วิกฤตโปรแกรมเมอร์ และทางออก

วิกฤตโปรแกรมเมอร์ และทางออก
อย่างที่ทราบกันครับโปรแกรมเมอร์หายากมาก แล้วยังมีหลายสายอีกทำให้ยากไปใหญ่
เพราะอะไรทำไมถึงไม่มีใครอยากมาเป็นโปรแกรมเมอร์

ประสปการณ์ส่วนตัวครับว่าที่ผ่านมาเจออะไรมาบ้าง หนักหนาสาหัสครับ
ที่ทำอยู่เพราะใจรักล้วนๆครับ ให้ไปอยู่ SA ก็ไม่เอาชอบทำเองออกแบบเองมากกว่า
ส่วนตัวคิดว่าไม่มีใครเข้าใจงานและระบบมากกว่าคนลงมือทำ

แรกๆเป็นฟรีแลนซ์ไม่รู้ตัวหรอกครับว่าตัวเองเป็นฟรีแลนซ์ เพราะไม่ได้คุยตกลงอะไรกัน
เป็น outsoure ก่อนไปประจำที่นั้นบ้างนี่บ้าง ต่อมาก็เขียนโปรแกรมตามโปรเจค
ได้รับเงินทุกๆเดือนๆ จบงานก็มีค่าปิดงาน มารู้ตัวตอนที่เค้าเอาโปรแกรมเราไปขายที่อื่นอีกไม่บอกเรา
แต่บางที่เราไปติดตั้งก็แบ่งส่วนมาให้น้อยนิดเค้าบอกเป็นค่าติดตั้ง แต่ช่วงที่ทำโปรเจคให้นิแกบอกว่าถ้าขายที่อื่นได้พี่จะแบ่ง%ให้

งานสุดท้ายงาน 2 ล้าน แบ่งมาให้ 1 แสน  ผมทั้งโปรแกรมคนเดียวแถมยังต้องมาทำคู่มืออีก  
ใช้เวลาทำเกือบปี แสนนึงนิแบ่งให้รายเดือนที่ทำนะครับ สรุปถ้าทำเสร็จปิดงานได้ผมก็ไม่ได้อะไรเลย มารู้ตอนทำเสร็จ
งาน 2 ล้านคิดว่าลูกค้าอยากได้อะไรครับ งานที่ทำให้แค่แสนเดียว ผมมีแรงแค่นี้
พอมีปัญหาเรื่องเงิน มากๆ พี่แกก็บอกว่าไหนจะค่าวิ่งงาน ค่าภาษีอื่นๆ
เค้าบอกว่าเราเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งตามกฎหมาย โปรแกรมเป็นของเค้า กำ.....
เอ้าตกลงนี่เราเป็นฟรีแลน์หรือ แล้วที่รับทุกๆเดือนนี่ไม่ใช่เงินเดือน? อ่ะช่างมันครับไปทำงานประจำดีกว่า

ต่อมาทำงานประจำเจอบริษัทซอฟแวร์เฮาส์ทุนต่ำครับ นโยบายเบื้องหน้าดี อนาคตสวย
ทำธุรกิจแบบไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พึ่งมารู้ตอนหลังอีก
คือเจ้าของบริษัทต้องการพัฒนาโปรเจคใหญ่ๆเอาไว้ขายถูกๆ ถูกมากจนเราคิดว่าเค้าจะอยู่ได้ไง
น้อยว่าค่าใช้จ่ายในทีมพัฒนาเยอะมากไม่ถึง 20%ด้วยซ้ำ
พอมาดูโครงสร้างฐานข้อมูลที่มีโนโยบายออกแบบมา แปลกใจมากครับเค้ารวมข้อมูลของลูกค้าหลายๆที่ไว้ในฐานข้อมูลก้อนเดียว
โดยมีรหัสลูกค้าแยกกลุ่มลูกค้าออกจากกัน ข้อมูลทุกอย่างครับรวมไปถึงข้อมูลการลงเวลาเข้างาน
ของลูกค้าทุกๆที่อยู่ในฐานข้อมูลก้อนเดียว ผลปรากฎว่า

ตามที่ผมคาด ฐานข้อมูลโตจน select ข้อมูลช้ามาก ช้าจนทำงานไม่ได้ปิดจ๊อบไม่ได้
พอปิดจ๊อบไม่ได้ก็โดนด่าอีก กดดันมากๆ หนีเลยสิครับอยู่ทำเพื่อ?
ไปทำเองเหอะ แล้วพอมาสืบๆดูว่าทำไมถึงได้ออกแบบฐานข้อมูลแบบนี้
เป็นไปได้ว่าเค้าต้องการบริหารแบบศูนย์รวม ง่ายในการจัดการ ใช้คนทำงานน้อย
ถึงขายถูกได้ นั้นหมายความว่าเค้าต้องการปลดทีมพัฒนาเมื่อโปรเจคเสร็จ มันสมเหตุผลที่ว่าทำไมบริษัทถึงไม่ได้จ่ายค่าประกันสังคม

มารู้ทีหลังอีกตอนจะเข้า รพ ครับ บริษัทไม่เคยจ่ายประกันสังคมเลย สมเหตุผลที่บริษัททำธุรกิจแบบไม่มีอะไรจะเสีย
ในการทุ่มเงินก้อนสุดท้ายพัฒนาโปรเจค พอเสร็จก็ปลดผู้พัฒนา เพื่อนำโปรแกรมไปขายในราคาถูกๆได้

ผลคือพังครับ พังเพราะรวมฐานข้อมูลไว้ก้อนเดียว เพราะเร่งทำโปรแกรมไม่ได้มีการทดลองใช้ ทำเสร็จก็ขายเลย (คงไม่มีเงินหมุน)
ส่วนโปรแกรมเมอร์แบบผมไปร้องเรียนครับเพราะบริษัทไม่จ่ายประกันสังคม
เลยถูกเอาคืนแจ้งประกันสังคมว่าไล่ออก แล้วฟ้องผมเพราะหนีงาน  เรียกค่าเสียหายเกือบล้าน
ขึ้นศาลครับ ผมก็จะเอาเรื่องบ้าง สุดท้ายเรื่องนี้จบที่ไม่เอาความกัน  กับคำพูดของศาลท่านว่า "ความถูกต้องกับความจริงไม่ใช่เรื่องเดียวกัน"  

ต่อมาก็ได้มาทำบริษัทมหาชน ที่สุดท้ายที่ผมจะฝากชีวิตไว้ได้ถึงแม้ที่นี่จะไม่ดีเท่าของคนอื่นที่เค้าคุยอวดกัน แต่ก็ดีกว่าที่ๆผมเคยผ่านมามาก
ทำงาน 6 วัน ต่างจากเมือก่อน ทุกวันคือวันหยุด กลางคืนคือเวลาทำงาน เหนื่อยกว่าแต่มั่นคงกว่า ขึ้นเงินเดือนโบนัสได้ทุกปี
ไม่มากเท่าคนอื่นเขาแต่ก็พอแล้ว
ส่วนโปรแกรมที่ทำให้ที่นี่ ได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายลิขสิท ในมาตรา 7 8 ก็ถือว่าเป็นหลักประกันให้ตัวเอง

ซึ่งมันต่างจากบริษัทที่ทำ  CMMI นะครับ บริษัทพวกนี้เห็นเราเป็นแค่เครื่องจักร เพราะเขียนโปรแกรมด้วย Framwork
ออกแบบมาให้แล้วเขียนตามคำสั่งพอ ทุกอย่าง เป็นมาตราฐานเดียวกันหมด โปรแกรมเมอร์ตาย อีกคนก็มาเสียบต่อได้เลยงานไม่มีสะดุด
อายุงานมากทำงานช้า เงินเดือนสูงเหรอ ไล่ออก จ้างเด็กใหม่เสียบ
ซอฟแวร์เป็นของเค้าโปรแกรมเมอร์เป็นแค่กลไกแค่นั้น มันดีกับเค้าครับ
แต่กับตัวโปรแกรมเมอร์เองอะไรเป็นหลักประกันตอนเราทำงานไม่ไหวแล้ว
โปรแกรมเมอร์ใช้ร่างกายเปลือง อายุงานสั้นนะครับ  อายุ 35 ก็ทำงานช้าลงแล้ว บางที่ทำ CMMI ก็เตรียมเชิญออกล่ะครับ

อันนี้คือปัญหาของโปรแกรมเมอร์


มาดูปัญหากับบริษัทที่ต้องการใช้โปรแกรมจะเจออะไรบ้าง

ถ้าจ้างฟรีแลนซ์ มีโอกาสเจอทั้งคนไม่มีฝีมือ หรือเจอคนทิ้งงานสูงมาก คนมาต่องานก็ไม่ได้ โปรแกรมนั้นทำก็เหมือนไม่ได้ทำ
จะจ้างบริษัทรับเขียนโปรแกรมก็เจอค่าใช้จ่ายที่สูงมาก จะแก้ไขจะเพิ่มอะไรทีก็มีค่าใช้จ่าย แถมถ้าเปลี่ยนเวอร์ชั่นโปรแกรมตกรุ่นก็บังคับซื้อใหม่อีก

ส่วนตัวฟรีแลนซ์เจอทั้งต่อราคา แก้งานกลับไปกลับมา ไม่ยอมจบงานสักที ไม่จ่ายตังชักดาบหลอกให้เขียนโค้ด
อื่นๆ อย่างที่ทราบๆที่เป็นกระทู้มากมาย

การจบปัญหาแบบนี้
บริษัทถ้าจ้างโปรแกรมเมอร์ไม่ได้ก็จ้างฟรีแลนซ์ครับ แล้วก็ให้สิทธิในโปรแกรมถ้ายังใช้อยู่ก็จ่ายรายเดือนไป เดือนล่ะ พันหรือหมื่นก็ตกลงกันไปแล้วแต่งาน
คุณจะแก้งานกี่ครั้งจะยังไงก็ตามสบายเลยครับจะไม่มีเกี่ยงไม่มีงอนถ้าไม่ถูกใจ ก็ไม่ต้องจ่ายรายเดือน ก็จบเสียหายกันไม่มาก win win ครับ
แบบนี้ ฟรีแลนซ์ ถ้ารับงานหลายๆที่ก็จะอยู่ได้มั่นคง

ส่วนบริษัทจ้างโปรแกรมเมอร์ได้ก็ให้สิทธิในโปรแกรม ถ้าเอาไปขายต่อก็ตัดให้ทีมโปรแกรมเมอร์ไปคนล่ะเท่าไร่กี่%ตกลงกัน
แบบนี้ จะทำงานกันเต็มที่ครับ OT ไม่สนวันหยุดไม่ต้อง งานดีเสร็จเร็ว
งานหนักแค่ไหนก็สู้อยู่ทนอยู่นานไม่หนีไม่ลาออกไปไหนแน่ๆ win win ครับ

ถ้างานมั่นคงก็จะมีคนอยากมาเป็นโปรแกรมเมอร์กันมากขึ้น ประเทศเราก็จะก้าวหน้ามากขึ้นครับ
อาจจะมีเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยนะครับ ก็มาแลกเปลี่ยนความคิดกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เสริมนิดนึงคนะครับ เรื่องสิทธิในงานที่ทำ
ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย เราได้ใช้มานานแล้ว ในรูปแบบงาน วรรณกรรม
คนที่สร้างงานวรรณกรรมเค้ามีหลักประกันชีวิตที่มั่นคง
ซอฟแวร์ก็คืองานวรรณกรรมเช่นกัน โปรแกรมเมอร์ต้องมีหลักประกันชีวิตที่มั่นคง ได้เช่นกัน
อายุงานเราสั้น เราใช้ร่างกายเปลือง เราต้องมีหลักประกันให้ชีวิตครับ
สิ่งที่ผมบอก อาจไม่ถูกใจกับคนที่ทำนาบนหลังโปรแกรมเมอร์มากนัก
แต่ถูกใจกับโปรแกรมเมอร์และบริษัทที่ใช้ซอฟแวร์แน่ๆ

##########
ขอตอบ คห 3 นะครับ
บ่นแล้วได้อะไร
1 บอกถึงหลักประกันอนาคตให้โปรแกรมเมอร์เมื่อใช้งานเราจนเสื่อม ครับ
2 ถ้าโปรแกรมเมอร์มีหลักประกัน ก็จะมีคนอยากเป็นโปรแกรมเมอร์มากขึ้น ตลาดในไทยก็จะไม่ขาดแคลนโปรแกรมเมอร์
ถ้าขาดแคลนโปแรกรมเมอร์มากๆ บริษัทต่างๆเองนั้นล่ะครับจะเดือดร้อน

ไม่มีใครเค้าบีบคอรับเงินเดือน ใช่ครับผมยินดีรับเงินเดือนเพราะว่ากฎหมายคุ้มครองผลงานไม่เหมือนฟรีแลนซ์ที่กฎหมายจะไม่คุ้มครองผลงาน
ซึ่งมาบอกตอนหลังว่าผมเป็นฟรีแลนซ์ก็งงครับ จริงๆฟ้องศาลแรงงานก็ได้ล่ะชนะมาหลายคนแล้วกรณีนี้ แต่ช่างเหอะครับไม่ว่ากัน ไปทำที่ใหม่ดีกว่า

จะอ้างว่าต้องมีค่าใช่จ่ายมีคนทำงานหลายคน ใช่ครับ ไม่ว่าทุกคนมีค่าใช้จ่าย
แต่ในเมื่อเคยตกลงไว้แต่ผลออกมาอีกอย่าง  และไม่มีหลักประกันความมั่นคงให้โปรแกรมเมอร์ ก็ต้องโดนแบบเดียวกันเช่นกัน
โปรแกรเมอร์ก็จะไม่มีหลักประกันให้เหมือนกัน เราไปทำงานที่ดีกว่าได้
ตอนนี้ตลาดขาดแคลนมาก   จะไปอยู่ไหนก็ได้ที่มั่นคงสำหรับเรา ที่ๆกฎหมายคุ้มครองผลงานเราเช่นงาน วรรณกรรม
อย่าไปอยู่ในที่ๆเอาเปรียบเรา

โปรแกรมเมอร์ไม่ใช่เครื่องจักร อายุ 35 ก็จะปลดได้ ต้องมีหลักประกันให้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่