O เห็นเขาเก็บดอกไม้ที่ปลายสวน
กลิ่นหอมอวลจับร้อยเป็นสร้อยสี
เรียงเป็นช่อมาลัย...บ่วงไมตรี
แทนไยดีส่งมอบ..รับตอบกัน
O มาลัยหอมจับต้องประคองถวาย-
องค์พระพร้อม-รำบายความหมายมั่น
ผ่านห้วงจิตใจลูกเฝ้าผูกพัน
หวังยกธรรมารมณ์ ...พ้นหล่มดิน
O ช่อเรียงชั้นมาลัย...แทนนัยพุทธ
บริสุทธิ์ด้วยหอมรายล้อมถิ่น
เมื่อสัมพันธ์พหุเภทด้วยเจตจินต์
ก็เมื่อนั้นรอบประทิ่นร่ำรินรส
O สดับเถิดความหมายอันหลายหลาก
ล้วนเชี่ยวกรากอหังการ์ทุกปรากฏ
และตรองเถิดมนุสธรรม..ผองคำพจน์
พร่ำอยู่ไม่รู้หมด..เกินจดจำ
O ขับตัวตนเวียนว่าย..รำบายถ้อย
ความก็ลอยข้ามภพให้ขบขำ
คือเดิมเดียวอาตมัน..คอยหมั่นนำ-
ขึ้นตอกย้ำสังคมให้งมงาย
O คือ..วิญญาณบอดบ้า..ท่องฝ่าภพ
แต่ขันธ์ลบชีพล่วง..ยังช่วงฉาย-
เสพสุข-ทุกข์-รมย์-ร้อน-ไม่ผ่อนคลาย
ในกระแสเวียนว่ายแห่งวงวัฏฏ์
O ภพเบื้องหลังรั้งมา..พรรณนาถ้อย
ให้เคลิ้มคล้อยคิดเห็นว่าเป็นสัจจ์
มิจฉาการณ์แฝงเร้น..นั้น-เด่นชัด
โบกสะบัดร่มเงา..บังเขลาไว้
O เบื้องแรก-ที่แทรกเท็จลงเสร็จสรรพ
เพราะหยิบจับเลือกหา..คิดว่า-ใช่
เบื้องหลัง..ก้านบัวต่ำ-ปลา-น้ำ-ใจ
ร่วมภาวะหลากไหลเป็นนัยเดียว
O เบื้องต่อมา-ใช่แค่กระแสน้ำ
แต่เป็นธรรมมิจฉา..อันบ่าเชี่ยว
อุโฆษกึกก้องกันเสียงลั่นเชียว
แทรกทุกเสี้ยวส่วนเขลา..ที่เฝ้ารอ
O เบื้องหน้า – พยับฝนคลุมหนหาว
แสงพร่างพราวสิ้นไปเมื่อไรหนอ
วิชชุแลบฟ้าร้อง..เสียงก้องพอ-
สร้างภาพล้อรับช่วง..แทนดวงวัน
O เพียงแวบเดียววูบดับจนลับหาย
วิชชุว่าย-วนฟ้า..ฉาบทาฝัน
ก็เพียงชั่วมัวเมายั่วเย้ากัน
กับโลกฝันนิรมิตในจิตมี
O เห็นเขาเก็บดอกไม้ที่ปลายสวน
กลิ่นหอมชวนจับร้อยเป็นสร้อยสี
ใช้กลีบดอกเป็นพวง..ผ่านท่วงที-
อัญชลีกราบก้ม..ว่า – พรหมจรรย์
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2010&date=27&group=41&gblog=7
O ช่อมาลัย .. O
O เห็นเขาเก็บดอกไม้ที่ปลายสวน
กลิ่นหอมอวลจับร้อยเป็นสร้อยสี
เรียงเป็นช่อมาลัย...บ่วงไมตรี
แทนไยดีส่งมอบ..รับตอบกัน
O มาลัยหอมจับต้องประคองถวาย-
องค์พระพร้อม-รำบายความหมายมั่น
ผ่านห้วงจิตใจลูกเฝ้าผูกพัน
หวังยกธรรมารมณ์ ...พ้นหล่มดิน
O ช่อเรียงชั้นมาลัย...แทนนัยพุทธ
บริสุทธิ์ด้วยหอมรายล้อมถิ่น
เมื่อสัมพันธ์พหุเภทด้วยเจตจินต์
ก็เมื่อนั้นรอบประทิ่นร่ำรินรส
O สดับเถิดความหมายอันหลายหลาก
ล้วนเชี่ยวกรากอหังการ์ทุกปรากฏ
และตรองเถิดมนุสธรรม..ผองคำพจน์
พร่ำอยู่ไม่รู้หมด..เกินจดจำ
O ขับตัวตนเวียนว่าย..รำบายถ้อย
ความก็ลอยข้ามภพให้ขบขำ
คือเดิมเดียวอาตมัน..คอยหมั่นนำ-
ขึ้นตอกย้ำสังคมให้งมงาย
O คือ..วิญญาณบอดบ้า..ท่องฝ่าภพ
แต่ขันธ์ลบชีพล่วง..ยังช่วงฉาย-
เสพสุข-ทุกข์-รมย์-ร้อน-ไม่ผ่อนคลาย
ในกระแสเวียนว่ายแห่งวงวัฏฏ์
O ภพเบื้องหลังรั้งมา..พรรณนาถ้อย
ให้เคลิ้มคล้อยคิดเห็นว่าเป็นสัจจ์
มิจฉาการณ์แฝงเร้น..นั้น-เด่นชัด
โบกสะบัดร่มเงา..บังเขลาไว้
O เบื้องแรก-ที่แทรกเท็จลงเสร็จสรรพ
เพราะหยิบจับเลือกหา..คิดว่า-ใช่
เบื้องหลัง..ก้านบัวต่ำ-ปลา-น้ำ-ใจ
ร่วมภาวะหลากไหลเป็นนัยเดียว
O เบื้องต่อมา-ใช่แค่กระแสน้ำ
แต่เป็นธรรมมิจฉา..อันบ่าเชี่ยว
อุโฆษกึกก้องกันเสียงลั่นเชียว
แทรกทุกเสี้ยวส่วนเขลา..ที่เฝ้ารอ
O เบื้องหน้า – พยับฝนคลุมหนหาว
แสงพร่างพราวสิ้นไปเมื่อไรหนอ
วิชชุแลบฟ้าร้อง..เสียงก้องพอ-
สร้างภาพล้อรับช่วง..แทนดวงวัน
O เพียงแวบเดียววูบดับจนลับหาย
วิชชุว่าย-วนฟ้า..ฉาบทาฝัน
ก็เพียงชั่วมัวเมายั่วเย้ากัน
กับโลกฝันนิรมิตในจิตมี
O เห็นเขาเก็บดอกไม้ที่ปลายสวน
กลิ่นหอมชวนจับร้อยเป็นสร้อยสี
ใช้กลีบดอกเป็นพวง..ผ่านท่วงที-
อัญชลีกราบก้ม..ว่า – พรหมจรรย์
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2010&date=27&group=41&gblog=7