….คันฉ่องส่อง ส.ศิวรักษ์...../วัชรานนท์

วันที่ 3 มกรา 2525 คุณสุลักษณ์ได้รับเชิญไปพูดที่สำนักสันติอโศก   เธอได้ “ฟุ้ง” อะไรต่อมิอะไรไว้มากมายเกี่ยวกับศาสนา   และเชียร์เจ้าภาพคือสันติอโศกซะเล่นเอาเจ้าสำนักที่นั่งข้างๆ หน้าแดงเขินไปเลย     และยังยกย่องจำลอง ศรีเมือง ศิษย์เอกสันติอโศกเอาไว้ด้วย    สองปีถัดมา...คุณสุลักษณ์ได้รับเชิญไปพูดที่วัดโคนอน จ.นนทบุรี    ผม(ตอนนั้นเป็นสามเณร)ได้มีโอกาสขึ้นไปพูดเรื่องบทบาทของสามเณรในสังคมไทยสิบกว่านาทีเพื่อ “คั่นเวลา” ก่อนคุณสุลักษณ์จะขึ้นร่ายยาว    วันนั้น  แทนที่คุณสุลักษณ์จะพูดเรื่องสันติวิธี   ท่านกลับพูดโจมตีพลตรีจำลอง ศรีเมืองซึ่งตอนนั้นกำลังโด่งดังจากการหาเสียงผู้ว่ากทม. อย่างเมามัน   โดยที่ลืมไปว่าตัวท่านเองเคยพุดยกย่องจำลองไว้อย่างไรตอนที่ท่านได้รับเชิญไปพูดที่สันติอโศกเมื่อวันที่ 3 มกรา 2525       บนเวทีหนึ่งท่านพูดเชียร์ดิบดี  คล้อยหลังไม่กี่ปี  ท่านก็พูดโจมตีสไตส์สุลักษณ์ซะยับเยินบนอีกเวทีหนึ่ง


ทุกวันนี้  เห็นสื่อเชิญไปสัมภาษณ์บ้างออกรายการทีวีบ้างที่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับพุทธศาสนาและการเมือง   แล้วอดเป็นห่วงศาสนาและห่วงตัวคุณสุลักษณ์ที่ยามนี้เธอเริ่มจะชราภาพแล้วไม่ได้   ห่วงแรกคือห่วงศาสนา...เกรงว่าสังคมไทยและภาครัฐจะรับเอา “คติ”และ “มุมมอง" ของคุณสุลักษณ์ไปเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติต่อพุทธศาสนา   คติและมุมมองของสุลักษณ์ที่ถ่ายทอดออกมาไม่ว่าจะบนจอทีวีหรือตัวหนังสือ   เชื่อว่าหลายคนคงสัมผัสได้ถึงความร้อนเร่า  กระด้าง  และอัตตานิยมสูง   หาความเป็นขันติและโสรัจจะได้ลำบาก


ในสายตาผม “ปราชญ์ด้านพุทธศาสนา” ที่เป็นฆราวาสในเมืองไทยยังมีอีกหลายท่านที่ยังไม่อยากแสดงตัวในวงกว้าง  อย่างเช่นอาจารย์บรรจบ  บรรรณรุจิ, ชรินทร์  จุลคประดิษฐ์, อุทิส  เทียนวรรณ, สมภาร พรมทา, สมบัติ มั่งมีสุขศิริ ฯลฯ  ตัวคุณสุลักษณ์หากเปรียบกับท่านเหล่านั้นแล้ว  แตกต่างกันแค่อายุที่อ่อนกว่าคุณสุลักษณ์ทั้งหมด  แต่ความรู้ด้านพระพุทธศาสนานั้นจะลึกซึ้งและตรงดิ่งกว่าคุณสุลักษณ์มาก      


ได้ดูการสัมภาษณ์ออกทีวีของคุณสุลักษณ์ไม่กี่วันที่ผ่านมาเกี่ยวกับกรณีธรรมกาย  ดูเหมือนว่าเธอจะย้ำคิดย้ำพูดในเรื่องที่เธอตั้งธงไว้จนน่าเบื่อ  และจนเห็นหางฉันทาคติแพลมๆ (นี่เห็นแค่หางนะครับ?)  ต้องยอมรับว่า  สิ่งที่เป็นเสน่ห์ต่อผู้ฟังของคุณสุลักษณ์ในการพูด วิจารณ์พระพุทธศาสนาก็คือเธอมักจะใช้ “ไทยคำ บาลีคำ” ในการพูด  สร้างความประทับใจแก่ผู้ฟังระดับหนึ่งว่าคนๆ นี้มีภูมิ    เหมือนที่สมัยหนึ่งเราเคยทึ่งคนที่พูด “ไทยคำ อังกฤษคำ” ว่าหมอนี่ท่าจะเรียนมาสูงฉันใดก็ฉันนั้น   


โดยส่วนตัว...ผมไม่เชื่อว่าคนอย่างส. ศิวะรักษ์จะมีความรู้และศักยภาพพอที่จะชี้นำสังคมไทยในเรื่องพระพุทธศาสนาพอ   เธอเที่ยวพร่ำสอนและเขียนหนังสือบอกคนอื่นเสมอๆ เรื่องการเป็นพุทธที่ดีเป็นอย่างไรและการมองพระว่ารูปนั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร  แต่ตัวเธอเองเวลาแสดงความเห็นก็มักจะแสดงอาการ สีหน้า แววตาและน้ำเสียง ของการ เกรี้ยวกราด  ข่ม  ปรามาส และความเป็นอัตตานิยมเสมอๆ    อีกประการหนึ่งก็คือการไม่อยู่กับร่องกับรอยในความเห็นของตัวเธอเอง  ขอยกตัวอย่างเป็นสังเขปสั้นๆ นะครับ


- ระยะหลังๆ มานี้เธอมักจะแสดงความเห็นต่อต้านเรื่อง ยศ หรือสมณศักดิ์ของพระว่าไม่ควร   แต่คงจะลืมไปว่าเธอเคยเขียนบ่นน้อยอกน้อยใจเกือบหน้ากระดาษกับอีกครึ่งในหนังสือ “คันฉ่องส่องศาสนา"ว่า “พระ” ที่วัดทองนพคุณที่เธอนับถือนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะไม่ได้เลื่อนสมณศักดิ์มาหลายปีแล้ว   คืออยากให้พระที่ตัวเองศรัทธาได้รับสมณศักดิ์สูงขึ้น    แต่อีกด้านกลับด่าพระเรื่องรับสมณศักดิ์????...

- เธอโจมตีสมเด็จช่วงมาตลอดถึงความเป็นพระที่ยังไม่สมบูรณ์และไม่คู่ควรต่อตำแหน่งสังฆราช  ว่าขาดวิหารธรรมและยังติดธุระทางโลกอยู่   คุณสุลักษณ์คงจะลืมหรือแกล้งลืมไปกระมังว่า  สมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนวัดบวรนิเวศฯ(สมเด็จพระญาณสังวร) ที่คุณสุลักษณ์ยกย่องและนับถืออยางมากมายนั้น  ก่อนที่ท่านจะขึ้นเป็นสังฆราช  ท่านเคยเดินสายเจิมป้ายออกข่าวแทบจะไม่เว้นวันมาเป็นสิบๆ ปี    และ “เส้นทาง” การขึ้นสู่ตำแหน่งสังฆราชนั้นรู้สึกว่า “วิหารธรรม” ที่คุณสุลักษณ์มักจะอ้างถึงบ่อยนั้นออกจะบูดๆ เบี้ยวๆ อยู่นะครับ


- คุณสุลักษณ์เคยพูดไว้ที่สำนักสันติอโศกเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2525 ว่าศูนย์กลางพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้นอยู่ที่ลังกาซึ่งมีการปฏิรูปในยุคของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช  ซึ่งไทย ลาว เขมร รับอิทธิพลมาจากตรงนั้น   บริบทที่คุณสุลักษณ์พูดตรงนั้นก็คือพูดเชียร์สำนักสันติอโศกว่ากำลังปฏิรูปพระพุทธศาสนาแบบกลายๆ    แต่ไม่กี่วันมานี้คุณสุลักษณ์ออกทีวีกลับบอกว่าศูนย์กลางของพุทธเถรวาทอยู่ที่เมืองรามัญ....อ้าว! ตกลงที่ไหนแน่ครับ?  ที่เธอพูดครั้งล่าสุดนี่เชื่อว่ากำลังพูดเอาใจพระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย  เพราะรากเง้าของพระธรรมยุติก็มาจากพระมอญหรือรามัญ   ตอนพูดเอาใจสันติอโศกก็บอกว่าอยู่ที่ลังกา  ตอนพูดเอาใจพระฝ่ายธรรมยุติก็บอกว่าอยู่ที่รามัญ   เอาให้แน่ๆ...สักอย่างสิครับ


- คุณสุลักษณ์เคยแสดงทัศนคติเกี่ยวกับสันติอโศกในเชิงให้กำลังใจ(ถ้าจะบอกว่าชะเลียร์ก็อาจจแรงไป)ในทำนองว่าถือว่าเป็นการปฏิรูปพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง   และสันติอโศกก็ไม่ควรที่จะเกรงกลัวกฏหมายถ้าหากว่าตัวเองยึดมั่นในพระธรรมวินัย นั่นเป็นสิ่งที่คุณสุลักษณ์พูดไว้ที่สันติอโศกเมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว  ซึ่งสรุปก็คือ ให้ยึดพระธรรมวินัยเอาไว้ พระธรรมวินัยจะคุ้มครองท่าน(สันติอโศก)เอง อย่าใส่ใจกฏหมายบ้านเมืองว่าสำคัญกว่า   แล้วต่อกรณีธรรมกายที่เธอพูดไว้ไม่กี่วันมานี้  เธอกลับยุยงฝ่ายบ้านเมืองเอากฏหมายเข้าไปเล่นงานธรรมกายเลย  แปลกดี....


ที่ยกมานี้เป็นส่วนหนึ่งของความไม่อยู่กับร่องกับรอยของส.ศิวรักษ์ในด้านความคิดและมุมมองที่มีต่อพุทธศาสนา   ในด้านความประพฤติ....สำหรับผมแล้วต้องยอมรับว่าผมยังงงๆ อยู่ว่าตกลงส.ศิวรักษ์นี่นับถือพุทธอย่างไร? นิกายกายไหน?   ต่อพระสงฆ์ที่เธอไม่ชอบเธอจะด่าแหลกจนบางครั้งถึงกับสิ้นภาพความเป็น “ปราชญ์”  ต่อพระสงฆ์ที่เธอชอบเธอก็จะยกไว้เลิศเลอปานอรหันต์  ทั้งๆ ที่เธอเองก็ไม่ได้สัมผัส “วัตร” ของพระที่เธอเกลียดและชอบด้วยตัวเธอเอง  ตรงนี้ก็ถือเป็นคุณสมบัติของใครของมันก็แล้วกัน   แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าออกจะวิปริตอยู่ก็คือ   มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตัวคุณสุลักษณ์หลงไหลพุทธนิกายตันตระมากพอสมควร  เธอแปลหนังสือประวัติของดาไลลามะ  ไปฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน  ต่อมา  ถึงกับออกหน้าเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะเชิญองค์ดาไลลามะมาเยือนไทย  จนมีการกระทบกระทั่งกับรัฐบาลพอหอมปากหอมคอ  แล้วกระทบชิ่งไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน


คุณสุลักษณ์พร่ำเสมอๆ ว่าพระควรจะหลีกตัวออกจากสิ่งที่เป็นทางโลกทั้งรูปธรรมและนามธรรม   และคุณสุลักษณ์ก็น่าจะพอรู้ว่าพระจากนิกายตันตระอย่างพระลามะในธิเบตนั้นมีวัตรที่อยู่ใกล้ชิดสิ่งที่เป็นทางโลกอยู่มากโข   และวัตรตรงนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พุทธศาสนาเริ่มเสื่อมลงและหมดไปในที่ในประเทศอินเดีย  ก็คือวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์นิกายตันตระที่เปลี่ยนแปลงสิกขาบทบางสิกขาบทให้เข้ากับทางโลกและเพื่อผสมกลมกลืนและเอาใจชาวฮินดูของอินเดียในช่วงนั้น   


ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองส่วนตัวของผม  เป็นคันฉ่องส่องส.ศิวรักษ์แบบสั้นๆ  เป็นเพียงหินกรวดก้อนเล็กๆ ที่บังอาจออกมาล่อหยก   

ความจริงสื่อไทยควรจะปล่อยให้เธอใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่บ้านเธออย่างสงบๆ ดีกว่านะครับ   ลองไปเชิญปราชญ์ตามรายนามที่ผมทิ้งไว้ข้างบนมาสัมภาษณ์บ้าง  เราอาจจะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างจากมุมมองของส.ศิวรักษ์ที่ย้ำคิดย้ำพูดมาเป็นปีๆ...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่