต่เป็นคนที่ดูปกติสุดในบ้านละ
แม้กระทั่งตัวเอก ที่อ้ำๆอึ้งๆ ถามคำ-ตอบคำ ยิง Topic อะไรไปก็พร้อมจะ Dead Air ได้ทุกเมื่อ
คือเมื่อทุกอย่างมารวมกัน มันคือความน่ารำคาญระดับมหากาพย์ ที่ถ้าให้เราเป็นตัวละครเอกในเรื่อง เป็นเราคงอยากจะหนีไปให้พ้นๆ ไม่อยากกลับมาเหมือนกัน
ประกอบกับ การจับภาพ CU หน้าตัวละครที่ดูอึดอัด
การตัดต่อกระโดดไปมา จังหวะเพลง-ดนตรีประกอบที่อยากจะใส่อะไรก็ใส่
ยิ่งช่วยให้เกิด"นรก"สำหรับคนดูมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ทำให้เราเกิดอารมณ์ร่วมไปพร้อมกับตัวเอกแบบสุดๆ
แต่อย่างไรก็ดี ความน่ารำคาญของบทพูดในภาพยนตร์ ก็จะสอดแทรกถึงสาเหตุการกระทำของตัวละครอยู่ตลอดว่า "อะไร-ทำไม-เมื่อไหร่"
ซึ่งคนดู ต้องใช้ความอดทนในการแกะคำพูดเอาเอง เพราะไม่มีประโยคไหนในเรื่อง ที่บอกกันตรงๆเลย
เป็นศูนย์รวมของพวก ปากไม่ตรงกับใจ ขนานแท้
อย่างที่บอก หนังรวมญาติ เรื่องอื่นๆมักจะมีจุดไคลแม๊กซ์ที่"การคายความลับ จนนำไปสู่การเกลียดชัง และยอมรับสภาพในท้ายสุด"
แต่สำหรับเรื่องนี้[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปล.หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับทุกคน เป็นหนังที่"เลือกคนดู"
เป็นหนังที่แทบไม่มีพล็อต เน้นสร้างบรรยากาศความทรมานให้คนดูล้วนๆ
ถ้าคุณดูอยู่ในโรงฯ แล้วลุกออกไปกลางเรื่อง คุณไม่ผิดหรอกครับ
เพราะหนังสร้างความทรมานให้คุณประสบความสำเร็จแล้ว