ทีป กิติยา เขียนปาปิยอง Papillon

Papillon ( 1973 ) ด้วยปีกแห่งอิสรภาพ แม้นต้องแลกด้วยชีวิต

อิสรภาพ คือ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของมนุษย์ หากมนุษย์ไร้ซึ่งอิสรภาพ ชีวิตย่อมไม่เหลือสิ่งใดแล้ว คำกล่าวนี้ถูกอ้างอิงเสมอเพื่ออธิบายคุณค่า และความหมายของคำว่า อิสรภาพ ข้าพเจ้าขอนำเสนอภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องราวของชายคนหนึ่งผู้ซึ่งทำทุกสิ่งเพื่อให้ตัวเองมีอิสรภาพ เขาคือ อองรี เซียราลิเย หรืออีกนามที่มีคนตั้งฉายาให้เขาว่า ปาปิญอง ชายชาวฝรั่งเสศผู้มีตัวตนจริงและเรื่องราวชีวิตที่สุดยอกย้อนยิ่งกว่านวนิยาย
เรื่องราวของปาปิญองเริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรธที่ 40 ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สองไม่กี่ปี เขาถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรม ปาปิญองพยายามที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่าเขาไม่ใช่ฆาตกร เพียงแต่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้นเอง แต่เขาไม่สามารถหาพยานมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ ด้วยความผิดนี้ศาลตัดสินให้ส่งตัวไปจองจำและใช้แรงงานหนัก ณ เฟร้นซ์กายานา อาณานิคมแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว และเต็มไปด้วยมาลาเรียและไข้เหลือง สถานที่จองจำที่ เฟร้นซ์กายานา จึงมีสภาพไม่ต่างไปจากนรกบนดิน ความตายเกิดขึ้นตลอดเวลาที่นี่ ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถเอาชีวิตรอดได้ การเดินทางรอนแรมไปสู่กายานาบนเรือเดินสมุทร ปาปีญองได้พบกับ หลุยส์ เดก้า นักปลอมแปลงพันธบัตร ที่ทำให้คนจำนวนมากกลายเป็นคนล้มละลายในชั่วข้ามคืน เดก้าซุกซ่อนเงินจากการฉ้อฉลของเขาไว้ในช่องท้อง โดยมีนักโทษมากมายจำเขาได้และต้องการเงินจำนวนนั้น ปาปีญองอาสาเป็นผู้คุ้มกันให้กับเดก้า เพื่อแลกกับการใช้เงินของเขาในการดำเนินการเพื่อแหกคุกของตนเอง ปาปิญองใช้เงินเหล่านี้ทำการติดสินบนเจ้าหน้าที่ รวมถึงการจัดหาเรือเพื่อให้ในการหลบหนีไปยังเวเนซูเอลา ในการหลบหนึหนแรกปาปิญองไปกับเดก้า และเพื่อนอีกหลายคน แต่พวกเขาหนีไม่รอด แต่ปาปิญองยัไม่ละความพยายามที่จะหนีออกจากสถานจองจำ แต่ทุกครั้งเขาจะถูกตามจับกลับมาได้ พร้อมกับถูกทรมานและถูกขังเดี่ยวเป็นเวลานับเดือน แต่ อิสรภาพ คือสิ่งที่เขาถวิลหาอย่างที่สุด เขาทำทุกวิถีทางแม้จะต้องไปอาศํยพึ่งพาขอเรือของผู้คนในนิคมโรคเรื้อน ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเกาะแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงได้ไปอยู่กับชาวเผ่าเร่ร่อนหาหอยมุกตามเกาะเป็นเวลาหลายเดือน แต่ยังคงถูกตามจับกลับมาได้อีก ครั้งนี้ปาปิญองถูกขังเดี่ยวเป็นเวลากว่าสองปี หลังจากนั้นจึงถูกส่งตัวไปจองจำยังสถานกักกันที่เป็นเกาะกลางทำเล ที่ผู้คนเรียกขากกันว่า เกาะปีศาจ ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ท่ามกลางทะเลที่คลื่นลมแรง มีฉลามจำนวนมากเป็นเหมือนผู้คุม ณ ที่นี้ เขาได้เจอกับ หลุยส์ เดก้า อีกหน และแล้วแผนการหลบหนีครั้งสุดท้ายของเขาก็ได้เริ่มขึ้นที่นี่เอง
นั่นคือเรื่องราวโดยย่อของปาปิญอง หนังฟอร์มยักษ์แห่งปี 1973 ที่สร้างจากเรื่อราวชีวิตจริงของ อองรี เชียราลีเย หรืออีกนามหนึ่งว่า ปาปิญอง ผู้ซึ่งสามารถหนีออกจากคุกแห่ง เฟ้รนซ์กายานา ได้สำเร็จ หลังจากใช้ความพยายามหลายปีกับการหลบหนีหนแล้วหนเล่า จนกระทั้งสำเร็จในที่สุด เขาได้นำประสบการอันเจ็บปวดตลอดช่วงระยะเวลานับสิบปีในคุก ถ่ายอดออกมาเป็นหนังสือเชิงอัตตชีวประวัติของตัวเองในปี 1973 จนกลายเป็นหนังสือขายดี ก่อนที่จะถูกนำมาสร้างเป็นหนังในปีเดียวกันจากฝีมือการกำกับของ แฟรงคลิน เจ แชฟเนอร์ ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตที่ยิ่งกว่านิยายของปาปิญองลงบนแผ่นฟีล์ม โดยได้ดาราเจ้าบทบาทมาประชันกันอย่างเข้มข้นคือ สตีฟ แมคควีน มารับบทนำเป็นปาปิญอง และ ดัสติน ฮอฟแมน ผู้พลิกบทบาทตัวเองจากบทของหนุ่มน้อยผู้อ่อนต่อโลกใน The Graduate มารับบทเป็น หลุยส์ เดก้า นักปลอมแปลงพันธบัตรผู้เป็นคู่หูของปาปิญองในเรื่องนี้ งานโปรดัคชั่น สร้างฉากสถานที่คุมขังนักโทษ ตลอดจนการใช้สถานที่จริงหรือไกล้เคียงที่สุดในการถ่ายทำฉากต่าง ๆ ถือว่าเป็นจุดที่ทาง ผกก พิถีพิถันมากอย่างยิ่ง จึงทำให้หนังมีความสมจริงมาก หนังถ่ายทอดสภาพชีวิตของผู้ต้องขังในเฟร้นซ์กายานา เมื่อยุคกว่า 70 ปีที่แล้วออกมาได้อย่างสมจริง สภาพความอึดอัดของคุกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพภายในห้องขังเดี่ยวที่ปาปิญองถูกขังอยู่ในนั้นเป็นเวลานานนับหลายปี ด้วยภาพของห้องที่มืด อับชื้น เต็มไปด้วยแมลงคลาน ที่ต้องกลายมาเป็นอาหารของปาปิญอง ที่ต้องกินทุกอย่าง ออกกำลังกายในห้องมืดทึบอับชื้นนั้น เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดออกไปให้ได้โดยที่ไม่เป็นบ้าหรือตายไปเสียก่อน สตีฟ แมคควีน แสดงในช่วงนี้ได้อย่างสมจริง ถือเป็นบทบาทที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของเขา ในขณะที่ดัสติน ฮอฟแมน กับบทบาทที่ต้องเล่นเป็นอาชญากรที่ดูซื่อ แต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เพื่อที่จะช่วยเพื่อนรักให้หนีจากคุกให้ได้สำเร็จ แม้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะต้องอยู่บนเกาะปีศาจนั้นตลอดไปก็ตามที แต่นั่นเป็นหนทางที่เขาเลือกแล้ว
ปาปิญองสะท้อนภาพชีวิตที่ดิ้นรนอย่างถึงที่สุด เพื่อไขว่คว้าสิ่งที่มีค่าที่สุดของมนุษย์ นั่นคือ อิสรภาพ ในขณะเดียวกันยังได้สะท้อนภาพความเป็นศักดินาของเจ้าอาณานิคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความฉ้อฉลและเห็นแก่ตัวของศาสนจักร ที่ละโมบและปลิ้นปล้อน ในตอนที่ปาปิญองไปอาศัยหลบในโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาสัญญาว่าจะจากไปเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น โดยมอบไข่มุกไว้เป็นเครื่องยืนยัน แต่เมื่อเพลาเช้ามาถึงพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาจับตัวปาปิญองไป คำกล่าวของแม่ชีที่ว่า “ หากลูกทำผิดบาปจริง ทรัพย์สินที่บริจาคนี้ก็สามารถช่วยเหลือเด็กในเมืองนี้ได้กว่าครึ่ง พระเจ้าจะให้อภัยคุณ แต่หากคุณบริสุทธิ์ พระเจ้าจะอยู่ข้างคุณ “ มันสะท้อนให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วที่ศาสนจักรแห่งนั้นต้องการก็คือ ทรัพย์สินนั่นเอง โดยดึงอาณาจักรแห่งพระเจ้ามาเกี่ยวข้อง
ปาปิญองถือได้ว่าเป็นหนังสะท้อนภาพชีวิตของคนคุกและการดิ้นรนหนีเพื่ออิสรภาพ และยังแสดงให้เห็นคุณค่าของคำว่า อิสรภาพ ที่หนังเรื่องนี้สะท้อนออกมา ส่วนที่ยอดเยี่ยมของหนังที่จะต้องกล่าวถึงคือ งานดนตรีประกอบ จากฝืมือของสุดยอดอัจฉริยะ Jerry Goldsmith ผู้ฝากผีมือไว้ในหนังยอดเยี่ยมมากมาย งานดนตรีประกอบในเรื่องนี้ให้อารมณ์ของความ เศร้า เหงา อย่างยากจะบรรยายโดยเฉพาะเพลงธีมหลัก ที่สามารถบ่งบอกอารมณ์ของหนังออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก จึงกล่าวได้ว่านี่คือหนังแหกคุกที่ดีทีสุด ชัดเจนตรงไปตรงมามากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์การสร้างหนังของฮอลลีวู้ด ข้าพเจ้านำส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้มาให้ได้ทัศนากัน ขอเชิญทัศนา เถิด ณ บัดนี้



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่