Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Man on Wire {James Marsh}, 2008

!SPOILER ALERT!
.
.
.
.

หนังเกือบทั้งเรื่องยึดโยงไปกับเหตุการณ์ขณะที่ฟิลลิปและเพื่อนกำลังอำพรางตัวเองเพื่อหลบซ่อนยามบนตึกเวิล์ดเทรด ขาเล่าว่าช่วงเวลาที่เขาซ่อนนั้น เป็นช่วงเวลาที่เขาได้ครุ่นคิดถึงการต่อสู้ทางจิตวิญญาณที่ผ่านมาจนถึงวัยเบญจเพส ดูเผินๆ เราเกิดคำถามคล้ายกับตอนดู The Social Network นั่นคือ ที่เราต่อสู้เพื่อสิ่งที่เราชอบ เราบ้าคลั่งกับมัน สุดๆ กับมัน แต่ท้ายที่สุดแล้วคนที่เขาไม่ได้ฝันแบบเรา ก็ทนแรงเสียดทานไม่ไหว และหลุดจากวงโคจรของเราไป มันคุ้นค่ากันหรือไม่ กับความสำเร็จที่ได้มา

แต่กลายเป็นว่า การได้ดู Man on Wire พาเราไปไกลกว่านั้น อาจจะเพราะว่าหนังเล่าถึงการเติบโตของบุคคลได้ละเอียดกว่า เราได้รู้ว่าฟิลลิป ในวัยเด็กเขาโตมาในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักเขียน ความสัมพันธ์ระหว่างคนในบ้านขึงตึง ไม่ยืดหยุ่น และนี่เองอาจทำให้เขานำประสบการณ์ความกดดันในวัยเด็กปลดปล่อยออกมาในช่วงวัยรุ่น เขาจึงกลายเป็นคนโลดโผน และชอบทำอะไรเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เราไม่รู้ว่าเขามาถึงจุดนี้ได้ไง จุดที่ออกมามีชีวิตอิสระ ในหนังไม่ได้เล่า เรารู้เพียงว่า เขารู้จักตึกแฝดตั้งแต่มันยังไม่ลงเสาเข็ม และเขาคิดจะไต่มันขณะนั่งรอคิวในร้านหมอฟัน

ประเด็นในหนังดูเหมือนจะขับเน้นเรื่อง spiritual health และการต่อกรระหว่างการเลือกเส้นทางชีวิตที่เดินตามเส้นทางที่มันตอบสนอง spiritual ของปัจเจก กับการเดิมตามทางคติ กฎเกณสังคม ดังตัวฟิลลิปที่มีไลฟ์สไตล์อิสระและนั่นคือการใช้ชีวิตแบบที่เขารัก ชอบ และพึงพอใจในแบบนั้น แม้มองจากสายตาภายนอกจะเป็นพวกแหกคอก ขถบสังคมก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันด้วยความที่เป็นขบถ นั่นหมายถึงว่าเขาต้องจัดการตัวเองภายใต้สิ่งที่สังคมกำหนด ส่วนหนึ่งก็คือกฎหมาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจการมีอยู่มัน เขาจะสนใจมันทำไม ในเมื่อการเป็นขบถ การท้าทายข้อระเบียบสังคม มันทำให้มีชีวิต มันต่อลมหายใจให้เขาในทุกๆวันที่ตื่นขึ้นมา

การไม่สนใจกฎหมาย ในสังคมที่เคารพและเถิดทูนกฎหมายไว้เนื้อหัว ผลท้ายที่สุดเขาก็ต้องรับผลการกระทำที่ท้ายทาอำนาจรัฐนี้ การกระทำอันนี้เองในขณะเดียวกันก็ถือเป็นการชำระล้างจิตวิญญาณของเขาด้วยเช่นกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สงครามระหว่างสองทางเลือกนี้มันเกิดอยู่ในตัว Phillipe ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวัยรุ่น ในทางกลับกัน ภาพสุดท้ายที่เราเห็นเขาไต่เชือกในบรรยากาศที่แวดล้อมด้วยพรรณไม้เขียวขจี เสียงดนตรี Gymnopédies ดังขึ้น เช่นเดียวกับตอนที่เขาไต่อยู่บนยอดตึกแฝด ทั้งสองเวลา ต่างสถานที่ ล้วนแต่สร้างความสุขสงบ ราวกับว่าฟิลลิปได้บรรลุ spiritual ของเขาแล้ว

แม้ว่าผลหลังจากที่ฟิลลิปไต่เชือกตึกแฝด เขาจะถูกจับแต่ก็ถูกปล่อยตัวเร็วมากเช่นกัน โดยมีข้อตกลงว่าเขาต้องไปบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยการแสดงกายกรรมในสวนสาธารณะในเด็กๆ ดู ซึ่งเขาก็ตอบตกลง แต่จริงๆ มันก็มีเบื้องหลังว่า ที่รัฐปล่อยตัวเขาเร็ว เพราะในตอนนั้นตึกแฝดเพิ่งเปิดและไม่มีชื่อเสียง นักวิชาการบางท่านถึงกับบอกว่าโครงสร้างออกแบบมาได้น่าเกลียด การที่ฟิลลิปมาแสดงจึงเท่ากับเป็นการโปรโมตตึกแฝด น่าคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าสิ่งที่เขาทำไม่สร้างประโยชน์แอบแฝงโดยที่ฟิลลิปไม่ตั้งใจ รัฐจะหละหล่วมกฎหมายแบบนี้หรือไม่ ทำนองเดียวกัน ไอ้สิ่งที่เราคนส่วนใหญ่ในสังคมเคารพบูชากัน ถูกนำมาบังคับใช้ได้ประสิทธิผลมากน้อยเท่าใด

คำตอบคงรู้อยู่แก่ใจกันทุกคน แต่ที่แน่ๆ หลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้เราก็ได้ค้นพบว่าขณะนี้เอง กำลังมีสงครามในปะทุดุเดือดในดวงใจเรา และก็คงไม่ต่างจากสงครามในใจฟิลลิปตอนนั้นเช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่