จริงๆเขียนขึ้นมาประโยชน์คือ อยากจะทบทวนและเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้
และจริงๆมีอีกหลายสไตล์นะครับที่เกี่ยวกับเรื่อง MM แต่ยังไม่ได้โพส
ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย นั้นก็สุดแล้วแต่บุคคล
แต่ผมแชร์ในสิ่งที่ผมคิดว่า ผมน่าจะช่วยเหลือคนที่กำลังขาดทุน ให้หายขาดทุนได้ และนั้นคือสิ่งที่ผมคาดหวังในการทำความดีครับ
----------------
ก่อนอื่นผมได้ทำ EXCEL ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกำหนดวิธีการเทรดอย่างเป็นระบบ เดี๋ยวผมจะอธิบายผมทีละขั้นตอนนะครับ
พร้อมอธิบายความเข้าใจในเรื่องต่างๆให้ถูกต้องด้วย เริ่มกันเลยครับ
จากภาพขอโทษทีตัวเล็ก
คอลัมซ้ายสุด ผมจะเขียนว่า "SET" นั้นแปลว่า เวลาเราเทรด FOREX หรือเทรดหุ้น เทรดอะไรก็ตามปัญหาที่มักเจอคือ
"การที่เทรดเดอร์ชอบที่จะมองการเทรดเป็นเรื่องของครั้งต่อครั้งไป เช่นครั้งนี้ชนะ ดีใจมาก ครั้งนี้แพ้ เสียใจมาก
ซึ่งผมขออนุญาตเรียนในความเห็นส่วนตัวว่า ไม่ถูกต้องครับ เพราะจริงๆแล้ว
เราควรจะต้องเทรดเป็น เช็ต (SET) หรือกลุ่มการเทรด (GROUP) มากกว่าที่จะเทรดครั้งเดียว แล้วดูผลลัพธ์
โดยกลุ่มการเทรดขนาดเล็กที่สุดในมุมมองผมคือ 20 ครั้งการเทรดครับ แล้วจึงค่อยมาดูผลลัพธ์กันว่าเป็นเช่นไร
ถ้าใครเคยเรียนป.โทมา เวลาอาจารย์ที่ปรึกษาให้ไปเก็บข้อมูลงานวิจัย อาจารย์ก็จะบอกว่า ต้องเก็บให้ ซิกนะ (SIGNIFICANCE)
คือ เราต้องเก็บจำนวนกลุ่มตัวอย่างให้มากพอที่จะบอกได้ว่า วิธีหรือสิ่งที่เราคิดถูกต้องหรือไม่
ซึ่งเรื่องนี้หากมองกับการเทรดแล้ว ค่อนข้างคลายกับครับ เทรดเดอร์หลายๆคน เทรดด้วยวิธีการแบบหนึ่ง สมมติว่า MACD
(ซึ่งผมไม่นิยมใช้นะ แต่ยกตัวอย่างเฉย)
เทรดไปสัก 5 ครั้ง ไม่สำเร็จ ก็จบลงที่ว่า MACD ไม่ได้เรื่อง
สิ่งที่เทรดเดอร์ทำคือ "เปลี่ยนวิธีการครับ" เปลี่ยนไปใช้ RSI บ้าง ไปใช้ STO บ้าง ใช้ CROSSOVER บ้าง
บ้างคนลองทำทุกอย่างแล้ว ไม่สำเร็จ ก็จะเข็ดกับเทรดหุ้นไปเลย
ซึ่งความลับมันอยู่ตรงนี้ครับว่า
จริงๆแล้วหากเทรดเดอร์เทรดไปสัก 20 ครั้ง (1เช็ต หรือ 1 กลุ่มการเทรด)
ผลลัพธ์อาจจะดีก็ได้ ผมเชื่อว่า เทรดเดอร์กลุ่มนี้ อาจไม่เคยเทรดด้วย MACD เกิน 100 ครั้งครับ
(100 ครั้งในมุมมองผมถือว่า ซิกแล้วนะครับ) หรืออาจจะเทรดแบบมั่วๆ ไม่เคยจดบันทึก ผิดพลาดอะไร ก็ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก
หรืออาจจะไม่มีวิธีการที่ถูกต้อง อันนี้ผมไม่อาจทราบได้
--------------
แต่ถ้าสมมติทำไป 100 ครั้งแล้วจริงๆ ถ้าไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนวิธีการอื่นๆเถอะ
หรืออาจเป็นเพราะว่าจริงๆ ไม่ใช่ MACD ไม่ได้ผลหรอก แต่เทรดเดอร์ขาดองค์ประกอบอื่นๆไปอย่าง MM หรือว่า TRADE SETUP ไป
(แต่ผมไม่มีความเห็นเกี่ยวกับ MACD นะครับ คือผมไม่ได้ใช้มัน แค่นำมาพูดยกตัวอย่างเฉยๆ)
ซึ่งเดียวผมจะอธิบายมันทั้งหมดครับ แต่ประเด็นที่อยากจะย้ำไว้ตรงนี้ก็คือ เทรดเดอร์ควรต้องเทรดให้ได้กลุ่มตัวอย่างการเทรดจำนวนหนึ่งก่อน
แล้วค่อยบอกว่า วิธีนั้นดีหรือไม่ดีครับ เพราะฉะนั้นครับ 1 set ที่ผมยกตัวอย่างจะมี 20 ครั้งการเทรดนะครับ และเป็น set เล็กที่สุด
SET คือกลุ่มการเทรด และเลข 2 คือ เป็นชุดที่สองแล้วครับ กล่าวคือ ผมเทรดไปแล้ว 20 ครั้ง นี่กำลังจะเป็น SET ที่ 2 หรือครั้งที่ 21 ของการเทรดนั้นเอง
----------------------
ถัดมาครับ ด้านล่างของคำว่า ROUNDS หรือแปลว่า รอบครับ ก็ตรงตัวอะครับ รอบที่เท่าไหร่ ก็ไล่ไปตั้งแต่ 1-20 ครับ
---------------
ถัดมาในด้านขวามือครับจะเขียน INSTRUMENT หรือสินค้าที่เราเทรดอะครับ
ถ้าเทรดทองคำ เราก็ใส่ GOLD
ถ้าเทรดน้ำมัน เราก็ใส่ oil
เทรดคู่ดอลล่าร์ แคนาดา ก็ใส่ USDCAD ลงไปก็ตรงด้วยครับ
---------------------
ถัดมาจะเป็นคำว่า MIN STOP / SPREAD
เราก็กรอกไปครับ ดูใน MT4 อะครับกดหัวข้อรายละเอียด
ที่ต้องให้กรอกมันมีเหตุผลครับ คือ เราต้องการรู้ว่า STOP LOSS ที่ใกล้ที่สุดที่เราวางได้คือเท่าไหร่
อย่างเช่นทองคำนะครับ STOP LOSS ใกล้สุดคือ 100 ซึ่งหมายถึง ถ้าคุณ LONG 1220.00
STOP LOSS ที่คุณวางได้คือ 1219.00 ครับ เพราะมันคือ 100 ครับ
-------------
ต่อมาก็คือ SPREAD หรือทำมุมมองผมมันก็คือ ค่าคอมมิสชั่นที่โบรกเกอร์ กินคุณนั้นแหละครับ
อย่างทองคำ ผมใช้โบรกเกอร์ XM บัญชี MINI มันกินไป 45 ก็ตีคราวแล้วกัน
ถ้า LONG 1220 มันก็จะประมาณ 1220.50 ประมาณนี้
---------------
พอพูดถึง SPREAD อธิบายเพิ่มเติมหน่อย มันจะกินทั้งสองขานะครับ ทั้งเปิด และ ปิด สถานะ
เวลาคุณ LONG มันจะไปเคาะให้ที่ราคา ASK ลองกดใน MT4 ก็ได้ครับ เลือกให้เส้น ASK ออกมา
จะเป็นเส้นสีแดงครับๆ
เวลาคุณถือ LONG อยู่แล้ว จะปิดสถานะขายทิ้ง มันจะขายให้ที่ BID ครับ
หลายคนคงสงสัยมีเส้น BID หรอ คำตอบคือ ไม่มีครับ เส้น BID
แต่เส้น BID ตัวมันเองคือ ตัวกราฟแท่งเทียนเองเลยครับ คุณเห็นค่ามันเป็นเท่าไหร่ นั้นแหละคือ ราคา BID โดยอัตโนมัติ
ดังนั้น เวลาคุณ LONG มันจะเคาะที่เส้น ASK เวลาคุณปิดสถานะ มันก็จะโยนไปราคาแท่งเทียนปัจจุบัน
ดังนั้นเช่นกัน คุณ SHORT มันจะเคาะไปที่ราคาแท่งเทียนปัจจุบันครับ เวลาคุณปิดสถานะ มันก็ไปเคาะให้ที่เส้น ASK ครับ
เพราะฉะนั้นหากคุณจะกำไรขา LONG เมื่อคุณเคาะเส้น ASK แล้ว คุณต้องรอให้แท่งเทียน (เส้น BID ธรรมชาติ) วิ่งมาเกินเส้น ASK ครับ
สำหรับขา SHORT เมื่อคุณเคาะที่แท่งเทียนแล้ว (เส้น BID ธรรมชาติ) คุณต้องรอให้เส้น ASK มาวิ่งผ่านราคาที่เข้าสถานะลงไปครับ
และนั้นคือ ความหมายของ SPREAD ครับ
ตัวอย่างภาพครับ
ราคา BID คือตัวแท่งเทียน เห็นไหมครับ
ราคา ASK คือ เส้นสีแดงที่คุณเห็น
และนั้นคือ SPREAD
--------------------
ถัดมาครับ จะเป็นคำที่ผมเขียนว่า THEME ครับ
ซึ่งตรงนี้ มันเป็นเกี่ยวข้องกับ TECHNICAL ของแต่ละบุคคลในการเล่นกราฟครับ
แต่ประเด็นที่ผมจะย้ำนะครับ แล้วผมเห็นว่า สำคัญมาก
ผมเชื่อด้วยประสบการณ์ของผม 2 ปีนะครับว่า TECHNICAL เพียวๆ ช่วยในเรื่องดูทิศทางตลาดได้
2 ปีที่ผ่านมา ผมครับเป็นคนนึงที่อ่านหนังสือ TECHNICAL แล้วเทรดไม่สำเร็จ
แต่ก็ไม่ใช่ว่า วันนี้สำเร็จอะไรมากมายอะไร แต่ก็อยู่ในระดับที่เมื่อเทียบกับ 2 ปีที่แล้ว ผมคิดว่า ผมพัฒนาสำหรับตัวเองมาไกล
----------
ดังนั้นครับ สิ่งที่เทรดเดอร์ทต้องมีนอกจากนั้น TECHNICAL แล้วคือ SETUP การเทรดครับ
ผมยกตัวอย่างแบบง่ายๆสุดเลยนะครับ สมมติว่า แท่งเทียน HAMMER
โอเคเบสิกมันคือการกลับตัว whatever จะพูด
คำถามคือ เราวาง SETUP แบบไหนครับ จะเทรดอย่างไรกับแท่งเทียน HAMMER
ซึ่งส่วนตัวผม สำหรับ HAMMER ผมมี 4 SETUP ครับ
1. BUY ON DIP 50% ของหาง
2. BUY CLOSE HAMMER ซื้อราคาปิด HAMMER
3. BUY NEXT CANDLE คือเปิดมาตรงไหน ก็ซื้อเลย
4. BUY NEXT CANDLE CLOSE คือราคาปิดแท่งถัดไปตรงไหน ก็ซื้อปิดมาครับ
อะนี่คือ SETUP การ BUY
แล้ว SETUP ในการคัสหากผิดทิศทางละ? ก็เบสิกที่สุด ก็วางไว้ใต้หาง HAMMER ครับ
นี่คือ ตัวอย่างนะครับของ แท่งเทียนแท่งเดียวที่เราต้องมี SETUP ของการเทรดให้มัน ไม่งั้นก็จะเทรดไม่ได้ครับ
ซึ่งผมยอมรับครับว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมันมีองค์ประกอบอื่นๆแบบ dow theory แนวรับแนวต้าน trendline ema/sma ฯลฯ
จะพรรณา แต่ประเด็นคือ ท่านที่เข้ามาอ่านเทรดแบบไหนอยู่ ก็เทรดต่อไปครับ แค่เอาแนวคิดให้มันเป็นระบบมากขึ้นแค่นันเอง
ภาพตัวอย่าง THEME ที่ผมเทรดใน SET 1
------------------
ภาพต่อมา ก็จะเป็นเรื่องของการวิเคราะห์กราฟแล้วละครับ ก็เทคนิคคอลทั่วไป
เราจะได้รู้ว่า เราเข้าสถานะด้วยอะไร มีเหตุผลมากพอหรือไม่
จากภาพครับ ข้างบนสุด ก็เป็นวิธีการของผมที่ใช้ PRICE ACTION ที่เรียนรู้มาจาก NIAL FULLER และอาจารย์ ANDREW JEKEN
ถ้าผมไม่ได้เรื่องไม่เกี่ยวกับคนสอนนะครับ เกี่ยวกับตัวผมไม่ได้เรื่องเองมากกว่า
---------------
หัวข้อถัดมาจะเป็นหัวข้อ SIGNAL นะครับ
ก็คือ สัญญาณแท่งเทียนที่เกิดขึ้นอะไรที่ทำให้เราเข้า
อย่างตัวอย่างผมก็เขียนว่า PIN BAR ครับ เพราะผมใช้เทรดทองคำเมื่อ 2-3 วันก่อน ในกราฟราย 4 ชั่วโมง
และตรงนั้นบนหาง พินบาร์ ก็เป็นแนวต้านที่สำคัญระดับ 1264
SETUP เทรดก็ SHORT แล้ววาง STOP ไว้บนหางพินบาร์
ช่องถัดมา ถ้าท่านมองดีๆจะเป็นสีเหลืองๆครับ เขียนว่า P แปลว่า POINT ครับ
คือเราก็ให้คะแนนว่า PIN BAR ที่เราจะเข้าสถานะเนี่ย มันแข็งแกร่งแค่ไหน
สำหรับเกณฑ์ตัวผมนะครับ คะแนน 0 คือไม่มีไรเลย 1คือดี 2 คือดีมากๆ
คะแนน -1 คือสวนทางไม่ได้เปรียบ -2 คือ ทำไปมีโอกาสโดนได้มากๆ (บางทีเราเข้าสถานะไปก่อน แล้วค่อยมาดูกราฟ 555+)
ตัวอย่าง -1 ก็แบบไป LONG ที่ในทิศทางที่มันกำลังลงอยู่ แล้วแนวรับก็ไม่แข็ง มีแท่งเทียนอยู่ไม่มาก
ตัวอย่าง -2 ก็แบบเมื่อวานอะครับ ที่ผมไป SHORT ทองคำที่แนวรับ TRENDLINE 1237 แล้วมันดีดใส่
(นั้นแหละคือ การเข้าไปก่อน แล้วมาดูกราฟทีหลัง) เพื่อนๆคงงง อ้าวแล้วมาแนะนำได้ไง
ก็ตัว EXCEL มันเป็นระบบนะครับ มันกรองเราได้ทุกอย่าง อยู่ที่ว่า เราจะทำรึเปล่าเท่านั้นเอง
และก็จะมีคะแนนให้เราใส่ในช่อง P เหมือนเดิมครับ ถ้าดีมากก็ใส่ 2 ดี 1 ไม่มีไรเลย 0 เสียเปรียบ -1 ขาดทุนแน่ๆ -2
------------
ช่องถัดมาก็เป็น PATTERN ครับ
ถ้ามีก็ใส่ ถ้าไม่มีก็ว่างไว้ ก็ไม่ได้คะแนนไป
ถ้ามีก็จะดี อย่างทองคำหลุด UPTRENDLINE เมื่อวานนี้ พร้อมกับ PINBAR อันใหญ่
ถ้ามีทั้งสอง เราก็จะกรอกได้คะแนนทั้งสองช่องนี้ครับ (กรอกคะแนนในช่อง P เหมือนเดิมนะ)
------------------
ช่องถัดมาก็เป็นคำว่า TREND (LINE)
ถ้ามีแนวรับ / แนวต้าน แบบเป็นเส้น TRENDLINE DOWN/UP เราก็จะได้คะแนนช่องนี้ครั
อย่างตัวอย่าง ผมเทรดน้ำมันที่แนวต้านครับ ในการเทรดครั้งที่ 6 เห็นไหมครับ
THEME ผมเขียนว่า "ติดแนวต้าน"
ในช่อง TRENDLINE ผมก็เขียนว่ามันเป็น DOWN TRENDLINE ครับ
แล้วผมก็ให้คะแนนตัวอย่าง 2 คะแนนในช่อง P ครับ
(แต่การเทรดครั้งนี้ผมขาดทุนนะเนื่องจาก STOP LOSS สั้นไป เข้าสถาน 54.20 CUT LOSS 54.40
มันวิ่งไปชน 54.40 แล้วไหลลงไม่เป็นท่าเลย เออแล้วผมลืมคำนวณ SPREAD ไปด้วยแหละ SPREAD น้ำมันคือ +5 นะครับ
เพราะฉะนั้น ต้องตั้งเผื่อไว้หน่อย เพราะจริงๆ มันอาจจะยังไม่ถึง 54.40 หรอก แต่เพราะ SPREAD มันถึงไปโดน STOP LOSS เข้า
อะภาพครับ
--------------
ต่อไปก็คือ FIBONACCI
จริงๆมันก็มีแหละครับ แต่ผมแค่ยังไม่ชำชองมันมากแค่นั้นเอง
หลักก็จะใช้วัดตอนที่ กราฟลงแล้ว ดีดกลับมาไกลได้ถึงไฮเดิม
เพราะฉะนั้น องค์ประกอบขาลงถูกทำลายไปบางส่วนนั้นคือ ไม่มีไฮที่ต่ำลงแล้ว
แต่มีไฮเท่ากัน ตรงนี้มันจะเป็น PATTERN หัวไหล่ แบบกลับหัวครับ
แต่ด้วยการเทรดมาสักระยะ การซื้อ BREAK HIGH ไม่ใช่ทางออกครับ
เพราะมันตั้ง SETUP ที่มี RISK - REWARD ที่ดีไม่ได้ มันต้องเป็นการซื้อย่อมากกว่า
ตัวอย่างที่ผมเอามาให้ดูเป็นกราฟ EUUS ครับ กราฟเป็นขาลง ลงๆๆๆ
แล้วก็มีรีบาวน์แรงครับมาที่ไฮเดิม เท่ากัน เพราะฉะนั้นองค์ประกอบขาลงถูกทำลายไปบางส่วน
(ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ TIME FRAME ที่เทรดนะครับ อย่างกราฟที่เอามาเป็น 1 ชั่วโมง)
คราวนี้พอเราดูแตกย่อยๆเข้าไปก็จะเห็นว่า มันมีความคล้ายคลึง PATTERN แบบกลับหัวครับ
มันก็เป็นการตีที่จะตั้ง SETUP ย่อซื้อ ไม่ใช่ไล่ราคา
แต่ที่บอกไปครับ เพราะเน้นดูกลุ่มเพื่อนมันมากกว่า ฟิโบ ผมถึงไม่ค่อยช่ำชองมันครับ
จุดที่เพื่อนๆมันอยู่ก็ใกล้เคียงกับฟิโบ 50% แหละ
60 นาที
30 นาที
แชร์วิธีการเทรดอย่างเป็นระบบ FOREX
และจริงๆมีอีกหลายสไตล์นะครับที่เกี่ยวกับเรื่อง MM แต่ยังไม่ได้โพส
ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย นั้นก็สุดแล้วแต่บุคคล
แต่ผมแชร์ในสิ่งที่ผมคิดว่า ผมน่าจะช่วยเหลือคนที่กำลังขาดทุน ให้หายขาดทุนได้ และนั้นคือสิ่งที่ผมคาดหวังในการทำความดีครับ
----------------
ก่อนอื่นผมได้ทำ EXCEL ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกำหนดวิธีการเทรดอย่างเป็นระบบ เดี๋ยวผมจะอธิบายผมทีละขั้นตอนนะครับ
พร้อมอธิบายความเข้าใจในเรื่องต่างๆให้ถูกต้องด้วย เริ่มกันเลยครับ
จากภาพขอโทษทีตัวเล็ก
คอลัมซ้ายสุด ผมจะเขียนว่า "SET" นั้นแปลว่า เวลาเราเทรด FOREX หรือเทรดหุ้น เทรดอะไรก็ตามปัญหาที่มักเจอคือ
"การที่เทรดเดอร์ชอบที่จะมองการเทรดเป็นเรื่องของครั้งต่อครั้งไป เช่นครั้งนี้ชนะ ดีใจมาก ครั้งนี้แพ้ เสียใจมาก
ซึ่งผมขออนุญาตเรียนในความเห็นส่วนตัวว่า ไม่ถูกต้องครับ เพราะจริงๆแล้ว
เราควรจะต้องเทรดเป็น เช็ต (SET) หรือกลุ่มการเทรด (GROUP) มากกว่าที่จะเทรดครั้งเดียว แล้วดูผลลัพธ์
โดยกลุ่มการเทรดขนาดเล็กที่สุดในมุมมองผมคือ 20 ครั้งการเทรดครับ แล้วจึงค่อยมาดูผลลัพธ์กันว่าเป็นเช่นไร
ถ้าใครเคยเรียนป.โทมา เวลาอาจารย์ที่ปรึกษาให้ไปเก็บข้อมูลงานวิจัย อาจารย์ก็จะบอกว่า ต้องเก็บให้ ซิกนะ (SIGNIFICANCE)
คือ เราต้องเก็บจำนวนกลุ่มตัวอย่างให้มากพอที่จะบอกได้ว่า วิธีหรือสิ่งที่เราคิดถูกต้องหรือไม่
ซึ่งเรื่องนี้หากมองกับการเทรดแล้ว ค่อนข้างคลายกับครับ เทรดเดอร์หลายๆคน เทรดด้วยวิธีการแบบหนึ่ง สมมติว่า MACD
(ซึ่งผมไม่นิยมใช้นะ แต่ยกตัวอย่างเฉย)
เทรดไปสัก 5 ครั้ง ไม่สำเร็จ ก็จบลงที่ว่า MACD ไม่ได้เรื่อง
สิ่งที่เทรดเดอร์ทำคือ "เปลี่ยนวิธีการครับ" เปลี่ยนไปใช้ RSI บ้าง ไปใช้ STO บ้าง ใช้ CROSSOVER บ้าง
บ้างคนลองทำทุกอย่างแล้ว ไม่สำเร็จ ก็จะเข็ดกับเทรดหุ้นไปเลย
ซึ่งความลับมันอยู่ตรงนี้ครับว่า
จริงๆแล้วหากเทรดเดอร์เทรดไปสัก 20 ครั้ง (1เช็ต หรือ 1 กลุ่มการเทรด)
ผลลัพธ์อาจจะดีก็ได้ ผมเชื่อว่า เทรดเดอร์กลุ่มนี้ อาจไม่เคยเทรดด้วย MACD เกิน 100 ครั้งครับ
(100 ครั้งในมุมมองผมถือว่า ซิกแล้วนะครับ) หรืออาจจะเทรดแบบมั่วๆ ไม่เคยจดบันทึก ผิดพลาดอะไร ก็ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก
หรืออาจจะไม่มีวิธีการที่ถูกต้อง อันนี้ผมไม่อาจทราบได้
--------------
แต่ถ้าสมมติทำไป 100 ครั้งแล้วจริงๆ ถ้าไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนวิธีการอื่นๆเถอะ
หรืออาจเป็นเพราะว่าจริงๆ ไม่ใช่ MACD ไม่ได้ผลหรอก แต่เทรดเดอร์ขาดองค์ประกอบอื่นๆไปอย่าง MM หรือว่า TRADE SETUP ไป
(แต่ผมไม่มีความเห็นเกี่ยวกับ MACD นะครับ คือผมไม่ได้ใช้มัน แค่นำมาพูดยกตัวอย่างเฉยๆ)
ซึ่งเดียวผมจะอธิบายมันทั้งหมดครับ แต่ประเด็นที่อยากจะย้ำไว้ตรงนี้ก็คือ เทรดเดอร์ควรต้องเทรดให้ได้กลุ่มตัวอย่างการเทรดจำนวนหนึ่งก่อน
แล้วค่อยบอกว่า วิธีนั้นดีหรือไม่ดีครับ เพราะฉะนั้นครับ 1 set ที่ผมยกตัวอย่างจะมี 20 ครั้งการเทรดนะครับ และเป็น set เล็กที่สุด
SET คือกลุ่มการเทรด และเลข 2 คือ เป็นชุดที่สองแล้วครับ กล่าวคือ ผมเทรดไปแล้ว 20 ครั้ง นี่กำลังจะเป็น SET ที่ 2 หรือครั้งที่ 21 ของการเทรดนั้นเอง
----------------------
ถัดมาครับ ด้านล่างของคำว่า ROUNDS หรือแปลว่า รอบครับ ก็ตรงตัวอะครับ รอบที่เท่าไหร่ ก็ไล่ไปตั้งแต่ 1-20 ครับ
---------------
ถัดมาในด้านขวามือครับจะเขียน INSTRUMENT หรือสินค้าที่เราเทรดอะครับ
ถ้าเทรดทองคำ เราก็ใส่ GOLD
ถ้าเทรดน้ำมัน เราก็ใส่ oil
เทรดคู่ดอลล่าร์ แคนาดา ก็ใส่ USDCAD ลงไปก็ตรงด้วยครับ
---------------------
ถัดมาจะเป็นคำว่า MIN STOP / SPREAD
เราก็กรอกไปครับ ดูใน MT4 อะครับกดหัวข้อรายละเอียด
ที่ต้องให้กรอกมันมีเหตุผลครับ คือ เราต้องการรู้ว่า STOP LOSS ที่ใกล้ที่สุดที่เราวางได้คือเท่าไหร่
อย่างเช่นทองคำนะครับ STOP LOSS ใกล้สุดคือ 100 ซึ่งหมายถึง ถ้าคุณ LONG 1220.00
STOP LOSS ที่คุณวางได้คือ 1219.00 ครับ เพราะมันคือ 100 ครับ
-------------
ต่อมาก็คือ SPREAD หรือทำมุมมองผมมันก็คือ ค่าคอมมิสชั่นที่โบรกเกอร์ กินคุณนั้นแหละครับ
อย่างทองคำ ผมใช้โบรกเกอร์ XM บัญชี MINI มันกินไป 45 ก็ตีคราวแล้วกัน
ถ้า LONG 1220 มันก็จะประมาณ 1220.50 ประมาณนี้
---------------
พอพูดถึง SPREAD อธิบายเพิ่มเติมหน่อย มันจะกินทั้งสองขานะครับ ทั้งเปิด และ ปิด สถานะ
เวลาคุณ LONG มันจะไปเคาะให้ที่ราคา ASK ลองกดใน MT4 ก็ได้ครับ เลือกให้เส้น ASK ออกมา
จะเป็นเส้นสีแดงครับๆ
เวลาคุณถือ LONG อยู่แล้ว จะปิดสถานะขายทิ้ง มันจะขายให้ที่ BID ครับ
หลายคนคงสงสัยมีเส้น BID หรอ คำตอบคือ ไม่มีครับ เส้น BID
แต่เส้น BID ตัวมันเองคือ ตัวกราฟแท่งเทียนเองเลยครับ คุณเห็นค่ามันเป็นเท่าไหร่ นั้นแหละคือ ราคา BID โดยอัตโนมัติ
ดังนั้น เวลาคุณ LONG มันจะเคาะที่เส้น ASK เวลาคุณปิดสถานะ มันก็จะโยนไปราคาแท่งเทียนปัจจุบัน
ดังนั้นเช่นกัน คุณ SHORT มันจะเคาะไปที่ราคาแท่งเทียนปัจจุบันครับ เวลาคุณปิดสถานะ มันก็ไปเคาะให้ที่เส้น ASK ครับ
เพราะฉะนั้นหากคุณจะกำไรขา LONG เมื่อคุณเคาะเส้น ASK แล้ว คุณต้องรอให้แท่งเทียน (เส้น BID ธรรมชาติ) วิ่งมาเกินเส้น ASK ครับ
สำหรับขา SHORT เมื่อคุณเคาะที่แท่งเทียนแล้ว (เส้น BID ธรรมชาติ) คุณต้องรอให้เส้น ASK มาวิ่งผ่านราคาที่เข้าสถานะลงไปครับ
และนั้นคือ ความหมายของ SPREAD ครับ
ตัวอย่างภาพครับ
ราคา BID คือตัวแท่งเทียน เห็นไหมครับ
ราคา ASK คือ เส้นสีแดงที่คุณเห็น
และนั้นคือ SPREAD
--------------------
ถัดมาครับ จะเป็นคำที่ผมเขียนว่า THEME ครับ
ซึ่งตรงนี้ มันเป็นเกี่ยวข้องกับ TECHNICAL ของแต่ละบุคคลในการเล่นกราฟครับ
แต่ประเด็นที่ผมจะย้ำนะครับ แล้วผมเห็นว่า สำคัญมาก
ผมเชื่อด้วยประสบการณ์ของผม 2 ปีนะครับว่า TECHNICAL เพียวๆ ช่วยในเรื่องดูทิศทางตลาดได้
2 ปีที่ผ่านมา ผมครับเป็นคนนึงที่อ่านหนังสือ TECHNICAL แล้วเทรดไม่สำเร็จ
แต่ก็ไม่ใช่ว่า วันนี้สำเร็จอะไรมากมายอะไร แต่ก็อยู่ในระดับที่เมื่อเทียบกับ 2 ปีที่แล้ว ผมคิดว่า ผมพัฒนาสำหรับตัวเองมาไกล
----------
ดังนั้นครับ สิ่งที่เทรดเดอร์ทต้องมีนอกจากนั้น TECHNICAL แล้วคือ SETUP การเทรดครับ
ผมยกตัวอย่างแบบง่ายๆสุดเลยนะครับ สมมติว่า แท่งเทียน HAMMER
โอเคเบสิกมันคือการกลับตัว whatever จะพูด
คำถามคือ เราวาง SETUP แบบไหนครับ จะเทรดอย่างไรกับแท่งเทียน HAMMER
ซึ่งส่วนตัวผม สำหรับ HAMMER ผมมี 4 SETUP ครับ
1. BUY ON DIP 50% ของหาง
2. BUY CLOSE HAMMER ซื้อราคาปิด HAMMER
3. BUY NEXT CANDLE คือเปิดมาตรงไหน ก็ซื้อเลย
4. BUY NEXT CANDLE CLOSE คือราคาปิดแท่งถัดไปตรงไหน ก็ซื้อปิดมาครับ
อะนี่คือ SETUP การ BUY
แล้ว SETUP ในการคัสหากผิดทิศทางละ? ก็เบสิกที่สุด ก็วางไว้ใต้หาง HAMMER ครับ
นี่คือ ตัวอย่างนะครับของ แท่งเทียนแท่งเดียวที่เราต้องมี SETUP ของการเทรดให้มัน ไม่งั้นก็จะเทรดไม่ได้ครับ
ซึ่งผมยอมรับครับว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมันมีองค์ประกอบอื่นๆแบบ dow theory แนวรับแนวต้าน trendline ema/sma ฯลฯ
จะพรรณา แต่ประเด็นคือ ท่านที่เข้ามาอ่านเทรดแบบไหนอยู่ ก็เทรดต่อไปครับ แค่เอาแนวคิดให้มันเป็นระบบมากขึ้นแค่นันเอง
ภาพตัวอย่าง THEME ที่ผมเทรดใน SET 1
------------------
ภาพต่อมา ก็จะเป็นเรื่องของการวิเคราะห์กราฟแล้วละครับ ก็เทคนิคคอลทั่วไป
เราจะได้รู้ว่า เราเข้าสถานะด้วยอะไร มีเหตุผลมากพอหรือไม่
จากภาพครับ ข้างบนสุด ก็เป็นวิธีการของผมที่ใช้ PRICE ACTION ที่เรียนรู้มาจาก NIAL FULLER และอาจารย์ ANDREW JEKEN
ถ้าผมไม่ได้เรื่องไม่เกี่ยวกับคนสอนนะครับ เกี่ยวกับตัวผมไม่ได้เรื่องเองมากกว่า
---------------
หัวข้อถัดมาจะเป็นหัวข้อ SIGNAL นะครับ
ก็คือ สัญญาณแท่งเทียนที่เกิดขึ้นอะไรที่ทำให้เราเข้า
อย่างตัวอย่างผมก็เขียนว่า PIN BAR ครับ เพราะผมใช้เทรดทองคำเมื่อ 2-3 วันก่อน ในกราฟราย 4 ชั่วโมง
และตรงนั้นบนหาง พินบาร์ ก็เป็นแนวต้านที่สำคัญระดับ 1264
SETUP เทรดก็ SHORT แล้ววาง STOP ไว้บนหางพินบาร์
ช่องถัดมา ถ้าท่านมองดีๆจะเป็นสีเหลืองๆครับ เขียนว่า P แปลว่า POINT ครับ
คือเราก็ให้คะแนนว่า PIN BAR ที่เราจะเข้าสถานะเนี่ย มันแข็งแกร่งแค่ไหน
สำหรับเกณฑ์ตัวผมนะครับ คะแนน 0 คือไม่มีไรเลย 1คือดี 2 คือดีมากๆ
คะแนน -1 คือสวนทางไม่ได้เปรียบ -2 คือ ทำไปมีโอกาสโดนได้มากๆ (บางทีเราเข้าสถานะไปก่อน แล้วค่อยมาดูกราฟ 555+)
ตัวอย่าง -1 ก็แบบไป LONG ที่ในทิศทางที่มันกำลังลงอยู่ แล้วแนวรับก็ไม่แข็ง มีแท่งเทียนอยู่ไม่มาก
ตัวอย่าง -2 ก็แบบเมื่อวานอะครับ ที่ผมไป SHORT ทองคำที่แนวรับ TRENDLINE 1237 แล้วมันดีดใส่
(นั้นแหละคือ การเข้าไปก่อน แล้วมาดูกราฟทีหลัง) เพื่อนๆคงงง อ้าวแล้วมาแนะนำได้ไง
ก็ตัว EXCEL มันเป็นระบบนะครับ มันกรองเราได้ทุกอย่าง อยู่ที่ว่า เราจะทำรึเปล่าเท่านั้นเอง
และก็จะมีคะแนนให้เราใส่ในช่อง P เหมือนเดิมครับ ถ้าดีมากก็ใส่ 2 ดี 1 ไม่มีไรเลย 0 เสียเปรียบ -1 ขาดทุนแน่ๆ -2
------------
ช่องถัดมาก็เป็น PATTERN ครับ
ถ้ามีก็ใส่ ถ้าไม่มีก็ว่างไว้ ก็ไม่ได้คะแนนไป
ถ้ามีก็จะดี อย่างทองคำหลุด UPTRENDLINE เมื่อวานนี้ พร้อมกับ PINBAR อันใหญ่
ถ้ามีทั้งสอง เราก็จะกรอกได้คะแนนทั้งสองช่องนี้ครับ (กรอกคะแนนในช่อง P เหมือนเดิมนะ)
------------------
ช่องถัดมาก็เป็นคำว่า TREND (LINE)
ถ้ามีแนวรับ / แนวต้าน แบบเป็นเส้น TRENDLINE DOWN/UP เราก็จะได้คะแนนช่องนี้ครั
อย่างตัวอย่าง ผมเทรดน้ำมันที่แนวต้านครับ ในการเทรดครั้งที่ 6 เห็นไหมครับ
THEME ผมเขียนว่า "ติดแนวต้าน"
ในช่อง TRENDLINE ผมก็เขียนว่ามันเป็น DOWN TRENDLINE ครับ
แล้วผมก็ให้คะแนนตัวอย่าง 2 คะแนนในช่อง P ครับ
(แต่การเทรดครั้งนี้ผมขาดทุนนะเนื่องจาก STOP LOSS สั้นไป เข้าสถาน 54.20 CUT LOSS 54.40
มันวิ่งไปชน 54.40 แล้วไหลลงไม่เป็นท่าเลย เออแล้วผมลืมคำนวณ SPREAD ไปด้วยแหละ SPREAD น้ำมันคือ +5 นะครับ
เพราะฉะนั้น ต้องตั้งเผื่อไว้หน่อย เพราะจริงๆ มันอาจจะยังไม่ถึง 54.40 หรอก แต่เพราะ SPREAD มันถึงไปโดน STOP LOSS เข้า
อะภาพครับ
--------------
ต่อไปก็คือ FIBONACCI
จริงๆมันก็มีแหละครับ แต่ผมแค่ยังไม่ชำชองมันมากแค่นั้นเอง
หลักก็จะใช้วัดตอนที่ กราฟลงแล้ว ดีดกลับมาไกลได้ถึงไฮเดิม
เพราะฉะนั้น องค์ประกอบขาลงถูกทำลายไปบางส่วนนั้นคือ ไม่มีไฮที่ต่ำลงแล้ว
แต่มีไฮเท่ากัน ตรงนี้มันจะเป็น PATTERN หัวไหล่ แบบกลับหัวครับ
แต่ด้วยการเทรดมาสักระยะ การซื้อ BREAK HIGH ไม่ใช่ทางออกครับ
เพราะมันตั้ง SETUP ที่มี RISK - REWARD ที่ดีไม่ได้ มันต้องเป็นการซื้อย่อมากกว่า
ตัวอย่างที่ผมเอามาให้ดูเป็นกราฟ EUUS ครับ กราฟเป็นขาลง ลงๆๆๆ
แล้วก็มีรีบาวน์แรงครับมาที่ไฮเดิม เท่ากัน เพราะฉะนั้นองค์ประกอบขาลงถูกทำลายไปบางส่วน
(ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ TIME FRAME ที่เทรดนะครับ อย่างกราฟที่เอามาเป็น 1 ชั่วโมง)
คราวนี้พอเราดูแตกย่อยๆเข้าไปก็จะเห็นว่า มันมีความคล้ายคลึง PATTERN แบบกลับหัวครับ
มันก็เป็นการตีที่จะตั้ง SETUP ย่อซื้อ ไม่ใช่ไล่ราคา
แต่ที่บอกไปครับ เพราะเน้นดูกลุ่มเพื่อนมันมากกว่า ฟิโบ ผมถึงไม่ค่อยช่ำชองมันครับ
จุดที่เพื่อนๆมันอยู่ก็ใกล้เคียงกับฟิโบ 50% แหละ
60 นาที
30 นาที