ในสงครามย่อมมีทหารและอาวุธ ศัตรูและมิตร ผู้ชนะและผู้แพ้ ผลัดกันแสดงฉากชีวิตบนสนามรบ
แล้ว"คนธรรมดา"ล่ะ มีฉากชีวิตเป็นแบบไหนในช่วงเวลาเช่นนั้น?
In This Corner of The World เล่าถึงชีวิตของเด็กสาวอารมณ์ดีช่างจินตนาการที่ชอบวาดรูป
"ซึสึ"โดยมีฉากเวลาเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในเมืองฮิโรชิม่าซึ่งเป็นจุดที่เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติครั้งหนึ่ง แต่แทนที่จะเน้นความหดหู่และโหดร้ายของสงคราม หนังกลับเลือกแสดง"ชีวิตปกติ"ของผู้คนที่มีทั้งเสียงหัวเราะและน้ำตาแทน
ตัวหนังค่อยๆขยี้อย่างนุ่มนวลบนวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมพื้นบ้านแถบชูโกกุของญี่ปุ่น(ขนาดเสียงพากย์ยังใช้สำเนียงถิ่นเลย) โดยในช่วงแรกเราจะได้รู้จักชีวิตในวัยเด็กและนิสัยใจคอของซึสึ จนถึงการออกเรือนที่เรื่องราวฉากหลักจะเริ่มขึ้น
จากการใช้ชีวิตที่เป็นปกติธรรมดาจนแทบดูไม่รู้ว่าอยู่ในภาวะสงคราม เรื่องราวของการปรับตัวของเจ้าสาวแต่งออกกับสิ่งแวดล้อมและผู้คนใหม่ๆ สร้างสายสัมพันธ์มากมาย แล้วค่อยๆเผยสภาพอันไม่ปกติให้เห็นอย่างช้าๆ แทรกด้วยมุขตลกน่ารักอยู่ตลอดเวลา
และกระทั่งถึงจุดไคลแมกซ์ก็ยังเลือกจะเล่าออกมาอย่างละเมียดละไม ไม่มีการเค้นอารมณ์ใดๆ แต่กลับทำให้รู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้
ที่ชอบมากคือลูกเล่นตอนช่วงใกล้จบที่ปูมาอย่างดีตั้งแต่ต้นจนทำให้คิดว่า "เฮ้ย เอางี้จริงดิ" ได้ถึงสองครั้งติดกัน และฉากหลัง End Credit ที่น่ารักและช่วยตอบข้อสงสัยเรื่องสุดท้ายได้ครบพอดี
ด้านงานภาพเป็นลักษณะแบบภาพวาดสีสดใสไม่มี CG มาข้องเกี่ยว จำลองฉากทิวทัศน์และเรือรบได้อย่างสวยงาม
บางจังหวะจะสลับหรือแทรกด้วยภาพสีน้ำที่เล่าในมุมมองนามธรรม ซึ่งบ่งบอกความรู้สึกและมุมมองต่อโลกของซึสึได้ทรงพลังยิ่งกว่าคำบรรยายซะอีก
เพลงก็เป็นอีกส่วนที่น่าประทับใจ เพลงประกอบกลมกลืนไปกับเนื้อเรื่องและเลือกใส่มาในเวลาที่พอดี เพลงร้องก็เพราะมากเช่นกัน
น่าเสียดายที่เรื่องนี้ฉายแบบจำกัดโรง น่าจะมีหลายๆคนที่อยากดูแต่หาดูไม่ได้
แต่ถ้าอยู่ใกล้โรงที่ฉาย แล้วกำลังหาหนังซักเรื่องที่ทำให้อบอุ่นใจหรือต้องการกำลังใจที่จะเดินไปข้างหน้า หรือแม้แต่จะแค่อยากดูหนังดีๆซักเรื่อง In This Corner of The World ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
ถ้าจะให้คำจำกัดความเพียงหนึ่งคำสำหรับเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้นคำว่า
"สายสัมพันธ์"
แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากจนแทบไม่อาจทนไหว แต่ด้วย"สายสัมพันธ์"หลากหลายรูปแบบที่คอยเกื้อหนุนกันเป็นมุมให้พักใจ เราก็ยังลุกขึ้นมาใหม่ได้
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะพบเจอหรือสูญเสียอะไร แค่เพียงมีคนที่คอยช่วยพยุงยามเราล้มให้ลุกขึ้นมาก้าวต่อไปได้ ก็ยังมี"วันพรุ่งนี้"ที่รอต้อนรับด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ
ปล. นงจังน่ารักมาก
[CR] In This Corner of The World - เพราะโลกยังมีมุมนี้ให้พักใจ
แล้ว"คนธรรมดา"ล่ะ มีฉากชีวิตเป็นแบบไหนในช่วงเวลาเช่นนั้น?
In This Corner of The World เล่าถึงชีวิตของเด็กสาวอารมณ์ดีช่างจินตนาการที่ชอบวาดรูป"ซึสึ"โดยมีฉากเวลาเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในเมืองฮิโรชิม่าซึ่งเป็นจุดที่เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติครั้งหนึ่ง แต่แทนที่จะเน้นความหดหู่และโหดร้ายของสงคราม หนังกลับเลือกแสดง"ชีวิตปกติ"ของผู้คนที่มีทั้งเสียงหัวเราะและน้ำตาแทน
ตัวหนังค่อยๆขยี้อย่างนุ่มนวลบนวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมพื้นบ้านแถบชูโกกุของญี่ปุ่น(ขนาดเสียงพากย์ยังใช้สำเนียงถิ่นเลย) โดยในช่วงแรกเราจะได้รู้จักชีวิตในวัยเด็กและนิสัยใจคอของซึสึ จนถึงการออกเรือนที่เรื่องราวฉากหลักจะเริ่มขึ้น
จากการใช้ชีวิตที่เป็นปกติธรรมดาจนแทบดูไม่รู้ว่าอยู่ในภาวะสงคราม เรื่องราวของการปรับตัวของเจ้าสาวแต่งออกกับสิ่งแวดล้อมและผู้คนใหม่ๆ สร้างสายสัมพันธ์มากมาย แล้วค่อยๆเผยสภาพอันไม่ปกติให้เห็นอย่างช้าๆ แทรกด้วยมุขตลกน่ารักอยู่ตลอดเวลา
และกระทั่งถึงจุดไคลแมกซ์ก็ยังเลือกจะเล่าออกมาอย่างละเมียดละไม ไม่มีการเค้นอารมณ์ใดๆ แต่กลับทำให้รู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้
ที่ชอบมากคือลูกเล่นตอนช่วงใกล้จบที่ปูมาอย่างดีตั้งแต่ต้นจนทำให้คิดว่า "เฮ้ย เอางี้จริงดิ" ได้ถึงสองครั้งติดกัน และฉากหลัง End Credit ที่น่ารักและช่วยตอบข้อสงสัยเรื่องสุดท้ายได้ครบพอดี
ด้านงานภาพเป็นลักษณะแบบภาพวาดสีสดใสไม่มี CG มาข้องเกี่ยว จำลองฉากทิวทัศน์และเรือรบได้อย่างสวยงาม
บางจังหวะจะสลับหรือแทรกด้วยภาพสีน้ำที่เล่าในมุมมองนามธรรม ซึ่งบ่งบอกความรู้สึกและมุมมองต่อโลกของซึสึได้ทรงพลังยิ่งกว่าคำบรรยายซะอีก
เพลงก็เป็นอีกส่วนที่น่าประทับใจ เพลงประกอบกลมกลืนไปกับเนื้อเรื่องและเลือกใส่มาในเวลาที่พอดี เพลงร้องก็เพราะมากเช่นกัน
น่าเสียดายที่เรื่องนี้ฉายแบบจำกัดโรง น่าจะมีหลายๆคนที่อยากดูแต่หาดูไม่ได้
แต่ถ้าอยู่ใกล้โรงที่ฉาย แล้วกำลังหาหนังซักเรื่องที่ทำให้อบอุ่นใจหรือต้องการกำลังใจที่จะเดินไปข้างหน้า หรือแม้แต่จะแค่อยากดูหนังดีๆซักเรื่อง In This Corner of The World ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
ถ้าจะให้คำจำกัดความเพียงหนึ่งคำสำหรับเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้นคำว่า"สายสัมพันธ์"
แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากจนแทบไม่อาจทนไหว แต่ด้วย"สายสัมพันธ์"หลากหลายรูปแบบที่คอยเกื้อหนุนกันเป็นมุมให้พักใจ เราก็ยังลุกขึ้นมาใหม่ได้
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะพบเจอหรือสูญเสียอะไร แค่เพียงมีคนที่คอยช่วยพยุงยามเราล้มให้ลุกขึ้นมาก้าวต่อไปได้ ก็ยังมี"วันพรุ่งนี้"ที่รอต้อนรับด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ
ปล. นงจังน่ารักมาก