วันที่ 3 มกรา 2525 คุณสุลักษณ์ได้รับเชิญไปพูดที่สำนักสันติอโศก เธอได้ “ฟุ้ง” อะไรต่อมิอะไรไว้มากมายเกี่ยวกับศาสนา และเชียร์เจ้าภาพคือสันติอโศกซะเล่นเอาเจ้าสำนักที่นั่งข้างๆ หน้าแดงเขินไปเลย และยังยกย่องจำลอง ศรีเมือง ศิษย์เอกสันติอโศกเอาไว้ด้วย สองปีถัดมา...คุณสุลักษณ์ได้รับเชิญไปพูดที่วัดโคนอน จ.นนทบุรี ผม(ตอนนั้นเป็นสามเณร)ได้มีโอกาสขึ้นไปพูดเรื่องบทบาทของสามเณรในสังคมไทยสิบกว่านาทีเพื่อ “คั่นเวลา” ก่อนคุณสุลักษณ์จะขึ้นร่ายยาว วันนั้น แทนที่คุณสุลักษณ์จะพูดเรื่องสันติวิธี ท่านกลับพูดโจมตีพลตรีจำลอง ศรีเมืองซึ่งตอนนั้นกำลังโด่งดังจากการหาเสียงผู้ว่ากทม. อย่างเมามัน โดยที่ลืมไปว่าตัวท่านเองเคยพุดยกย่องจำลองไว้อย่างไรตอนที่ท่านได้รับเชิญไปพูดที่สันติอโศกเมื่อวันที่ 3 มกรา 2525 บนเวทีหนึ่งท่านพูดเชียร์ดิบดี คล้อยหลังไม่กี่ปี ท่านก็พูดโจมตีสไตส์สุลักษณ์ซะยับเยินบนอีกเวทีหนึ่ง
ทุกวันนี้ เห็นสื่อเชิญไปสัมภาษณ์บ้างออกรายการทีวีบ้างที่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับพุทธศาสนาและการเมือง แล้วอดเป็นห่วงศาสนาและห่วงตัวคุณสุลักษณ์ที่ยามนี้เธอเริ่มจะชราภาพแล้วไม่ได้ ห่วงแรกคือห่วงศาสนา...เกรงว่าสังคมไทยและภาครัฐจะรับเอา “คติ”และ “มุมมอง" ของคุณสุลักษณ์ไปเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติต่อพุทธศาสนา คติและมุมมองของสุลักษณ์ที่ถ่ายทอดออกมาไม่ว่าจะบนจอทีวีหรือตัวหนังสือ เชื่อว่าหลายคนคงสัมผัสได้ถึงความร้อนเร่า กระด้าง และอัตตานิยมสูง หาความเป็นขันติและโสรัจจะได้ลำบาก
ในสายตาผม “ปราชญ์ด้านพุทธศาสนา” ที่เป็นฆราวาสในเมืองไทยยังมีอีกหลายท่านที่ยังไม่อยากแสดงตัวในวงกว้าง อย่างเช่นอาจารย์บรรจบ บรรรณรุจิ, ชรินทร์ จุลคประดิษฐ์, อุทิส เทียนวรรณ, สมภาร พรมทา, สมบัติ มั่งมีสุขศิริ ฯลฯ ตัวคุณสุลักษณ์หากเปรียบกับท่านเหล่านั้นแล้ว แตกต่างกันแค่อายุที่อ่อนกว่าคุณสุลักษณ์ทั้งหมด แต่ความรู้ด้านพระพุทธศาสนานั้นจะลึกซึ้งและตรงดิ่งกว่าคุณสุลักษณ์มาก
ได้ดูการสัมภาษณ์ออกทีวีของคุณสุลักษณ์ไม่กี่วันที่ผ่านมาเกี่ยวกับกรณีธรรมกาย ดูเหมือนว่าเธอจะย้ำคิดย้ำพูดในเรื่องที่เธอตั้งธงไว้จนน่าเบื่อ และจนเห็นหางฉันทาคติแพลมๆ (นี่เห็นแค่หางนะครับ?) ต้องยอมรับว่า สิ่งที่เป็นเสน่ห์ต่อผู้ฟังของคุณสุลักษณ์ในการพูด วิจารณ์พระพุทธศาสนาก็คือเธอมักจะใช้ “ไทยคำ บาลีคำ” ในการพูด สร้างความประทับใจแก่ผู้ฟังระดับหนึ่งว่าคนๆ นี้มีภูมิ เหมือนที่สมัยหนึ่งเราเคยทึ่งคนที่พูด “ไทยคำ อังกฤษคำ” ว่าหมอนี่ท่าจะเรียนมาสูงฉันใดก็ฉันนั้น
โดยส่วนตัว...ผมไม่เชื่อว่าคนอย่างส. ศิวะรักษ์จะมีความรู้และศักยภาพพอที่จะชี้นำสังคมไทยในเรื่องพระพุทธศาสนาพอ เธอเที่ยวพร่ำสอนและเขียนหนังสือบอกคนอื่นเสมอๆ เรื่องการเป็นพุทธที่ดีเป็นอย่างไรและการมองพระว่ารูปนั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่ตัวเธอเองเวลาแสดงความเห็นก็มักจะแสดงอาการ สีหน้า แววตาและน้ำเสียง ของการ เกรี้ยวกราด ข่ม ปรามาส และความเป็นอัตตานิยมเสมอๆ อีกประการหนึ่งก็คือการไม่อยู่กับร่องกับรอยในความเห็นของตัวเธอเอง ขอยกตัวอย่างเป็นสังเขปสั้นๆ นะครับ
- ระยะหลังๆ มานี้เธอมักจะแสดงความเห็นต่อต้านเรื่อง ยศ หรือสมณศักดิ์ของพระว่าไม่ควร แต่คงจะลืมไปว่าเธอเคยเขียนบ่นน้อยอกน้อยใจเกือบหน้ากระดาษกับอีกครึ่งในหนังสือ “คันฉ่องส่องศาสนา"ว่า “พระ” ที่วัดทองนพคุณที่เธอนับถือนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะไม่ได้เลื่อนสมณศักดิ์มาหลายปีแล้ว คืออยากให้พระที่ตัวเองศรัทธาได้รับสมณศักดิ์สูงขึ้น แต่อีกด้านกลับด่าพระเรื่องรับสมณศักดิ์????...
- เธอโจมตีสมเด็จช่วงมาตลอดถึงความเป็นพระที่ยังไม่สมบูรณ์และไม่คู่ควรต่อตำแหน่งสังฆราช ว่าขาดวิหารธรรมและยังติดธุระทางโลกอยู่ คุณสุลักษณ์คงจะลืมหรือแกล้งลืมไปกระมังว่า สมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนวัดบวรนิเวศฯ(สมเด็จพระญาณสังวร) ที่คุณสุลักษณ์ยกย่องและนับถืออยางมากมายนั้น ก่อนที่ท่านจะขึ้นเป็นสังฆราช ท่านเคยเดินสายเจิมป้ายออกข่าวแทบจะไม่เว้นวันมาเป็นสิบๆ ปี และ “เส้นทาง” การขึ้นสู่ตำแหน่งสังฆราชนั้นรู้สึกว่า “วิหารธรรม” ที่คุณสุลักษณ์มักจะอ้างถึงบ่อยนั้นออกจะบูดๆ เบี้ยวๆ อยู่นะครับ
- คุณสุลักษณ์เคยพูดไว้ที่สำนักสันติอโศกเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2525 ว่าศูนย์กลางพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้นอยู่ที่ลังกาซึ่งมีการปฏิรูปในยุคของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช ซึ่งไทย ลาว เขมร รับอิทธิพลมาจากตรงนั้น บริบทที่คุณสุลักษณ์พูดตรงนั้นก็คือพูดเชียร์สำนักสันติอโศกว่ากำลังปฏิรูปพระพุทธศาสนาแบบกลายๆ แต่ไม่กี่วันมานี้คุณสุลักษณ์ออกทีวีกลับบอกว่าศูนย์กลางของพุทธเถรวาทอยู่ที่เมืองรามัญ....อ้าว! ตกลงที่ไหนแน่ครับ? ที่เธอพูดครั้งล่าสุดนี่เชื่อว่ากำลังพูดเอาใจพระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เพราะรากเง้าของพระธรรมยุติก็มาจากพระมอญหรือรามัญ ตอนพูดเอาใจสันติอโศกก็บอกว่าอยู่ที่ลังกา ตอนพูดเอาใจพระฝ่ายธรรมยุติก็บอกว่าอยู่ที่รามัญ เอาให้แน่ๆ...สักอย่างสิครับ
- คุณสุลักษณ์เคยแสดงทัศนคติเกี่ยวกับสันติอโศกในเชิงให้กำลังใจ(ถ้าจะบอกว่าชะเลียร์ก็อาจจแรงไป)ในทำนองว่าถือว่าเป็นการปฏิรูปพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง และสันติอโศกก็ไม่ควรที่จะเกรงกลัวกฏหมายถ้าหากว่าตัวเองยึดมั่นในพระธรรมวินัย นั่นเป็นสิ่งที่คุณสุลักษณ์พูดไว้ที่สันติอโศกเมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว ซึ่งสรุปก็คือ ให้ยึดพระธรรมวินัยเอาไว้ พระธรรมวินัยจะคุ้มครองท่าน(สันติอโศก)เอง อย่าใส่ใจกฏหมายบ้านเมืองว่าสำคัญกว่า แล้วต่อกรณีธรรมกายที่เธอพูดไว้ไม่กี่วันมานี้ เธอกลับยุยงฝ่ายบ้านเมืองเอากฏหมายเข้าไปเล่นงานธรรมกายเลย แปลกดี....
ที่ยกมานี้เป็นส่วนหนึ่งของความไม่อยู่กับร่องกับรอยของส.ศิวรักษ์ในด้านความคิดและมุมมองที่มีต่อพุทธศาสนา ในด้านความประพฤติ....สำหรับผมแล้วต้องยอมรับว่าผมยังงงๆ อยู่ว่าตกลงส.ศิวรักษ์นี่นับถือพุทธอย่างไร? นิกายกายไหน? ต่อพระสงฆ์ที่เธอไม่ชอบเธอจะด่าแหลกจนบางครั้งถึงกับสิ้นภาพความเป็น “ปราชญ์” ต่อพระสงฆ์ที่เธอชอบเธอก็จะยกไว้เลิศเลอปานอรหันต์ ทั้งๆ ที่เธอเองก็ไม่ได้สัมผัส “วัตร” ของพระที่เธอเกลียดและชอบด้วยตัวเธอเอง ตรงนี้ก็ถือเป็นคุณสมบัติของใครของมันก็แล้วกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าออกจะวิปริตอยู่ก็คือ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตัวคุณสุลักษณ์หลงไหลพุทธนิกายตันตระมากพอสมควร เธอแปลหนังสือประวัติของดาไลลามะ ไปฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน ต่อมา ถึงกับออกหน้าเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะเชิญองค์ดาไลลามะมาเยือนไทย จนมีการกระทบกระทั่งกับรัฐบาลพอหอมปากหอมคอ แล้วกระทบชิ่งไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน
คุณสุลักษณ์พร่ำเสมอๆ ว่าพระควรจะหลีกตัวออกจากสิ่งที่เป็นทางโลกทั้งรูปธรรมและนามธรรม และคุณสุลักษณ์ก็น่าจะพอรู้ว่าพระจากนิกายตันตระอย่างพระลามะในธิเบตนั้นมีวัตรที่อยู่ใกล้ชิดสิ่งที่เป็นทางโลกอยู่มากโข และวัตรตรงนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พุทธศาสนาเริ่มเสื่อมลงและหมดไปในที่ในประเทศอินเดีย ก็คือวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์นิกายตันตระที่เปลี่ยนแปลงสิกขาบทบางสิกขาบทให้เข้ากับทางโลกและเพื่อผสมกลมกลืนและเอาใจชาวฮินดูของอินเดียในช่วงนั้น
ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองส่วนตัวของผม เป็นคันฉ่องส่องส.ศิวรักษ์แบบสั้นๆ เป็นเพียงหินกรวดก้อนเล็กๆ ที่บังอาจออกมาล่อหยก
ความจริงสื่อไทยควรจะปล่อยให้เธอใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่บ้านเธออย่างสงบๆ ดีกว่านะครับ ลองไปเชิญปราชญ์ตามรายนามที่ผมทิ้งไว้ข้างบนมาสัมภาษณ์บ้าง เราอาจจะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างจากมุมมองของส.ศิวรักษ์ที่ย้ำคิดย้ำพูดมาเป็นปีๆ...
….คันฉ่องส่อง ส.ศิวรักษ์...../วัชรานนท์
ทุกวันนี้ เห็นสื่อเชิญไปสัมภาษณ์บ้างออกรายการทีวีบ้างที่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับพุทธศาสนาและการเมือง แล้วอดเป็นห่วงศาสนาและห่วงตัวคุณสุลักษณ์ที่ยามนี้เธอเริ่มจะชราภาพแล้วไม่ได้ ห่วงแรกคือห่วงศาสนา...เกรงว่าสังคมไทยและภาครัฐจะรับเอา “คติ”และ “มุมมอง" ของคุณสุลักษณ์ไปเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติต่อพุทธศาสนา คติและมุมมองของสุลักษณ์ที่ถ่ายทอดออกมาไม่ว่าจะบนจอทีวีหรือตัวหนังสือ เชื่อว่าหลายคนคงสัมผัสได้ถึงความร้อนเร่า กระด้าง และอัตตานิยมสูง หาความเป็นขันติและโสรัจจะได้ลำบาก
ในสายตาผม “ปราชญ์ด้านพุทธศาสนา” ที่เป็นฆราวาสในเมืองไทยยังมีอีกหลายท่านที่ยังไม่อยากแสดงตัวในวงกว้าง อย่างเช่นอาจารย์บรรจบ บรรรณรุจิ, ชรินทร์ จุลคประดิษฐ์, อุทิส เทียนวรรณ, สมภาร พรมทา, สมบัติ มั่งมีสุขศิริ ฯลฯ ตัวคุณสุลักษณ์หากเปรียบกับท่านเหล่านั้นแล้ว แตกต่างกันแค่อายุที่อ่อนกว่าคุณสุลักษณ์ทั้งหมด แต่ความรู้ด้านพระพุทธศาสนานั้นจะลึกซึ้งและตรงดิ่งกว่าคุณสุลักษณ์มาก
ได้ดูการสัมภาษณ์ออกทีวีของคุณสุลักษณ์ไม่กี่วันที่ผ่านมาเกี่ยวกับกรณีธรรมกาย ดูเหมือนว่าเธอจะย้ำคิดย้ำพูดในเรื่องที่เธอตั้งธงไว้จนน่าเบื่อ และจนเห็นหางฉันทาคติแพลมๆ (นี่เห็นแค่หางนะครับ?) ต้องยอมรับว่า สิ่งที่เป็นเสน่ห์ต่อผู้ฟังของคุณสุลักษณ์ในการพูด วิจารณ์พระพุทธศาสนาก็คือเธอมักจะใช้ “ไทยคำ บาลีคำ” ในการพูด สร้างความประทับใจแก่ผู้ฟังระดับหนึ่งว่าคนๆ นี้มีภูมิ เหมือนที่สมัยหนึ่งเราเคยทึ่งคนที่พูด “ไทยคำ อังกฤษคำ” ว่าหมอนี่ท่าจะเรียนมาสูงฉันใดก็ฉันนั้น
โดยส่วนตัว...ผมไม่เชื่อว่าคนอย่างส. ศิวะรักษ์จะมีความรู้และศักยภาพพอที่จะชี้นำสังคมไทยในเรื่องพระพุทธศาสนาพอ เธอเที่ยวพร่ำสอนและเขียนหนังสือบอกคนอื่นเสมอๆ เรื่องการเป็นพุทธที่ดีเป็นอย่างไรและการมองพระว่ารูปนั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่ตัวเธอเองเวลาแสดงความเห็นก็มักจะแสดงอาการ สีหน้า แววตาและน้ำเสียง ของการ เกรี้ยวกราด ข่ม ปรามาส และความเป็นอัตตานิยมเสมอๆ อีกประการหนึ่งก็คือการไม่อยู่กับร่องกับรอยในความเห็นของตัวเธอเอง ขอยกตัวอย่างเป็นสังเขปสั้นๆ นะครับ
- ระยะหลังๆ มานี้เธอมักจะแสดงความเห็นต่อต้านเรื่อง ยศ หรือสมณศักดิ์ของพระว่าไม่ควร แต่คงจะลืมไปว่าเธอเคยเขียนบ่นน้อยอกน้อยใจเกือบหน้ากระดาษกับอีกครึ่งในหนังสือ “คันฉ่องส่องศาสนา"ว่า “พระ” ที่วัดทองนพคุณที่เธอนับถือนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะไม่ได้เลื่อนสมณศักดิ์มาหลายปีแล้ว คืออยากให้พระที่ตัวเองศรัทธาได้รับสมณศักดิ์สูงขึ้น แต่อีกด้านกลับด่าพระเรื่องรับสมณศักดิ์????...
- เธอโจมตีสมเด็จช่วงมาตลอดถึงความเป็นพระที่ยังไม่สมบูรณ์และไม่คู่ควรต่อตำแหน่งสังฆราช ว่าขาดวิหารธรรมและยังติดธุระทางโลกอยู่ คุณสุลักษณ์คงจะลืมหรือแกล้งลืมไปกระมังว่า สมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนวัดบวรนิเวศฯ(สมเด็จพระญาณสังวร) ที่คุณสุลักษณ์ยกย่องและนับถืออยางมากมายนั้น ก่อนที่ท่านจะขึ้นเป็นสังฆราช ท่านเคยเดินสายเจิมป้ายออกข่าวแทบจะไม่เว้นวันมาเป็นสิบๆ ปี และ “เส้นทาง” การขึ้นสู่ตำแหน่งสังฆราชนั้นรู้สึกว่า “วิหารธรรม” ที่คุณสุลักษณ์มักจะอ้างถึงบ่อยนั้นออกจะบูดๆ เบี้ยวๆ อยู่นะครับ
- คุณสุลักษณ์เคยพูดไว้ที่สำนักสันติอโศกเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2525 ว่าศูนย์กลางพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้นอยู่ที่ลังกาซึ่งมีการปฏิรูปในยุคของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช ซึ่งไทย ลาว เขมร รับอิทธิพลมาจากตรงนั้น บริบทที่คุณสุลักษณ์พูดตรงนั้นก็คือพูดเชียร์สำนักสันติอโศกว่ากำลังปฏิรูปพระพุทธศาสนาแบบกลายๆ แต่ไม่กี่วันมานี้คุณสุลักษณ์ออกทีวีกลับบอกว่าศูนย์กลางของพุทธเถรวาทอยู่ที่เมืองรามัญ....อ้าว! ตกลงที่ไหนแน่ครับ? ที่เธอพูดครั้งล่าสุดนี่เชื่อว่ากำลังพูดเอาใจพระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เพราะรากเง้าของพระธรรมยุติก็มาจากพระมอญหรือรามัญ ตอนพูดเอาใจสันติอโศกก็บอกว่าอยู่ที่ลังกา ตอนพูดเอาใจพระฝ่ายธรรมยุติก็บอกว่าอยู่ที่รามัญ เอาให้แน่ๆ...สักอย่างสิครับ
- คุณสุลักษณ์เคยแสดงทัศนคติเกี่ยวกับสันติอโศกในเชิงให้กำลังใจ(ถ้าจะบอกว่าชะเลียร์ก็อาจจแรงไป)ในทำนองว่าถือว่าเป็นการปฏิรูปพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง และสันติอโศกก็ไม่ควรที่จะเกรงกลัวกฏหมายถ้าหากว่าตัวเองยึดมั่นในพระธรรมวินัย นั่นเป็นสิ่งที่คุณสุลักษณ์พูดไว้ที่สันติอโศกเมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว ซึ่งสรุปก็คือ ให้ยึดพระธรรมวินัยเอาไว้ พระธรรมวินัยจะคุ้มครองท่าน(สันติอโศก)เอง อย่าใส่ใจกฏหมายบ้านเมืองว่าสำคัญกว่า แล้วต่อกรณีธรรมกายที่เธอพูดไว้ไม่กี่วันมานี้ เธอกลับยุยงฝ่ายบ้านเมืองเอากฏหมายเข้าไปเล่นงานธรรมกายเลย แปลกดี....
ที่ยกมานี้เป็นส่วนหนึ่งของความไม่อยู่กับร่องกับรอยของส.ศิวรักษ์ในด้านความคิดและมุมมองที่มีต่อพุทธศาสนา ในด้านความประพฤติ....สำหรับผมแล้วต้องยอมรับว่าผมยังงงๆ อยู่ว่าตกลงส.ศิวรักษ์นี่นับถือพุทธอย่างไร? นิกายกายไหน? ต่อพระสงฆ์ที่เธอไม่ชอบเธอจะด่าแหลกจนบางครั้งถึงกับสิ้นภาพความเป็น “ปราชญ์” ต่อพระสงฆ์ที่เธอชอบเธอก็จะยกไว้เลิศเลอปานอรหันต์ ทั้งๆ ที่เธอเองก็ไม่ได้สัมผัส “วัตร” ของพระที่เธอเกลียดและชอบด้วยตัวเธอเอง ตรงนี้ก็ถือเป็นคุณสมบัติของใครของมันก็แล้วกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าออกจะวิปริตอยู่ก็คือ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตัวคุณสุลักษณ์หลงไหลพุทธนิกายตันตระมากพอสมควร เธอแปลหนังสือประวัติของดาไลลามะ ไปฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน ต่อมา ถึงกับออกหน้าเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะเชิญองค์ดาไลลามะมาเยือนไทย จนมีการกระทบกระทั่งกับรัฐบาลพอหอมปากหอมคอ แล้วกระทบชิ่งไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน
คุณสุลักษณ์พร่ำเสมอๆ ว่าพระควรจะหลีกตัวออกจากสิ่งที่เป็นทางโลกทั้งรูปธรรมและนามธรรม และคุณสุลักษณ์ก็น่าจะพอรู้ว่าพระจากนิกายตันตระอย่างพระลามะในธิเบตนั้นมีวัตรที่อยู่ใกล้ชิดสิ่งที่เป็นทางโลกอยู่มากโข และวัตรตรงนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พุทธศาสนาเริ่มเสื่อมลงและหมดไปในที่ในประเทศอินเดีย ก็คือวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์นิกายตันตระที่เปลี่ยนแปลงสิกขาบทบางสิกขาบทให้เข้ากับทางโลกและเพื่อผสมกลมกลืนและเอาใจชาวฮินดูของอินเดียในช่วงนั้น
ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองส่วนตัวของผม เป็นคันฉ่องส่องส.ศิวรักษ์แบบสั้นๆ เป็นเพียงหินกรวดก้อนเล็กๆ ที่บังอาจออกมาล่อหยก
ความจริงสื่อไทยควรจะปล่อยให้เธอใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่บ้านเธออย่างสงบๆ ดีกว่านะครับ ลองไปเชิญปราชญ์ตามรายนามที่ผมทิ้งไว้ข้างบนมาสัมภาษณ์บ้าง เราอาจจะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างจากมุมมองของส.ศิวรักษ์ที่ย้ำคิดย้ำพูดมาเป็นปีๆ...