อย่าล้อเล่นกับศรัทธาค่ะ พระพุทธเจ้าเราเป็นปัญญาธิก พวกเราสาวกจึงเป็นผู้มีปัญญาตาม เเต่ข้อเสียของปัญญานั้นคือ เป็นกุสโลก็ได้ ปัณฑิโตก็ได้ หรือเฉโก ก็ได้ หากเป็นกุสโล ก็จะเป็นที่เเบบปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นตามเเนวทางเเห่งการปฏิบัติไม่ยินดียินร้ายเรื่องต่างๆ หากเป็นปัณฑิโต ก็จะเป็นประเภทหนอนหนังสือ รู้ธรรมรู้วินัย มีทักษะในการเเก้ปัญหา(เเต่ติดอามิสบูชาได้ง่าย) เเต่หากเป็น เฉโก ดังที่เป็นกันอยู่เยอะในตอนนี้ ก็มักมีความรู้ เรียนเยอะ อ่านเยอะ รู้เยอะ เเต่ปฏิบัติน้อย เลี่ยงบาลีไปเรื่อย พอเรื่องไม่ดีมาถึงตนก็มักเอาอันโน้นมาตอบมาจับใส่ ไม่เคยมองความผิดตน เห็นเเต่ของคนอื่น ตอนนี้เป็นกันทั้งพระทั้งโยมไปเเล้วค่ะทั้งฝั่งเอาธรรมกายเเละไม่เอาธรรมกาย เเต่ถ้าเป็นสัทธาธิกเเบบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนพระพุทธเจ้าเราทั้ง ๓ พระองค์ คือพระกกุสันโธ พระโกนาคมโน เเละพระกัสสโป สาวกที่เกิดทันยุคท่านบุญมากมีศรัทธามาก ไม่มีการหัวเราะเยาะผู้ที่ศรัทธามากในการทำบุญ เพราะเงินเขาหาของเขามา ร่างกายเขาดูเเลของเขา ใจเขาคิดของเขาเป็น จึงมักบรรลุธรรมง่ายที่ไม่บรรลุก็ไปเป็นเทวดา ยังไม่สิ้นอายุขัย ยุคเราเลยมาเกิดกันน้อย พอมีหลุดรอดมาเกิดในยุคของเราซักกลุ่มหรือไม่เยอะ ก็มักจะถูกพวกที่เวียนว่ายตายเกิดในนรก ในอบายเเล้วมาเกิดใหม่เป็นคนได้ไวกว่า เพราะเวลาไวกว่า คอยหัวเราะเยาะ ติเตียน ขบขัน หาว่าโง่ งมงาย ถูกเขาหลอก พวกกูนี่ฉลาดใครมาหลอกกูไม่ได้ พระก็คือพระวันยันค่ำจะดีเลวท่านก็ห่มผ้าเหลือง ซึ่งเป็นธงชัยเเห่งพระอรหันต์ ท่านทำผิดโทษท่านก็มากกว่าเราเเน่นอน ดิฉันคนหนึ่งยอมให้คนตราหน้าว่า งมงาย โง่ เอาเเต่ศรัทธา เเต่ดิฉันจะสวดมนต์ทุกคืน นั่งกรรมฐานทุกๆวันโกนวันพระ ใส่บาตรทุกวัน เเต่จะไม่ขอด่าทอพระรูปไหนเเน่ เพราะดิฉันเป็นคนพุทธ พ่อเเม่ ปู่ย่าตายายเป็นคนพุทธ การด่าพระก็เหมือนด่าบรรพบุรุษเราเอง ก็เท่ากับเราเป็นคนเนรคุณ คนอกตัญญู ทำให้ตัวเราเเละคนรอบข้างต้องพลอยตกต่ำไปด้วย วันนี้พวกเราพากันด่าพระได้เเบบไม่ละอายปาก อีก10ปี 20-30ปี ลูกหลานเราเองมันก็คงพากันรุมทำร้ายพระ ตีพระ ฆ่าพระ ก็เป็นเรื่องปกติเพราะเห็นพ่อเเม่เขาด่าพระง่ายๆ ดูจากภาพ ฟังจากเสียง อ่านจากคนนั้นพูด เเล้ววิญญาณเราจะมีความสุขหรือทุกข์เเค่ไหน หากเป็นเเบบนั้น (จากอุบาสิกาผู้มั่นในธรรม)
อย่าประมาทศรัทธา อย่าล้อเล่นกับศรัทธา อย่าดูถูกศรัทธา