แชร์ประสบการณ์สอบ TOCFL 2017 (เพื่อใช้ยื่นทุนรัฐบาลไต้หวัน)

นับว่าเป็นการสอบวัดระดับที่รู้สึกแย่มากตั้งแต่เคยสอบวัดระดับภาษามา
มันอาจจะบังเอิญเป็นรอบนี้พอดี แต่คือจริงๆ การสอบแบบนี้มันไม่ควรมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ
อันที่จริงก็อาจจะเว่อร์ไปหน่อยที่บอกว่า “แย่มาก” แต่มันก็ไม่ไกลจากคำนี้มากนัก เพราะอะไร... ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเราเองเตรียมตัวไปไม่ดีด้วยความชะล่าใจ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะอะไรไปอ่านกันเลยยย

ก่อนสอบประมาณสองอาทิตย์ เราเตรียมตัวโดยการเข้าไปในเว็บ www.sc-top.org.tw เป็นของศูนย์สอบ TOCFL โดยตรง
จะมีข้อสอบ Reading&Listening ให้โหลดมาฝึกทำฝึกฟังกันได้ มีเฉลย บทพูดและตารางเทียบคะแนนให้ด้วยว่าตอบได้กี่ข้อ ได้กี่คะแนน แต่แต่ละรอบสอบจะมีเกณฑ์คะแนนต่างกัน

ตอนแรกเราดูตารางเทียบคะแนนระดับภาษาจีน เราเคยสอบ HSK5 ไปเมื่อปีที่แล้ว แล้วคะแนนที่ได้มาก็ถือว่าไม่น้อย
ในตารางเทียบ บอกไว้ว่า HSK5 = TOCFL5 ตรงนี้แหละทำให้ตอนแรกเราตัดสินใจจะสอบ Band C (level5-6)
แต่ลองหาข้อมูลดูบ้าง เค้าบอกกันว่ามันยากกว่า HSK ดังนั้นเราเลยถอยมาอีกก้าว โดยการสมัครสอบ Band B (level3-4) แทน เพราะคิดว่าน่าจะสบายๆ กว่า
ตอนฝึกทำข้อสอบ มั่นใจมากว่าต้องผ่าน TOCFL level4 เพราะได้คะแนนเกือบเต็ม วันที่สอบจริงเราเลยชิลมาก เม่าดี๊ด๊าไม่ได้คิดว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะเจอกับเหตุการณ์ที่โหดร้าย TwT

เหตุการณ์ที่ 1
วันที่ 5 มีนาคม 2017 ไปถึงสนามสอบ(สมาคมจงหัว) ตอน 11 โมงครึ่ง ซึ่งเวลาสอบจริงคือ 13.00 ไปถึงก็ดูรายชื่อผู้สอบ...... Band A 17 คน/ Band B 78 คน/ Band C 15 คน
ประเด็นคือ หาชื่อตัวเองไม่เจอค่ะคุณ ตอนนั้นใจตกไปที่ตาตุ่ม พ่อแก้วแม่แก้ว สมัครแล้ว จ่ายเงินแล้ว แต่ดันสมัครทางอีเมล แต่เค้าก็มีอีเมลตอบกลับยืนยันว่าได้รับเอกสารเรียบร้อยหมดแล้ว ทำไมไม่มีชื่อช้านนนนนนนนนน
ไม่รอช้าค่ะ รีบไปหาเจ้าหน้าที่ อธิบายเรื่องราวให้ฟัง เค้าก็รีบโทรประสานงานให้ คือรวดเร็วทันใจมาก
สักพักมีเจ้าหน้าอีกคนเดินมา ถามว่าได้เอาเอกสารหลักฐานการสมัคร เอกสารโอนเงินมามั้ย.... นั่นไง พลาดดดดดดด เป็นเพราะเราชะล่าใจเอง คิดว่าอีเมลยืนยันแล้วขนาดนั้น ไม่น่ามีปัญหา
เราเลยบอกเค้าไปว่ามีแต่อีเมล เค้าก็บอกให้ส่งใหม่อีกรอบ แล้วก็เปิดให้ดูใบโอนเงิน พอเสร็จปุ๊บ เค้าก็เพิ่มชื่อเข้าไปให้ เป็นอันเสร็จขั้นตอนเรียบร้อยในระยะเวลาไม่เกิน 10 นาที และเจ้าหน้าที่ใจดีมากกกกกกก เค้าก็บอกกับเราว่าของเรานั่งโต๊ะตัวสุดท้าย ก็โอเค ไม่เป็นไร
ตอนนั้นกลับมาชิลได้ใหม่ ก็นั่งรอไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาสอบ ก็ไปที่ห้องสอบ

เหตุการณ์ที่ 2
เคยอ่านในเน็ต เค้าบอกว่าจะมีคอมพิวเตอร์ให้ เพื่อทำข้อสอบ... แต่ไหงของจริง มันไม่ใช่ ร้องไห้ ก็เริ่มมีลางตั้งแต่ยังไม่เข้าห้องสอบแล้วแหละ
พอเข้าไปก็เป็นหนังสือข้อสอบพร้อมกระดาษคำตอบซึ่งต้องใช้ 2B แต่โชคดีเราพกดินสอกับปากกาติดตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เลยรอดไป แต่ไม่แน่ใจว่าใช้ปากกาดำได้มั้ย เลยขอยืมปากกาน้ำเงินจากน้องที่รู้จักกัน
ก่อนเริ่มทำข้อสอบก็จะมีเช็คข้อมูลจากบัตรประชาชน/พาสปอร์ตว่าตรงกับข้อมูลบนโต๊ะมั้ย
กรอกชื่อจีน-อังกฤษบนกระดาษคำตอบ แล้วเจ้าหน้าที่ก็เปิดเทสต์ให้ลองฟัง ว่าเสียงโอเคหรือเปล่า

เหตุการณ์ที่ 3
ตอนเจ้าหน้าที่เปิดเสียงให้ฟังนี่คือแบบ ประโยคเดียวสั้นมากๆ ...ในใจก็คิด แค่นี้เนี่ยนะ??? แต่ช่างมันเถอะ ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ทีนี้ก็เริ่มสอบ ก็จะมีตัวอย่างพูดให้ฟังก่อน แต่ตอนนี้เองที่เจ้าหน้าที่ที่ถือไมค์พูดอยู่ ก็ไม่ยอมหยุดพูดสักที คือบางคนก็ต้องการสมาธิ บางคนก็กำลังตั้งใจฟัง แล้วข้อสอบก็กำลังจะเริ่ม มันเป็นอะไรที่แบบ...บรรยายไม่ถูกจริงๆ Facepalm

เหตุการณ์ที่ 4
ข้อสอบดำเนินไปเรื่อยๆ ค่ะ เป็น Listening test ก่อน เสียงที่ได้ยินมันก้องมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นเสียงผู้ชายพูด เสียงจะทุ้มๆ แล้วยิ่งลำโพงเป็นลำโพงใหญ่ เปิดเสียงดังๆ ในห้องโถง มันจะฟังอู้อี้มากๆ เลย ตอนนั้นเริ่มรู้สึกถึงชะตากรรม เพราะเราจำได้ว่าตอนฝึกทำข้อสอบเองที่บ้าน เราก็ต้องตั้งใจฟังให้มันชัดเจนว่าเค้าพูดถึงเรื่องอะไร แล้วถึงจะเข้าใจใจความ เลือกคำตอบได้ เพราะข้อที่ 20 ขึ้นไปก็จะเริ่มเป็นบทสนทนายาว ตอบทีละ 2-3 ข้อ ตอนนั้นอยากจะร้องไห้ แต่ทำไม่ได้จริงๆ
ก็เลย เอาเถอะ เป็นไงเป็นกัน ก็เอาที่พอจับใจความได้
แต่ปัญหามันเกิดตั้งแต่ข้อ 12 ค่ะ กำลังสนทนากันอยู่ดีๆ กลายเป็นย้อนกลับไปข้อ 6 ใหม่ แล้วก็อ่านคำถามข้อ 6 เสร็จปุ๊บตัดจบ เป็นอ่านคำตอบของบทสนทนาข้อ 12 เอิ่บ อมยิ้ม24
ทุกคนอึ้ง เจ้าหน้าที่มองหน้ากัน เราก็มองว่าเค้าจะทำไง จะหยุดก่อนมั้ยหรืออะไร สรุป เจ้าหน้าที่ทำท่าว่าแบบ ช่วยไม่ได้อ่ะ แล้วก็ทำมือเป็นสัญลักษณ์บอกเจ้าหน้าที่อีก 4-5 คนที่เหลือว่าให้รันต่อไปเลย ไม่ต้องหยุด
ตอนนั้นสมาธิเราหลุดไปพักนึง

แล้วก็ดึงกลับมาได้ ใจจดจ่ออยู่ที่ข้อสอบและเสียงที่ฟังอู้อี้อีกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองฟังไม่รู้เรื่องเลย อาจจะเพราะข้อสอบยากด้วยแหละมั้ง เพราะส่วนใหญ่จะให้ฟังจับใจความ ยิ่งถ้าฟังไม่รู้เรื่องนี่คือตอบไม่ได้เลยนะ
หลังจากนั้นเหตุการณ์ซ้ำเดิมก็เกิดขึ้นอีก คืออ่านคำถามของข้อนี้อยู่ ก็จะมีเสียงข้ออื่นแทรกขึ้นมา เป็นแบบนี้ตลอดจนสอบ listening ครบ 50 ข้อ.........เข้าใจอารมณ์มั้ยคะว่ากำลังตั้งใจฟังอยู่แล้วก็มีเสียงพูดอื่นแทรกเข้ามาตัดตอนแบบนี้ ไม่ว่าใคร สมาธิ สติก็หลุดจากโฟกัสทั้งนั้น
เสร็จพาร์ทฟังแล้วเจ้าหน้าที่ก็ถามนะว่ามีใครมีปัญหากับข้อไหนมั้ย? ก็ให้ยกมือ เราก็อยากยกบอก แต่คือเรามีปัญหากับทุกข้อ เพราะเราฟังเสียงเค้าพูดไม่รู้เรื่องเลย เสียงมันก้อง อู้อี้ๆ เลยไม่ได้ยกมือ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าข้อไหนที่ไม่มั่นใจ เพราะไม่มั่นใจทุกข้อ
ทีนี้ผู้คุมสอบเลยเปิดข้อ 12 ที่มีปัญหาให้ฟังใหม่อีกครั้ง แต่เสียงก็เป็นเหมือนเดิมอีก.......

ตอนนั้นรู้สึกผิดหวังมาก ผิดหวังกับตัวเองว่า เห้ย ฉันเตรียมตัวสอบไม่ดีพอใช่มั้ยอ่ะ? แล้วฉันมาสอบ เดินทางมาก็ไม่ใช่ใกล้ๆ เงินค่าสอบก็จ่ายแล้วตั้งหลายร้อย ฉันก็ตั้งใจทำสุดความสามารถที่ทำได้ แต่ทำไมทางสนามสอบไม่เตรียมตัวให้สมกับการมาสอบของคนที่มาสอบอ่ะ? พวกไฟล์เสียง เอกสารอะไรมันต้องมีการตรวจสอบ ทดสอบกันก่อนหรือเปล่า? เม่าเหม่อ
ทำไมปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ตอนนั้นอยากจะหยุดสอบแล้วกลับบ้านมาก
แต่ไม่ได้! ฉันจะไม่ทิ้งความฝันของฉัน ฮรืออออออ บอกกับตัวเองถ้าทำข้อสอบไม่ผ่าน แกจะพลาดโอกาสได้ทุนไปเรียนที่ไต้หวันนะ! ว่าแล้วก็ฮึดสู้
พลิกกระดาษไปทำ Reading part เม่าอ่านแต่ประเด็นคือตอนเริ่มทำ Reading ป้าที่ถือไมค์ก็พูดอยู่นั่น พูดไม่หยุด สงสัยป้ากลัวไม่ได้พูด แง
แต่เราก็ไม่สนHeสนThat ใดๆ ทั้งสิ้น นั่งอ่านนั่งฝนไปเรื่อย ข้อแรกๆ สบายมาก พอตั้งแต่ข้อกลางๆ ไปก็จะเป็นบทความยาวๆ ที่ส่วนใหญ่จะให้จับใจความสำคัญ คำถามที่ถามจะเป็น
บทความนี้ต้องการจะสื่อถึงเรื่องใดเป็นหลัก?
ใจความหลักของเรื่องนี้คืออะไร?
คนๆ นี้ทำแบบนี้ไปเพราะอะไร?
บทความนี้ให้ความคิดว่ายังไง?
ข้อใดผิด? ข้อใดไม่มีในบทความ?
จะเป็นให้วิเคราะห์ซะมากกว่า แล้วก็ถามเหมือนกับว่าผู้อ่านจำเป็นต้องอ่านบทความทั้งหมด ซึ่งเราไม่ใช่
เราเลือกอ่านคำถามก่อน แต่ช้อยส์คำถามก็ซับซ้อนเหลือเกิน ใครเป็นใครในบทความก็ยังไม่รู้จัก เลยต้องไปอ่านบทความ อ่านๆ เจอตรงไหนที่เกี่ยวกับคำถาม เราก็รีบไปอ่านคำถาม หาคำตอบ
เป็นแบบนี้จนถึงข้อสุดท้าย ยังไม่ทันถึงข้อท้ายๆ ก็เริ่มท้อแล้วอ่ะ ความสามารถในการอ่านและประมวลผลเริ่มช้าลง 55555 เจอแต่คำถามเดิมๆ แต่บทความเปลี่ยน แล้วยังยาวขึ้นอี้กกกกกก ซึ่งเกือบทำไม่ทัน
ยอมรับว่ายากมาก ยากกว่า HSK 5-6 เพราะขนาดพาร์ทการอ่าน เรายังมีบางข้อที่หาคำตอบไม่ได้เลย ซึ่งก็มีมั่วไปพอสมควรเพราะเวลากระชั้นชิด
ก็ว่าทำไมหลายๆ คนบอกว่า mock test ในเว็บง่ายกว่าข้อสอบจริงเยอะ ฮรือ คุณหลอกดาวววววววววว
แต่เราก็เห็นมีหลายคนเหมือนกันที่ทำเสร็จก่อนเวลาแล้วออกก่อน
ส่วนเราก็ทำจนหมดเวลา เม่าในกองไฟ คิดแล้วก็ เห้อมมมม
เจ้าหน้าที่บอกว่าติดต่อกับทางศูนย์สอบไต้หวันแล้ว รอคำตัดสินว่าจะเอายังไงกับพาร์ทฟังข้อ 12 เพราะอาจจะไม่คิดคะแนนหรืออาจจะให้คะแนนฟรี แต่ไม่มีทางตัดคะแนนแน่นอน
ส่วนจุดอื่นๆ ที่มีปัญหาจะมีการรับผิดชอบอะไรมั้ย อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

ปัญหาอีกอย่างที่เจอคือ
นั่งสอบโต๊ะละ 2 คน เป็นโต๊ะยาว เวลาฝนข้อสอบที คุณเอ้ยยยยย สะเทือนมาก ยิ่งตอนลบนะยิ่งไม่ต้องพูดถึง หงุดหงิดตลอดการสอบ ตอนเราลบก็เกรงใจคนข้างๆ ขอโทษจริงๆ นะคะ

ตอนนี้ก็ได้แต่รอผลสอบ ซึ่งก็กังวลพอสมควร เพราะถ้ายื่นทุนเรียนป.โท ต้องได้ TOCFL level4 ขึ้นไปเท่านั้น อยากจะสอบใหม่อีกรอบ แต่ก็สายเกินไปซะแล้ว
จากที่เคยโทรไปถามมา ผลสอบจะส่งไปที่สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ก่อนที่จะแจกจ่ายไปยังผู้สอบ ดังนั้นใครที่จะยื่นทุนรัฐบาลไต้หวัน สามารถส่งเอกสารการสมัครต่างๆ ไปที่ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปได้เลย แต่ต้องแนบโน้ตไปด้วยว่า ...”รอผลสอบ TOCFL” แล้วเดี๋ยวทางนั้นเค้าจะเช็คและจัดการให้เองค่ะ (ขอบคุณข้อมูลจากน้องที่โทรไปถามคอนเฟิร์มให้อีกรอบ)

ส่วนใครที่กำลังจะขอทุนเรียน ป.โท ที่ไต้หวันหรือกำลังลุ้นผล สู้ๆ นะคะ ขอให้โชคดีค่าอมยิ้ม01
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่