หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมผม/ฉันถึงโดนผีหลลอกประจำ ? มีทางแก้ไขไหม ?
..........
ไม่มี เพราะเป็นผลที่เกิดขึ้นแล้วตามเหตุปัจจัย แก้ไม่ได้
///เหตุปัจจัยของการโดนผีหลอกได้ง่าย หรือ เจอเหตุการณ์เกี่ยวกับจิตวิญญาณบ่อยๆ///
เหตุหนึ่งเดียวที่สำคัญ คือ คุณไป
ทำสมาธิมาไม่ชาตินี้ก็ชาติก่อนๆ...
การทำสมาธินั้นเป็นเหมือนกับการจูนคลื่นจิตไปในที่ต่างๆ เหมือนการทำคลื่นวิทยุให้แรงแล้วจูนคลื่นวิทยุนั้นไปหาที่รับภายนอก
คลื่นจิตไปจูนถึงภพภูมิไหนก็จะเจอชาวทิพย์ของภพภูมินั้น ขึ้นอยู่กับความชำนาญ ลำดับชาวทิพย์ที่จะเจอก่อน คือ ผีต่างๆ
///ความรู้เกี่ยวกับผี///
ผีเห็นง่ายเพราะภพภูมิของผีนั้นคาบเกี่ยวกับภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน และ มนุษย์
ภพภูมิของผี มีชื่อตามพระไตรปิฎกว่า
เปตวิสัย หรือ
ปิตติวิสัย เป็นทุคติภูมิ เป็นภพภูมิเดียวที่มนุษย์
ทำบุญไปให้ได้ แต่ผีจะได้รับบุญหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวผีอีกที ถ้าผีมีอารมณ์ด้านลบที่สร้างความทุกข์อยู่อย่างรุนแรง
เช่น โกรธ, ริษยา หรือ เสียใจ เป็นต้น ก็จะรับบุญไม่ได้ แม้จะเป็นบุญใหญ่บุญน้อยก็ตาม
หรือ กำลังทรมาณจากวิบากกรรมบาปที่เหลือรอดมาจากการไปนรกมาอยู่ เช่น โดนกงจักรพัดบนหัว, โดนไฟเผา ฯลฯ
ก็รับบุญไม่ได้เช่นกัน เพราะไม่สามารถที่จะคุมสติให้ตั้งมั่นเพื่อรับบุญได้... แล้วบุญไปไหน? ก็ย้อนไปหาเจ้าของที่ทำบุญเอง
///ข้อเสียของการทำสมาธิ///
พวกเรารู้แต่ข้อดีของสมาธิ เพราะเกิดมาก็ได้เห็นและได้ยินแต่คนสรรเสริญคุณของมัน
แต่ไม่เคยรู้ถึงข้อเสียของมันเลย เพราะ
ชาวพุทธสมัยนี้ไม่ได้ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าเท่าที่ควร
ดังที่กล่าวมาข้างต้น การทำสมาธิ คือการจูนคลื่นจิตไปในที่ต่างๆ
จะไปได้ใกล้หรือไกล ขึ้นอยู่ที่ความชำนาญของผู้ปฏิบัติ
จูนไปถึงผี ก็เห็นผี จูนไปถึงเทวดา ก็เห็นเทวดา และชาวทิพย์เหล่านั้นก็จะเห็นเราด้วย เพราะเรากำลังอยู่ในสภาวะทิพย์
ถ้าชาวทิพย์ที่เราจูนไปถึง
เป็นมารหรือเจ้ากรรมนายเวร ก็โชคไม่ดี เพราะพวกเขาจะเข้ามาเล่นงานเราต่างๆ นาๆ
โดยไม่ไม่รีรอ และพวกเขาจะดีใจมากที่เห็นว่าเราผู้เป็นหนี้กรรมมีช่องโหว่นี้ เหมือนเจ้าหนี้ดีใจที่เจอลูกหนี้แล้วทำการทวงฉะนั้น
...การทำสมาธิ เป็นการทำให้จิตละเอียด(อ่อน) ฉะนั้น เจ้ากรรมนายเวรและมารทั้งหลาย จึงเข้าแทรกครอบงำได้ง่าย
เจ้ากรรมนายเวรบางตนมีบุญ สมัยเป็นมนุษย์ทำบุญไว้มาก เกิดมาเป็นเทวดาศักดิ์ใหญ่ มีฤทธิ์ แต่เราเคยเป็นผู้ทำร้ายเขามาก่อนในอดีต
เห็นเราแล้วมีความไม่พอใจ จึงสวมบทเป็นมาร หาเรื่องกลั่นแกล้งเราให้เดือดร้อนต่างๆนาๆ อย่างนี้ก็มี เพราะ
เทวดาก็มี โลภ โกรธ หลง
บางทีเนรมิตให้เราเห็นอะไรที่เราชอบ หรืออวดอ้างว่าเป็นเทพองค์นั้นองค์นี้ หรือลามปามไปเป็นพระพุทธเจ้า มาสอนอะไรเราในทางที่ผิดๆ
บางทีก็มาหลอกหลอนทำให้เราหวาดกลัว รบกวนทำให้ชีวิตของเราไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ และนั่นก็คือสิ่งหลักๆที่พวกเขาต้องการ
บางทีก็มาทำร้ายเอาตรงๆ เข้าสิงเราเป็นร่างทรงให้เราทำในสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาต้องการ บังคับให้เราไปทำเรื่องน่าอาย หรือฆ่าตัวตายก็ได้
หรือถ้ามีฤทธิ์หน่อยก็ฆ่าเราตรงๆ เลย เช่น บีบคอ หักคอ ลากเอาไปลงน้ำหรือเข้าไปในกองไฟ ผลักให้โดนของแหลมเสียบ เป็นต้น
ชื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรแล้ว พวกเขาย่อมไม่มีความปราณีแก่เราเลย เพราะถือว่าเราทำพวกเขาก่อนในอดีต และผู้ที่จะให้อภัยเราได้นั้น ก็หายาก
///วิธีการป้องกัน///
การทำสมาธิจนเจ้ากรรมนายเวรและมารเข้าถึงได้ เป็นผลแก้ไม่ได้ก็จริง แต่พอจะมีวิธีป้องกันได้อยู่
คือ ทำกุศลกรรมเพื่อเติมปัญญากับบุญให้แก่ตัวเองมากๆ เช่น หมั่นฟังธรรม ตักบาตรทุกเช้า ให้ทานต่างๆ
ลดละเลิกอบายมุข เป็นต้น เพราะปัญญากับบุญเป็นเกราะป้องกันทางธรรมอย่างดีสำหรับคนเราทั่วไป
ต้องมีควบคู่กัน จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
ในพระไตรปิฎกหลายๆ สูตร กล่าวอยู่ว่า มนุษย์ที่มีปัญญาและบุญมาก แม้แต่ เทวดา มาร
อินทร์ พรหมณ์ ตั้ง1000ตน ก็ทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นผีก็ย่อมทำอะไรเราที่มีบุญกับปัญญามากๆ ไม่ได้เช่นกัน
กล่าวคือ
... ควรหมั่นศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและเรียนรู้สัจธรรมต่างๆ ทำกุศลกรรมเติมปัญญาและบุญให้กับตัวเองมากๆ
จะทำให้เรามีความสุข ผีและเทวดาทำร้ายไม่ได้ ถึงเวลาตายก็ได้ไปเกิดในสุคติภูมิ หรือถ้ามีปัญญาบรรลุธรรมก็หลุดพ้นได้
... ไม่ควรทำมาธิ หากไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติตามธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจนบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลและออกบวช
เพราะ
การทำสมาธิ เป็นกิจของพระสงฆ์ที่เป็นอริยะบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจนถึงอรหันต์เท่านั้น
เพราะพวกท่านมีปัญญาธรรมเป็นเครื่องป้องกันแล้ว ทำให้สมาธิที่พวกท่านทำเป็นสัมมาสมาธิ จุดประสงค์เพื่อใช้ฌาณหรือความสงบ
เป็นเครื่องพักผ่อนหลังจากการวิปัสนาภาวนา เหมือนคนเราทางโลกทำงานมาหนัก ก็ต้องใช้สิ่งบันเทิงเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
สมาธิ
เป็นเพียงศาสตร์ทางโลกิยะ เป็นปัจจัยชั้นสูงสุดสำหรับพัฒนาการต่างๆ ในทางโลกเท่านั้น
ไม่ใช่ปัจจัยของปัญญาเพื่อการบรรลุธรรมตามที่รู้กันมาแต่อย่างใด ชื่อว่าสิ่งต่างๆ ในทางโลก ย่อมมีทั้งคุณและโทษ
มีทวิลักษณะ หากบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้บรรลุธรรมที่เป็นอริยผลแล้วออกบวช ไปฝึกสมาธิเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ ก็จะเข้าสู่
ความเป็นทิพย์โดยไม่มีปัญญาธรรมประกอบเป็นเครื่องป้องกันตน จึงถูกชาวทิพย์ต่างๆ ที่ไม่หวังดีกับเรา มาปฏิสัมพันธ์
ในด้านลบ หรือทำร้ายเอาได้
อาการขวัญอ่อนโดนผีหลอกง่าย และการทำสมาธิ เกี่ยวข้องกันอย่างไร ?
..........
ไม่มี เพราะเป็นผลที่เกิดขึ้นแล้วตามเหตุปัจจัย แก้ไม่ได้
///เหตุปัจจัยของการโดนผีหลอกได้ง่าย หรือ เจอเหตุการณ์เกี่ยวกับจิตวิญญาณบ่อยๆ///
เหตุหนึ่งเดียวที่สำคัญ คือ คุณไปทำสมาธิมาไม่ชาตินี้ก็ชาติก่อนๆ...
การทำสมาธินั้นเป็นเหมือนกับการจูนคลื่นจิตไปในที่ต่างๆ เหมือนการทำคลื่นวิทยุให้แรงแล้วจูนคลื่นวิทยุนั้นไปหาที่รับภายนอก
คลื่นจิตไปจูนถึงภพภูมิไหนก็จะเจอชาวทิพย์ของภพภูมินั้น ขึ้นอยู่กับความชำนาญ ลำดับชาวทิพย์ที่จะเจอก่อน คือ ผีต่างๆ
///ความรู้เกี่ยวกับผี///
ผีเห็นง่ายเพราะภพภูมิของผีนั้นคาบเกี่ยวกับภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน และ มนุษย์
ภพภูมิของผี มีชื่อตามพระไตรปิฎกว่า เปตวิสัย หรือ ปิตติวิสัย เป็นทุคติภูมิ เป็นภพภูมิเดียวที่มนุษย์
ทำบุญไปให้ได้ แต่ผีจะได้รับบุญหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวผีอีกที ถ้าผีมีอารมณ์ด้านลบที่สร้างความทุกข์อยู่อย่างรุนแรง
เช่น โกรธ, ริษยา หรือ เสียใจ เป็นต้น ก็จะรับบุญไม่ได้ แม้จะเป็นบุญใหญ่บุญน้อยก็ตาม
หรือ กำลังทรมาณจากวิบากกรรมบาปที่เหลือรอดมาจากการไปนรกมาอยู่ เช่น โดนกงจักรพัดบนหัว, โดนไฟเผา ฯลฯ
ก็รับบุญไม่ได้เช่นกัน เพราะไม่สามารถที่จะคุมสติให้ตั้งมั่นเพื่อรับบุญได้... แล้วบุญไปไหน? ก็ย้อนไปหาเจ้าของที่ทำบุญเอง
///ข้อเสียของการทำสมาธิ///
พวกเรารู้แต่ข้อดีของสมาธิ เพราะเกิดมาก็ได้เห็นและได้ยินแต่คนสรรเสริญคุณของมัน
แต่ไม่เคยรู้ถึงข้อเสียของมันเลย เพราะชาวพุทธสมัยนี้ไม่ได้ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าเท่าที่ควร
ดังที่กล่าวมาข้างต้น การทำสมาธิ คือการจูนคลื่นจิตไปในที่ต่างๆ
จะไปได้ใกล้หรือไกล ขึ้นอยู่ที่ความชำนาญของผู้ปฏิบัติ
จูนไปถึงผี ก็เห็นผี จูนไปถึงเทวดา ก็เห็นเทวดา และชาวทิพย์เหล่านั้นก็จะเห็นเราด้วย เพราะเรากำลังอยู่ในสภาวะทิพย์
ถ้าชาวทิพย์ที่เราจูนไปถึงเป็นมารหรือเจ้ากรรมนายเวร ก็โชคไม่ดี เพราะพวกเขาจะเข้ามาเล่นงานเราต่างๆ นาๆ
โดยไม่ไม่รีรอ และพวกเขาจะดีใจมากที่เห็นว่าเราผู้เป็นหนี้กรรมมีช่องโหว่นี้ เหมือนเจ้าหนี้ดีใจที่เจอลูกหนี้แล้วทำการทวงฉะนั้น
...การทำสมาธิ เป็นการทำให้จิตละเอียด(อ่อน) ฉะนั้น เจ้ากรรมนายเวรและมารทั้งหลาย จึงเข้าแทรกครอบงำได้ง่าย
เจ้ากรรมนายเวรบางตนมีบุญ สมัยเป็นมนุษย์ทำบุญไว้มาก เกิดมาเป็นเทวดาศักดิ์ใหญ่ มีฤทธิ์ แต่เราเคยเป็นผู้ทำร้ายเขามาก่อนในอดีต
เห็นเราแล้วมีความไม่พอใจ จึงสวมบทเป็นมาร หาเรื่องกลั่นแกล้งเราให้เดือดร้อนต่างๆนาๆ อย่างนี้ก็มี เพราะเทวดาก็มี โลภ โกรธ หลง
บางทีเนรมิตให้เราเห็นอะไรที่เราชอบ หรืออวดอ้างว่าเป็นเทพองค์นั้นองค์นี้ หรือลามปามไปเป็นพระพุทธเจ้า มาสอนอะไรเราในทางที่ผิดๆ
บางทีก็มาหลอกหลอนทำให้เราหวาดกลัว รบกวนทำให้ชีวิตของเราไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ และนั่นก็คือสิ่งหลักๆที่พวกเขาต้องการ
บางทีก็มาทำร้ายเอาตรงๆ เข้าสิงเราเป็นร่างทรงให้เราทำในสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาต้องการ บังคับให้เราไปทำเรื่องน่าอาย หรือฆ่าตัวตายก็ได้
หรือถ้ามีฤทธิ์หน่อยก็ฆ่าเราตรงๆ เลย เช่น บีบคอ หักคอ ลากเอาไปลงน้ำหรือเข้าไปในกองไฟ ผลักให้โดนของแหลมเสียบ เป็นต้น
ชื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรแล้ว พวกเขาย่อมไม่มีความปราณีแก่เราเลย เพราะถือว่าเราทำพวกเขาก่อนในอดีต และผู้ที่จะให้อภัยเราได้นั้น ก็หายาก
///วิธีการป้องกัน///
การทำสมาธิจนเจ้ากรรมนายเวรและมารเข้าถึงได้ เป็นผลแก้ไม่ได้ก็จริง แต่พอจะมีวิธีป้องกันได้อยู่
คือ ทำกุศลกรรมเพื่อเติมปัญญากับบุญให้แก่ตัวเองมากๆ เช่น หมั่นฟังธรรม ตักบาตรทุกเช้า ให้ทานต่างๆ
ลดละเลิกอบายมุข เป็นต้น เพราะปัญญากับบุญเป็นเกราะป้องกันทางธรรมอย่างดีสำหรับคนเราทั่วไป
ต้องมีควบคู่กัน จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
ในพระไตรปิฎกหลายๆ สูตร กล่าวอยู่ว่า มนุษย์ที่มีปัญญาและบุญมาก แม้แต่ เทวดา มาร
อินทร์ พรหมณ์ ตั้ง1000ตน ก็ทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นผีก็ย่อมทำอะไรเราที่มีบุญกับปัญญามากๆ ไม่ได้เช่นกัน
กล่าวคือ
... ควรหมั่นศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและเรียนรู้สัจธรรมต่างๆ ทำกุศลกรรมเติมปัญญาและบุญให้กับตัวเองมากๆ
จะทำให้เรามีความสุข ผีและเทวดาทำร้ายไม่ได้ ถึงเวลาตายก็ได้ไปเกิดในสุคติภูมิ หรือถ้ามีปัญญาบรรลุธรรมก็หลุดพ้นได้
... ไม่ควรทำมาธิ หากไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติตามธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจนบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลและออกบวช
เพราะ การทำสมาธิ เป็นกิจของพระสงฆ์ที่เป็นอริยะบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจนถึงอรหันต์เท่านั้น
เพราะพวกท่านมีปัญญาธรรมเป็นเครื่องป้องกันแล้ว ทำให้สมาธิที่พวกท่านทำเป็นสัมมาสมาธิ จุดประสงค์เพื่อใช้ฌาณหรือความสงบ
เป็นเครื่องพักผ่อนหลังจากการวิปัสนาภาวนา เหมือนคนเราทางโลกทำงานมาหนัก ก็ต้องใช้สิ่งบันเทิงเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
สมาธิ เป็นเพียงศาสตร์ทางโลกิยะ เป็นปัจจัยชั้นสูงสุดสำหรับพัฒนาการต่างๆ ในทางโลกเท่านั้น
ไม่ใช่ปัจจัยของปัญญาเพื่อการบรรลุธรรมตามที่รู้กันมาแต่อย่างใด ชื่อว่าสิ่งต่างๆ ในทางโลก ย่อมมีทั้งคุณและโทษ
มีทวิลักษณะ หากบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้บรรลุธรรมที่เป็นอริยผลแล้วออกบวช ไปฝึกสมาธิเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ ก็จะเข้าสู่
ความเป็นทิพย์โดยไม่มีปัญญาธรรมประกอบเป็นเครื่องป้องกันตน จึงถูกชาวทิพย์ต่างๆ ที่ไม่หวังดีกับเรา มาปฏิสัมพันธ์
ในด้านลบ หรือทำร้ายเอาได้