ณ นาทีนี้ใครที่ได้รับชมภาพยนตร์อนิเมเรื่อง In this Corner of the World มาแล้วก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผลงานภาพยนตร์จากสตูดิโด MAPPA เรื่องนี้นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในผลงานชั้นเลิศของประวัติศาสตร์ภาพยนต์อนิเมอย่างไร้ข้อกังขา แต่แม้ว่าตัวภาพยนต์จะสุดแสนซาบซึ้ง อบอุ่น และประทับใจมากมายเพียงใด สุดท้ายด้วยการที่ถูกจำกัดเวลาไว้แค่ 120 นาทีจึงทำให้ไม่อาจถ่ายทอดเรื่องราวเนื้อหาจากมังงะต้นฉบับได้ครบถ้วน ซึ่งถ้าหากเราตั้งใจขบคิดดีๆ ก็จะมีอยู่หลายจุดหลายประเด็นที่ถูกทิ้งไว้ให้เป็นปริศนา
- ภาพวาดรูปแตงโมที่รินขอให้สึซึวาด สุดท้ายได้เอากลับไปให้หรือไม่
- ทำไมปกหลังสมุดบันทึกของชูซากุถึงได้มีรอยฉีกขาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบนั้น
- อะไรเป็นแรงผลักดันให้ชูซากุจัดฉากให้สึซึได้อยู่กับมิซึฮาระสองต่อสองกันในคืนนั้น
- เทรุซังที่เป็นคนให้ลิปสติกสึซึนั้นคือใคร
- ทำไมสึซึถึงได้เป็นห่วงรินอย่างมากในช่วงที่เกิดสงครามทั้งๆที่เหมือนจะเคยพบกันแค่ครั้งเดียวในตอนที่หลงทางในเมือง
ประเด็นที่ถูกตั้งคำถามมาทั้งหมดนั้น เป็นผลพวงจากการที่ผู้กำกับฉบับภาพยนตร์ตัดสินใจที่จะไม่เล่าถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญในชีวิตของอุราโนะ สึซึ นางเอกของเรื่อง แน่นอนว่าการจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้นั้นหนีไม่พ้นต้องสปอยล์เนื้อหาสำคัญ หากใครยังไม่ได้ดูหนังหรืออยากไปหามังงะมาอ่านด้วยตัวเองก็ขอให้หลีกเลี่ยงที่จะอ่านเนื้อหาต่อไปนี้
.
.
.
.
.
.
สึซึได้กลับไปพบกับรินอีกครั้งในตอนที่เธอกับชูซากุสงสัยว่าสึซึอาจจะตั้งท้องจนต้องไปทำการตรวจร่างกายที่คลินิก ซึ่งสึซึถือโอกาสที่ต้องเข้าไปหาหมอที่คลินิกในตัวเมืองแล้วแวะไปหารินระหว่างขากลับ นอกจากจะได้เอาภาพวาดแตงโมไปให้แล้ว ทั้งคู่ยังได้นั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยชื่อเต็มของรินคือชิซากิ ริน ด้วยความที่บ้านฐานะยากจน เธอจึงต้องผันตัวมาเป็นนางโลมปรนเปรอเหล่าทหารโดยที่ไม่มีแม้กระทั่งความรู้ในการอ่านเขียน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้พบกับทหารนายหนึ่งที่ช่วยเขียนนามบัตรให้เธอไว้ใช้แนะนำตัวเองกับแขก ทั้งสองคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นเรื่องบทบาทหน้าที่ในการเป็นเจ้าสาวจนมาถึงเรื่องการมีลูก ซึ่งรินมีความคิดที่เชิงน่ากลัวว่าการมีลูกนั้นมีข้อดีนอกจากความน่ารักแล้ว ยังสามารถนำไปขายในสภาวะที่ลำบาก ยิ่งถ้าเป็นลูกสาวก็ยิ่งขายได้ราคาดี ณ จุดนี้เองที่เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าเธออาจเคยถูกนำตัวไปขายเพื่อให้ครอบครัวสามารถอยู่รอดจากความยากจนแร้งแค้น
หลังจากที่โคบายาชิซัง (พี่สาวพ่อของชูซากุ) ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านโฮโจเนื่องจากบ้านของเธอถูกทิ้งระเบิดใส่จนพังพินาศ สึซึที่กำลังทำการเก็บข้าวของเพื่อขยายพื้นที่ต้อนรับครอบครัวของโคบายาชิซังก็บังเอิญไปเจอถ้วยชาลายสวยงามเข้าในห้องเก็บของชั้นสอง เมื่อเธอนำเอาลงมาถามผู้คนในบ้านก็ไม่มีใครรู้ที่มาของมันเลย จนกระทั่งชูซากุรู้เข้าจึงยอมรับว่าเป็นของที่ตัวเขาในสมัยก่อนตั้งใจซื้อมาเก็บไว้ให้เจ้าสาว ในเมื่อสึซึบังเอิญไปหาเจอแล้วเขาก็เลยยกให้เธอไปซะเลย ซึ่งสึซึก็รับเอาไว้โดยที่รู้สึกว่าถ้วยชาใบนี้มันดูสวยล้ำค่าเกินกว่าที่ตัวเธอที่แสนจืดชืดนั้นคู่ควร และด้วยถ้วยชาใบนี้นี่เองที่ทำให้สึซึฉุกคิดถึงเรื่องราวที่ไม่คาดคิดขึ้น
ในวันต่อมา ระหว่างที่สึซึกำลังตัดต้นไผ่เพื่อเอาไปใช้สอย เธอก็นึกถึงเรื่องถ้วยชาใบนั้นขึ้นมา
เมื่อสึซึคิดทบทวนดูดีๆแล้วก็จำได้ว่าลายดอกไม้ที่อยู่บนถ้วยชานั้นคือดอกรินโด ดอกไม้ชนิดเดียวกันกับลายชุดกิโมโนของรินนั่นเอง ถ้าหากว่านี่ไม่ใช่เรื่องบัญเอิญก็หมายความว่าสามีของเธอโกหกเรื่องที่เขาตั้งใจซื้อถ้วยมาเก็บไว้ให้เจ้าสาว แต่จริงๆแล้วคือแอบซื้อมาเพื่อจะนำไปให้รินแต่ก็เปลี่ยนใจเสียก่อน ซึ่งหากชูซากุกับรินเคยพบกันมาก่อนก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมรินถึงรู้จักเส้นทางจากในเมืองกลับสู่บ้านของสึซึ ก็เพราะชูซากุเคยบอกเธอไว้ และนั่นก็เป็นที่มาของความจริงว่าทหารคนที่เขียนนามบัตรให้รินคนนั้นก็คือชูซากุ สามีของเธอที่เคยมาใช้บริการที่หอนางโลมของรินนั่นเอง เพื่อความแน่ใจสึซึจึงรีบไปพิสูจน์หลักฐานยืนยัน ซึ่งก็พบว่าสมุดบันทึกของชูซากุมีรอยฉีกตรงมุมปกหลังที่ใช้กระดาษแบบเดียวกันกับนามบัตรของรินไม่มีผิด ด้วยความลับปมนี้ที่สึซึค้นพบ ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นต่อความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา แม้ที่จริงแล้วจะอยากเอ่ยปากถามออกไปแต่สึซึก็ได้เก็บความเคลือบแคลงใจนี่เอาไว้คนเดียว
และเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดตราบาปในใจของชูซากุที่ประพฤติตัวไม่ดีต่อสึซึ จนเป็นแรงผลักดันให้เขาจงใจจัดฉากให้ภรรยาตัวเองได้อยู่กับมิซึฮาระ เท็ตสึ ชายหนุ่มผู้สนิทสนมกับสึซึมากเสียจนทำให้เขาไม่อาจหลีกหนีความคิดที่แท้จริงแล้วสึซึอาจอยากแต่งงานกับชายคนนี้มากกว่าตนเอง โดยในขณะที่มิซึฮาระกำลังเริ่มรุกโลมเธอ สึซึก็เหลือบไปมองเห็นถ้วยชาที่เธอนำกลับมาเก็บไว้หลังจากที่รู้ความจริงว่ามันไม่ใช่ของที่ชูซากุตั้งใจซื้อมาให้เธอ สติของสึซึกลับคืนมาก่อนที่จะปล่อยตัวปล่อยใจให้คล้อยตามไปกับชายที่ตนเคยเฝ้าใฝ่ฝันรอคอย เธอรู้ดีว่าสามีของเธอหวังจะให้เธอได้มีความสัมพันธ์กับชายอื่นเพื่อเป็นการทดแทนต่อความผิดที่ตัวเขาได้ก่อไว้ ถึงอย่างนั้นสึซึก็ยังเลือกที่จะซื่อสัตย์ต่อความรักที่ตนเองมีให้กับสามีและหยุดความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมิซึฮาระเอาไว้แค่ ณ จุดนั้น
หลังจากนั้นในฤดูหนาว สึซึได้กลับไปที่หอนางโลมของรินอีกครั้งเพื่อตั้งใจจะนำถ้วยชาไปให้แต่ก็ไม่พบเจ้าตัว และตอนนั้นเองที่เธอได้พบกับเทรุ เด็กสาวนางโลมร่างกายอ่อนแอที่สังเกตเห็นสึซึที่ตั้งใจมาหาริน เธอได้บอกให้สึซึรู้ว่ารินนั้นไปค้างคืนกับแขกข้างนอกและยังไม่ได้กลับมา สึซึจึงได้ฝากให้เทรุช่วยเอาถ้วยชาคืนรินแทน โดยฝากไปบอกด้วยว่าถ้วยชาใบนี้นั้นคู่ควรกับรินมากกว่าตัวเธอ ก่อนจากสึซึได้วาดรูปชายหาดริมเกาะทางใต้เพื่อเป็นการให้กำลังใจต่อเทรุที่ป่วยเป็นไข้จากอากาศหนาว และบาดเจ็บฟกช้ำเพราะโดนแขกทหารเรือใช้กำลังรุนแรง ในระหว่างทางกลับบ้าน สึซึได้นึกถึงคำพูดของมิซึฮาระที่ขอให้เธอใช้ชีวิตต่อไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งตัวเธอในตอนนี้ไม่อาจทำตามคำสัญญานั้นได้ เนื่องด้วยความรู้สึกที่ตัวเธอนั้นไม่มีสิ่งใดที่สามารถไปเทียบเคียงกับรินได้เลย
สึซึได้พบกับรินอีกเป็นครั้งสุดท้ายในช่วงที่สงครามเริ่มก่อตัวทวีความรุนแรงขึ้นแรกๆ โดยสึซึและครอบครัวได้ไปที่สวนสาธารณะนิโคเพื่อชมดอกซากุระบาน และก็ได้พบกับรินโดยบังเอิญมารับแขกในที่เดียวกัน แต่โชคดีที่เธอคลาดกับชูซากุเสียก่อนไม่เช่นนั้นเธอก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรหากสามีของเธอได้มาพบรินต่อหน้าตัวเธอ รินเอ่ยขอบคุณที่สึซึเอาถ้วยชาไปให้ โดยเธอรู้ว่าเป็นสึซึก็เพราะได้เห็นรูปวาดที่ริมหน้าต่างห้องเทรุ สึซึบอกว่าถ้วยชาใบนั้นสามีเธอซื้อมาตั้งแต่สมัยก่อน เธอเห็นแล้วคิดว่าน่าจะเหมาะกับรินมากกว่าจึงนำมาให้ รินที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดอะไรไม่ออกและหลบตาไปสักพัก ก่อนที่จะแกล้งพูดปัดเชิงตลกบ่ายเบี่ยงประเด็นไป และตอนนั้นเองที่สึซึได้ล่วงรู้ถึงชะตากรรมของเทรุที่ต้องตายไปจากอาการปอดบวมเมื่อไม่นานมานี้ แต่ช่วงเวลาก่อนที่จะจากไปนั้น เทรุสามารถยิ้มแย่มร่าเริงได้เนื่องจากผลของภาพที่สึซึวาดไว้ให้ ตอนนั้นเองที่รินมอบลิปสติกสีแดงที่เทรุใช้เป็นประจำแก่สึซึเพื่อเป็นของดูต่างหน้า และก่อนจากเธอก็พูดทิ้งท้ายไว้กับสึซึว่า คนเราเมื่อตายไป ความทรงจำก็จะสูญหายตามไปด้วย สิ่งที่เป็นความลับเก็บไว้ก็จะเปรียบเสมือนกับเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้น การจะเก็บงำความลับนั้นไว้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนตัดสินใจ ก็เหมือนกับสึซึเองที่เลือกที่จะนำถ้วยชาใบนั้นมาให้ริน และนั่นเองคือประโยคคำพูดสุดท้ายที่รินฝากเอาไว้ในความทรงจำของสึซึ เสมือนดั่งว่าจะบอกอ้อมๆกับสึซึไว้ว่าเธอจะเก็บเรื่องที่เธอได้รู้จักกับรินไว้เป็นความลับหรือจะเปิดเผยออกไปให้ชูซากุรู้นั้นก็ขอให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง
หลังจากนั้นเป็นต้นมาสึซึก็เก็บเงียบเรื่องของรินเอาไว้มาตลอด จนกระทั่งสงครามขยายตัวมาจนถึงคุเระจนเกิดโศกนาฎกรรมอันโหดร้ายขึ้นต่อเธอ และเป็นตอนที่ชูซากุกลับบ้านมาพบสึซึในสภาพบาดเจ็บสาหัส ตัวเธอที่สภาพจิตใจถูกบีบคั้นมาจนถึงขีดสุดก็ได้หลุดปากขอร้องให้สามีช่วยออกไปตามหาเพื่อนของเธอที่ชื่อว่าริน เป็นอันว่าความลับของเธอกับรินได้ถูกเปิดเผยออกมา แต่ถึงอย่างไรก็มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เรื่องของรินถูกยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง ในช่วงที่สึซึร้องขอกลับบ้านที่ฮิโรชิม่า โดยชูซากุพูดขู่ไว้ว่าจะไม่บอกข่าวคราวของรินให้สึซึรู้ถ้าเธอยังดึงดันที่จะกลับบ้านเกิด เนื่องจากถือว่าเธอไม่ใช่คนในครอบครัวอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงแม้สุดท้ายสึซึจะยังคงอยู่ที่บ้านโฮโจต่อไป เรื่องของรินก็ไม่ถูกเอ่ยขึ้นมาเป็นบทสนทนาระหว่างสามีภรรยาคู่นี้อีกเลย
เรื่องราวความสัมพันธ์ของสึซึกับรินดำเนินมาจนบทสรุปเมื่อสงครามจบลง สึซึที่กลับไปยังหอนางโลมที่รินทำงานอยู่อีกครั้งจากการบอกทางของชูซากุและได้พบกับซากปรักหักพังอันย่อยยับ ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่รู้ว่าชะตากรรมของรินนั้นเป็นเช่นไร แต่สำหรับสึซึแล้ว เธอจะเก็บเอาเรื่องราวของเธอกับรินเอาไว้เป็นความทรงจำอันล้ำค่า โดยเธอวาดฝันถึงเรื่องราวของรินไว้เป็นเหมือนดั่งนิทานภาพที่เราได้เห็นกันในฉากท้ายเครดิต
รินถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวชาวไร่ที่มีสมาชิกมากเกินกว่าฐานะยากจนจะแบกรับไหว สุดท้ายเธอก็ถูกขายให้ไปเป็นเด็กรับใช้ในครอบครัวเศรษฐี ตัวเธอที่ต้องทนแบกรับภาระหน้าที่งานบ้านอันล้นมือ จนวันหนึ่งได้เผลอทำลูกเล็กของครอบครัวบาดเจ็บ เพื่อหลีกหนีความผิดเธอจึงได้ตัดสินใจออกจากบ้านหลังนั้นมา หลังจากที่เดินทางร่อนเร่ไปเรื่อยจนได้มาหลบซ่อนตัวอยู่ใต้หลังคาบ้านยายของสึซึ จนกระทั่งได้มาเจอกับสึซึครั้งแรกในระหว่างที่เธอไปบ้านยายและเธอรินปีนลงมาจากหลังคาเพื่อกินเศษซากแตงโม ก่อนที่จะหนีออกไปอีกครั้งในระหว่างที่สึซึไปหยิบแตงโมมาให้เพิ่ม หลังจากนั้นเองที่รินได้เข้ามาในย่านโคมแดงจนถูกเจ้าขอหอนางโลมรับตัวมาเลี้ยง ซึ่งเธอก็ได้เติบโตขึ้นจากเด็กสาวบ้านนอกมอมแมมกลายเป็นนางโลมสาวสวย วันเวลาก็ได้ผ่านไปจนเส้นทางของรินได้บรรจบมาพบกับสึซึอีกครั้ง
สึซึก้มลงมาที่พื้นหน้าหอนางโลมก็พบกับเศษถ้วยน้ำชาที่มอบให้ริน รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ สึซึนั่งลงตรงหน้าซากปรักหักพัง พร้อมกับซบลงเคียงข้างรินในภาพความทรงจำของเธอโดยมีดอกรินโดมากมายบานสะพรั่งห้อมล้อม
ที่เล่ามาทั้งหมดก็คือเรื่องราวของสึซึกับรินที่ถูกเก็บงำไว้เป็นความลับในฉบับภาพยนตร์ ซึ่งดูจากเนื้อหารายละเอียดอันมากมายแล้ว ถ้าจะต้องใส่ลงไปล่ะก็คงทำให้ความยาวของหนังเพิ่มจาก 120 นาทีไปอีกไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงอย่างไรก็ตาม การที่ผู้กำกับยังคงรักษารายละเอียดไว้หลายๆจุดเพื่อเป็นการบอกใบ้ให้แก่คนดูรับรู้ถึงเรื่องราวเบื้องหลังนั้น ก็คงเป็นความตั้งใจที่จะมอบ "ทางเลือก" ให้แก่คนดูว่าจะไปค้นหาความจริงต่อในมังงะต้นฉบับ หรือคงไว้ให้เป็นความลับเช่นนั้น อย่างที่สึซึในฉบับภาพยนตร์ตั้งใจเก็บงำเอาไว้
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบครับ
In This Corner of the World - เรืองราวความลับที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยในฉบับภาพยนตร์
- ภาพวาดรูปแตงโมที่รินขอให้สึซึวาด สุดท้ายได้เอากลับไปให้หรือไม่
- ทำไมปกหลังสมุดบันทึกของชูซากุถึงได้มีรอยฉีกขาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบนั้น
- อะไรเป็นแรงผลักดันให้ชูซากุจัดฉากให้สึซึได้อยู่กับมิซึฮาระสองต่อสองกันในคืนนั้น
- เทรุซังที่เป็นคนให้ลิปสติกสึซึนั้นคือใคร
- ทำไมสึซึถึงได้เป็นห่วงรินอย่างมากในช่วงที่เกิดสงครามทั้งๆที่เหมือนจะเคยพบกันแค่ครั้งเดียวในตอนที่หลงทางในเมือง
ประเด็นที่ถูกตั้งคำถามมาทั้งหมดนั้น เป็นผลพวงจากการที่ผู้กำกับฉบับภาพยนตร์ตัดสินใจที่จะไม่เล่าถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญในชีวิตของอุราโนะ สึซึ นางเอกของเรื่อง แน่นอนว่าการจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้นั้นหนีไม่พ้นต้องสปอยล์เนื้อหาสำคัญ หากใครยังไม่ได้ดูหนังหรืออยากไปหามังงะมาอ่านด้วยตัวเองก็ขอให้หลีกเลี่ยงที่จะอ่านเนื้อหาต่อไปนี้
.
.
.
.
.
.
สึซึได้กลับไปพบกับรินอีกครั้งในตอนที่เธอกับชูซากุสงสัยว่าสึซึอาจจะตั้งท้องจนต้องไปทำการตรวจร่างกายที่คลินิก ซึ่งสึซึถือโอกาสที่ต้องเข้าไปหาหมอที่คลินิกในตัวเมืองแล้วแวะไปหารินระหว่างขากลับ นอกจากจะได้เอาภาพวาดแตงโมไปให้แล้ว ทั้งคู่ยังได้นั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยชื่อเต็มของรินคือชิซากิ ริน ด้วยความที่บ้านฐานะยากจน เธอจึงต้องผันตัวมาเป็นนางโลมปรนเปรอเหล่าทหารโดยที่ไม่มีแม้กระทั่งความรู้ในการอ่านเขียน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้พบกับทหารนายหนึ่งที่ช่วยเขียนนามบัตรให้เธอไว้ใช้แนะนำตัวเองกับแขก ทั้งสองคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นเรื่องบทบาทหน้าที่ในการเป็นเจ้าสาวจนมาถึงเรื่องการมีลูก ซึ่งรินมีความคิดที่เชิงน่ากลัวว่าการมีลูกนั้นมีข้อดีนอกจากความน่ารักแล้ว ยังสามารถนำไปขายในสภาวะที่ลำบาก ยิ่งถ้าเป็นลูกสาวก็ยิ่งขายได้ราคาดี ณ จุดนี้เองที่เหมือนเป็นการบอกใบ้ว่าเธออาจเคยถูกนำตัวไปขายเพื่อให้ครอบครัวสามารถอยู่รอดจากความยากจนแร้งแค้น
หลังจากที่โคบายาชิซัง (พี่สาวพ่อของชูซากุ) ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านโฮโจเนื่องจากบ้านของเธอถูกทิ้งระเบิดใส่จนพังพินาศ สึซึที่กำลังทำการเก็บข้าวของเพื่อขยายพื้นที่ต้อนรับครอบครัวของโคบายาชิซังก็บังเอิญไปเจอถ้วยชาลายสวยงามเข้าในห้องเก็บของชั้นสอง เมื่อเธอนำเอาลงมาถามผู้คนในบ้านก็ไม่มีใครรู้ที่มาของมันเลย จนกระทั่งชูซากุรู้เข้าจึงยอมรับว่าเป็นของที่ตัวเขาในสมัยก่อนตั้งใจซื้อมาเก็บไว้ให้เจ้าสาว ในเมื่อสึซึบังเอิญไปหาเจอแล้วเขาก็เลยยกให้เธอไปซะเลย ซึ่งสึซึก็รับเอาไว้โดยที่รู้สึกว่าถ้วยชาใบนี้มันดูสวยล้ำค่าเกินกว่าที่ตัวเธอที่แสนจืดชืดนั้นคู่ควร และด้วยถ้วยชาใบนี้นี่เองที่ทำให้สึซึฉุกคิดถึงเรื่องราวที่ไม่คาดคิดขึ้น
ในวันต่อมา ระหว่างที่สึซึกำลังตัดต้นไผ่เพื่อเอาไปใช้สอย เธอก็นึกถึงเรื่องถ้วยชาใบนั้นขึ้นมา
เมื่อสึซึคิดทบทวนดูดีๆแล้วก็จำได้ว่าลายดอกไม้ที่อยู่บนถ้วยชานั้นคือดอกรินโด ดอกไม้ชนิดเดียวกันกับลายชุดกิโมโนของรินนั่นเอง ถ้าหากว่านี่ไม่ใช่เรื่องบัญเอิญก็หมายความว่าสามีของเธอโกหกเรื่องที่เขาตั้งใจซื้อถ้วยมาเก็บไว้ให้เจ้าสาว แต่จริงๆแล้วคือแอบซื้อมาเพื่อจะนำไปให้รินแต่ก็เปลี่ยนใจเสียก่อน ซึ่งหากชูซากุกับรินเคยพบกันมาก่อนก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมรินถึงรู้จักเส้นทางจากในเมืองกลับสู่บ้านของสึซึ ก็เพราะชูซากุเคยบอกเธอไว้ และนั่นก็เป็นที่มาของความจริงว่าทหารคนที่เขียนนามบัตรให้รินคนนั้นก็คือชูซากุ สามีของเธอที่เคยมาใช้บริการที่หอนางโลมของรินนั่นเอง เพื่อความแน่ใจสึซึจึงรีบไปพิสูจน์หลักฐานยืนยัน ซึ่งก็พบว่าสมุดบันทึกของชูซากุมีรอยฉีกตรงมุมปกหลังที่ใช้กระดาษแบบเดียวกันกับนามบัตรของรินไม่มีผิด ด้วยความลับปมนี้ที่สึซึค้นพบ ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นต่อความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา แม้ที่จริงแล้วจะอยากเอ่ยปากถามออกไปแต่สึซึก็ได้เก็บความเคลือบแคลงใจนี่เอาไว้คนเดียว
และเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดตราบาปในใจของชูซากุที่ประพฤติตัวไม่ดีต่อสึซึ จนเป็นแรงผลักดันให้เขาจงใจจัดฉากให้ภรรยาตัวเองได้อยู่กับมิซึฮาระ เท็ตสึ ชายหนุ่มผู้สนิทสนมกับสึซึมากเสียจนทำให้เขาไม่อาจหลีกหนีความคิดที่แท้จริงแล้วสึซึอาจอยากแต่งงานกับชายคนนี้มากกว่าตนเอง โดยในขณะที่มิซึฮาระกำลังเริ่มรุกโลมเธอ สึซึก็เหลือบไปมองเห็นถ้วยชาที่เธอนำกลับมาเก็บไว้หลังจากที่รู้ความจริงว่ามันไม่ใช่ของที่ชูซากุตั้งใจซื้อมาให้เธอ สติของสึซึกลับคืนมาก่อนที่จะปล่อยตัวปล่อยใจให้คล้อยตามไปกับชายที่ตนเคยเฝ้าใฝ่ฝันรอคอย เธอรู้ดีว่าสามีของเธอหวังจะให้เธอได้มีความสัมพันธ์กับชายอื่นเพื่อเป็นการทดแทนต่อความผิดที่ตัวเขาได้ก่อไว้ ถึงอย่างนั้นสึซึก็ยังเลือกที่จะซื่อสัตย์ต่อความรักที่ตนเองมีให้กับสามีและหยุดความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมิซึฮาระเอาไว้แค่ ณ จุดนั้น
หลังจากนั้นในฤดูหนาว สึซึได้กลับไปที่หอนางโลมของรินอีกครั้งเพื่อตั้งใจจะนำถ้วยชาไปให้แต่ก็ไม่พบเจ้าตัว และตอนนั้นเองที่เธอได้พบกับเทรุ เด็กสาวนางโลมร่างกายอ่อนแอที่สังเกตเห็นสึซึที่ตั้งใจมาหาริน เธอได้บอกให้สึซึรู้ว่ารินนั้นไปค้างคืนกับแขกข้างนอกและยังไม่ได้กลับมา สึซึจึงได้ฝากให้เทรุช่วยเอาถ้วยชาคืนรินแทน โดยฝากไปบอกด้วยว่าถ้วยชาใบนี้นั้นคู่ควรกับรินมากกว่าตัวเธอ ก่อนจากสึซึได้วาดรูปชายหาดริมเกาะทางใต้เพื่อเป็นการให้กำลังใจต่อเทรุที่ป่วยเป็นไข้จากอากาศหนาว และบาดเจ็บฟกช้ำเพราะโดนแขกทหารเรือใช้กำลังรุนแรง ในระหว่างทางกลับบ้าน สึซึได้นึกถึงคำพูดของมิซึฮาระที่ขอให้เธอใช้ชีวิตต่อไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งตัวเธอในตอนนี้ไม่อาจทำตามคำสัญญานั้นได้ เนื่องด้วยความรู้สึกที่ตัวเธอนั้นไม่มีสิ่งใดที่สามารถไปเทียบเคียงกับรินได้เลย
สึซึได้พบกับรินอีกเป็นครั้งสุดท้ายในช่วงที่สงครามเริ่มก่อตัวทวีความรุนแรงขึ้นแรกๆ โดยสึซึและครอบครัวได้ไปที่สวนสาธารณะนิโคเพื่อชมดอกซากุระบาน และก็ได้พบกับรินโดยบังเอิญมารับแขกในที่เดียวกัน แต่โชคดีที่เธอคลาดกับชูซากุเสียก่อนไม่เช่นนั้นเธอก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรหากสามีของเธอได้มาพบรินต่อหน้าตัวเธอ รินเอ่ยขอบคุณที่สึซึเอาถ้วยชาไปให้ โดยเธอรู้ว่าเป็นสึซึก็เพราะได้เห็นรูปวาดที่ริมหน้าต่างห้องเทรุ สึซึบอกว่าถ้วยชาใบนั้นสามีเธอซื้อมาตั้งแต่สมัยก่อน เธอเห็นแล้วคิดว่าน่าจะเหมาะกับรินมากกว่าจึงนำมาให้ รินที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดอะไรไม่ออกและหลบตาไปสักพัก ก่อนที่จะแกล้งพูดปัดเชิงตลกบ่ายเบี่ยงประเด็นไป และตอนนั้นเองที่สึซึได้ล่วงรู้ถึงชะตากรรมของเทรุที่ต้องตายไปจากอาการปอดบวมเมื่อไม่นานมานี้ แต่ช่วงเวลาก่อนที่จะจากไปนั้น เทรุสามารถยิ้มแย่มร่าเริงได้เนื่องจากผลของภาพที่สึซึวาดไว้ให้ ตอนนั้นเองที่รินมอบลิปสติกสีแดงที่เทรุใช้เป็นประจำแก่สึซึเพื่อเป็นของดูต่างหน้า และก่อนจากเธอก็พูดทิ้งท้ายไว้กับสึซึว่า คนเราเมื่อตายไป ความทรงจำก็จะสูญหายตามไปด้วย สิ่งที่เป็นความลับเก็บไว้ก็จะเปรียบเสมือนกับเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้น การจะเก็บงำความลับนั้นไว้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนตัดสินใจ ก็เหมือนกับสึซึเองที่เลือกที่จะนำถ้วยชาใบนั้นมาให้ริน และนั่นเองคือประโยคคำพูดสุดท้ายที่รินฝากเอาไว้ในความทรงจำของสึซึ เสมือนดั่งว่าจะบอกอ้อมๆกับสึซึไว้ว่าเธอจะเก็บเรื่องที่เธอได้รู้จักกับรินไว้เป็นความลับหรือจะเปิดเผยออกไปให้ชูซากุรู้นั้นก็ขอให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง
หลังจากนั้นเป็นต้นมาสึซึก็เก็บเงียบเรื่องของรินเอาไว้มาตลอด จนกระทั่งสงครามขยายตัวมาจนถึงคุเระจนเกิดโศกนาฎกรรมอันโหดร้ายขึ้นต่อเธอ และเป็นตอนที่ชูซากุกลับบ้านมาพบสึซึในสภาพบาดเจ็บสาหัส ตัวเธอที่สภาพจิตใจถูกบีบคั้นมาจนถึงขีดสุดก็ได้หลุดปากขอร้องให้สามีช่วยออกไปตามหาเพื่อนของเธอที่ชื่อว่าริน เป็นอันว่าความลับของเธอกับรินได้ถูกเปิดเผยออกมา แต่ถึงอย่างไรก็มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เรื่องของรินถูกยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง ในช่วงที่สึซึร้องขอกลับบ้านที่ฮิโรชิม่า โดยชูซากุพูดขู่ไว้ว่าจะไม่บอกข่าวคราวของรินให้สึซึรู้ถ้าเธอยังดึงดันที่จะกลับบ้านเกิด เนื่องจากถือว่าเธอไม่ใช่คนในครอบครัวอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงแม้สุดท้ายสึซึจะยังคงอยู่ที่บ้านโฮโจต่อไป เรื่องของรินก็ไม่ถูกเอ่ยขึ้นมาเป็นบทสนทนาระหว่างสามีภรรยาคู่นี้อีกเลย
เรื่องราวความสัมพันธ์ของสึซึกับรินดำเนินมาจนบทสรุปเมื่อสงครามจบลง สึซึที่กลับไปยังหอนางโลมที่รินทำงานอยู่อีกครั้งจากการบอกทางของชูซากุและได้พบกับซากปรักหักพังอันย่อยยับ ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่รู้ว่าชะตากรรมของรินนั้นเป็นเช่นไร แต่สำหรับสึซึแล้ว เธอจะเก็บเอาเรื่องราวของเธอกับรินเอาไว้เป็นความทรงจำอันล้ำค่า โดยเธอวาดฝันถึงเรื่องราวของรินไว้เป็นเหมือนดั่งนิทานภาพที่เราได้เห็นกันในฉากท้ายเครดิต
รินถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวชาวไร่ที่มีสมาชิกมากเกินกว่าฐานะยากจนจะแบกรับไหว สุดท้ายเธอก็ถูกขายให้ไปเป็นเด็กรับใช้ในครอบครัวเศรษฐี ตัวเธอที่ต้องทนแบกรับภาระหน้าที่งานบ้านอันล้นมือ จนวันหนึ่งได้เผลอทำลูกเล็กของครอบครัวบาดเจ็บ เพื่อหลีกหนีความผิดเธอจึงได้ตัดสินใจออกจากบ้านหลังนั้นมา หลังจากที่เดินทางร่อนเร่ไปเรื่อยจนได้มาหลบซ่อนตัวอยู่ใต้หลังคาบ้านยายของสึซึ จนกระทั่งได้มาเจอกับสึซึครั้งแรกในระหว่างที่เธอไปบ้านยายและเธอรินปีนลงมาจากหลังคาเพื่อกินเศษซากแตงโม ก่อนที่จะหนีออกไปอีกครั้งในระหว่างที่สึซึไปหยิบแตงโมมาให้เพิ่ม หลังจากนั้นเองที่รินได้เข้ามาในย่านโคมแดงจนถูกเจ้าขอหอนางโลมรับตัวมาเลี้ยง ซึ่งเธอก็ได้เติบโตขึ้นจากเด็กสาวบ้านนอกมอมแมมกลายเป็นนางโลมสาวสวย วันเวลาก็ได้ผ่านไปจนเส้นทางของรินได้บรรจบมาพบกับสึซึอีกครั้ง
สึซึก้มลงมาที่พื้นหน้าหอนางโลมก็พบกับเศษถ้วยน้ำชาที่มอบให้ริน รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ สึซึนั่งลงตรงหน้าซากปรักหักพัง พร้อมกับซบลงเคียงข้างรินในภาพความทรงจำของเธอโดยมีดอกรินโดมากมายบานสะพรั่งห้อมล้อม
ที่เล่ามาทั้งหมดก็คือเรื่องราวของสึซึกับรินที่ถูกเก็บงำไว้เป็นความลับในฉบับภาพยนตร์ ซึ่งดูจากเนื้อหารายละเอียดอันมากมายแล้ว ถ้าจะต้องใส่ลงไปล่ะก็คงทำให้ความยาวของหนังเพิ่มจาก 120 นาทีไปอีกไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงอย่างไรก็ตาม การที่ผู้กำกับยังคงรักษารายละเอียดไว้หลายๆจุดเพื่อเป็นการบอกใบ้ให้แก่คนดูรับรู้ถึงเรื่องราวเบื้องหลังนั้น ก็คงเป็นความตั้งใจที่จะมอบ "ทางเลือก" ให้แก่คนดูว่าจะไปค้นหาความจริงต่อในมังงะต้นฉบับ หรือคงไว้ให้เป็นความลับเช่นนั้น อย่างที่สึซึในฉบับภาพยนตร์ตั้งใจเก็บงำเอาไว้
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบครับ