ย้อนไปไม่นานสักประมาณกลางปี 2559 ที่ผ่านมา เราได้รับโทรศัพท์จากแฟนเก่าว่าพ่อเขาเสีย และนำศพไปไว้ที่บ้านเกิดจังหวัดเพชรบุรี เราและครอบครัวจึงเดินทางไปร่วมงานศพด้วย แม้เราจะเลิกกันไปแล้ว แต่ก็ยังติดต่อและมีมิตรภาพดี ๆ ให้กันเสมอ ระหว่างที่คบกันอยู่นั้นครอบครัวของเราทั้ง 2 คน ค่อนข้างสนิทกัน คอยช่วยเหลือพึ่งพา จนกระทั่งเลิกราพวกเราก็ยังคงถามไถ่ดูแลกันเรื่อยมา
เรา พ่อ แม่ ขับรถมาที่งานศพประมาณบ่ายโมง ซึ่งวันนี้เป็นวันเผา เราจุดธูปบอกพ่อของแฟนเก่าให้รับรู้ว่าเรามาแล้ว จากนั้น เราก็แยกตัวมานั่งบริเวณเก้าอี้รับแขก ซึ่งตอนนั้นที่วัดยังไม่มีแขกมาเท่าไหร่ มีแต่ครอบครัวของเราและญาติพี่น้องเท่านั้น
เก้าอี้รับแขกมีแค่เรา พ่อ แม่ ส่วนเจ้าภาพง่วนกับการเตรียมงาน ระหว่างที่นั่งเงียบ ๆ กัน 3 คน พ่อ แม่ ลูกนั้น กลิ่นที่ทุกคนเคยเล่าและเราก็เพิ่งเคยประสพครั้งแรกในชีวิตก็ลอยมาเตะจมูก ที่เขามักเล่ากันว่า เวลาไปงานศพหากใครได้กลิ่นน้ำยาฟอร์มาลิน หรือกลิ่นธูป หรือกลิ่นเหม็น ฯลฯ นั่นคือ...
วิญญานรับรู้ว่าคุณมาและเขาต้องการสื่อให้คุณรู้ว่าเขาทราบวัตถุประสงค์การมาของคุณแล้ว!!!
เราไม่เคยได้กลิ่นแบบที่เขาเล่ากัน แต่ถามว่าเชื่อว่าไหมว่าเรื่องแบบนี้มีจริง เชื่อค่ะ สรรพสิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีจริง ในโลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตและสิ่งอัศจรรย์อีกมากที่เราไม่รู้จัก และมนุษย์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งอัศจรรย์เหล่านั้นเช่นกัน
ระหว่างที่นั่งสำรวมกายวาจาอยู่นั้น กลิ่นที่เขาเคยเล่ากันปากต่อปากก็มากระทบจมูกเรา เราสูดหายใจฟอดใหญ่แล้วถอนหายใจออกมายาว ๆ เพราะกลิ่นมันลอยมาจังหวะเราสูดหายใจเข้าพอดี เราทำหน้าเหยเกเพราะรู้สึกอยากอ้วก แต่ก็เก็บอาการไว้จนกระทั่งถึงเวลาพระสวด ในขณะที่พระกำลังสวดอยู่นั้น กลิ่นเดิมที่คุ้นเคยก็ลอยมาเข้าจมูกอีกเป็นระลอกที่ 2 เราเริ่มหันซ้าย หันขวาเพื่อสำรวจดูว่า ใกล้ ๆ กันนี้มีอะไรเน่า ๆ ไหม เราพยายามสงบนิ่งฟังพระสวดแต่กลิ่นก็มาอีก ทีนี้มาจัดเต็มกว่าเดิม เหม็นคละคลุ้งจนเราดึงคอเสื้อมาปิดจมูก เพราะสูดหายใจไม่ได้ สายตาก็จ้องเขม็งไปที่โลงศพที่ตั้งอยุ่ข้างหน้า พร้อมสันนิษฐานว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่กลิ่นมันลอยออกมาจากโลง หรือเพราะโลงปิดไม่สนิทพอ แต่เหตุใดแขกคนอื่น ๆ ยังนั่งฟังพระสวดไม่มีทีท่าเหม็นหรือถูจมูกสักคน
ก่อนจะวางดอกไม้จันทร์ ทางวัดจะเปิดโลงเพื่อให้ญาติได้เห็นหน้าผู้เสียชีวิตอีกครั้ง จังหวะนั้นเราเตรียมใจไว้แล้วว่าถ้าเปิดโลงปุ๊ปกลิ่นต้องเหม็นโชยออกมาแน่ ๆ ขนาดโลงปิดไว้อย่างดีเรายังได้กลิ่นตั้งหลายรอบ ทีนี้ถ้าเปิดแผ่หรากลิ่นต้องโชยคละคลุ้งแน่นอน ปรากฏว่าเมื่อเปิดโลงปุ๊ป เราเตรียมกลั้นหายใจปั๊บ แต่... ไม่มีกลิ่นใด ๆ เลย ย้ำว่าไม่มีแม้แต่กลิ่นฟอร์มาลิน ทุกอย่างปกติมาก เราสูดหายใจเข้าดัง ๆ ฟอดใหญ่ เพื่อสูดหากลิ่นที่มันลอยมาเตะจมูก
ก่อนหน้านี้ แต่ทว่า กลับไม่มีกลิ่นใด ๆ ทั้งสิ้น จนแม่สะกิดเราบอกให้สำรวมหน่อย
เวลาผ่านไปงานเผาเสร็จสิ้น ครอบครัวเราพูดคุยกับครอบครัวแฟนเก่าต่ออีกนิดหน่อยแล้วจึงแยกย้ายกลับ
เราเป็นคนขับ รถของเราติดเซ็นเซอร์ถอยหลัง ถ้ารถใครที่ติดเซ็นเซอร์ถอยหลังจะรู้ว่าเวลาเข้าเกียร์ R ถอยปุ๊บ
จะมีเสียงตี๊ด... ตี๊ด... ตี๊ด... ส่งเสียงเป็นระยะห่าง ๆ เพื่อป้องกันการชนจากด้านหลัง ซึ่งสัญญานที่เตือนก็ไม่ได้
เตือนเฉพาะสิ่งกีดขวางที่มาจากด้านหลังอย่างเดียว บางทีกิ่งไม้ พุ่มไม้ที่รัศมีเอียงมาข้างรถ มันก็ดังค่ะ เวลาถอยรถ
นี่ต้องหันมองตามเลยทีเดียวเชื่อเสียงที่เตือนอย่างเดียวไม่ได้ หรือหากถอยไปเรื่อย ๆ แล้วใกล้ชนกับวัตถุจากเสียง
ตี๊ด... ตี๊ด... ห่าง ๆ จะเปลี่ยนเป็น ตี๊ดดดดดด ยาว ๆ ประมาณว่า จะชนแล้วโว๊ย!!! ทีนี้เราก็มาถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 2 ทุ่ม
เข้าเกียร์ R เตรียมถอยรถเข้าซอง
ตี๊ด... ตี๊ด... ตี๊ด... เสียงเตือนเซ็นเซอร์รถดังเพื่อป้องกันการชน เราค่อย ๆ ถอยตามจังหวะรถเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน
พลันใดนั้นเซ็นเซอร์เปลี่ยนเสียง ตี๊ดดดดดดด!!! เราเหยียบเบรคเอี๊ยด!!! ตามองไปกระจกหลัง เอ๊ะ จะชนรึ?
เราลงจากรถมาดูระยะห่างระหว่างท้ายรถกับกำแพงบ้านก็ไม่ได้ประชั้นชิดเลย มีที่ว่างเหลืออีกเยอะทีเดียว
ว่าแล้วก็ปล่อยเบรคให้รถถอยหลังอีกครั้ง ตี๊ดดดดดด!!! เสียงดังเหมือนเรากำลังจะชนอะไร เราเหยียบเบรคเอี๊ยด!!!
ว่างเปล่า... มองกระจกหลังว่างเปล่า มีเพียงแสงไฟท้ายรถกับไฟเบรคที่เราเหยียบอยู่ตอนนี้ เอาล่ะ รู้แล้ว
เรามั่นใจมากว่ารถเรากำลังจะถอยชนอะไร แม้ไม่เห็นด้วยตา แต่เรื่องแบบนี้ไม่ต้องเห็นด้วยตาก็เข้าใจง่าย
พื้นที่ที่เราถอยรถนั้นด้านข้างไม่มีแม้แต่กิ่งไม้หรือพุ่มไม้ ฉะนั้น เสียงที่ดังจึงเป็นการเตือนจากหลังรถแน่นอน
และดังถึง 2 ครั้ง นั่นหมายความว่า มีสิ่งหนึ่งอยู่หลังรถค่อนข้างประชิดพอสมควร มิเช่นนั้น เซ็นเซอร์จะไม่มีทาง
ร้องดังโวยวายแบบนี้แน่นอน
"พ่อคะ พ่อมาส่งหนูแค่นี้พอแล้ว หนูถึงบ้านแล้ว ขอบคุณพ่อมากค่ะ"
เรายกมือจรดหว่างคิ้วกล่าวออกมาพร้อมด้วยน้ำใส ๆ ที่เอ่อล้นออกมาจากตาอีกครั้ง
จบ
พ่อมาส่ง
เรา พ่อ แม่ ขับรถมาที่งานศพประมาณบ่ายโมง ซึ่งวันนี้เป็นวันเผา เราจุดธูปบอกพ่อของแฟนเก่าให้รับรู้ว่าเรามาแล้ว จากนั้น เราก็แยกตัวมานั่งบริเวณเก้าอี้รับแขก ซึ่งตอนนั้นที่วัดยังไม่มีแขกมาเท่าไหร่ มีแต่ครอบครัวของเราและญาติพี่น้องเท่านั้น
เก้าอี้รับแขกมีแค่เรา พ่อ แม่ ส่วนเจ้าภาพง่วนกับการเตรียมงาน ระหว่างที่นั่งเงียบ ๆ กัน 3 คน พ่อ แม่ ลูกนั้น กลิ่นที่ทุกคนเคยเล่าและเราก็เพิ่งเคยประสพครั้งแรกในชีวิตก็ลอยมาเตะจมูก ที่เขามักเล่ากันว่า เวลาไปงานศพหากใครได้กลิ่นน้ำยาฟอร์มาลิน หรือกลิ่นธูป หรือกลิ่นเหม็น ฯลฯ นั่นคือ...
วิญญานรับรู้ว่าคุณมาและเขาต้องการสื่อให้คุณรู้ว่าเขาทราบวัตถุประสงค์การมาของคุณแล้ว!!!
เราไม่เคยได้กลิ่นแบบที่เขาเล่ากัน แต่ถามว่าเชื่อว่าไหมว่าเรื่องแบบนี้มีจริง เชื่อค่ะ สรรพสิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีจริง ในโลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตและสิ่งอัศจรรย์อีกมากที่เราไม่รู้จัก และมนุษย์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งอัศจรรย์เหล่านั้นเช่นกัน
ระหว่างที่นั่งสำรวมกายวาจาอยู่นั้น กลิ่นที่เขาเคยเล่ากันปากต่อปากก็มากระทบจมูกเรา เราสูดหายใจฟอดใหญ่แล้วถอนหายใจออกมายาว ๆ เพราะกลิ่นมันลอยมาจังหวะเราสูดหายใจเข้าพอดี เราทำหน้าเหยเกเพราะรู้สึกอยากอ้วก แต่ก็เก็บอาการไว้จนกระทั่งถึงเวลาพระสวด ในขณะที่พระกำลังสวดอยู่นั้น กลิ่นเดิมที่คุ้นเคยก็ลอยมาเข้าจมูกอีกเป็นระลอกที่ 2 เราเริ่มหันซ้าย หันขวาเพื่อสำรวจดูว่า ใกล้ ๆ กันนี้มีอะไรเน่า ๆ ไหม เราพยายามสงบนิ่งฟังพระสวดแต่กลิ่นก็มาอีก ทีนี้มาจัดเต็มกว่าเดิม เหม็นคละคลุ้งจนเราดึงคอเสื้อมาปิดจมูก เพราะสูดหายใจไม่ได้ สายตาก็จ้องเขม็งไปที่โลงศพที่ตั้งอยุ่ข้างหน้า พร้อมสันนิษฐานว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่กลิ่นมันลอยออกมาจากโลง หรือเพราะโลงปิดไม่สนิทพอ แต่เหตุใดแขกคนอื่น ๆ ยังนั่งฟังพระสวดไม่มีทีท่าเหม็นหรือถูจมูกสักคน
ก่อนจะวางดอกไม้จันทร์ ทางวัดจะเปิดโลงเพื่อให้ญาติได้เห็นหน้าผู้เสียชีวิตอีกครั้ง จังหวะนั้นเราเตรียมใจไว้แล้วว่าถ้าเปิดโลงปุ๊ปกลิ่นต้องเหม็นโชยออกมาแน่ ๆ ขนาดโลงปิดไว้อย่างดีเรายังได้กลิ่นตั้งหลายรอบ ทีนี้ถ้าเปิดแผ่หรากลิ่นต้องโชยคละคลุ้งแน่นอน ปรากฏว่าเมื่อเปิดโลงปุ๊ป เราเตรียมกลั้นหายใจปั๊บ แต่... ไม่มีกลิ่นใด ๆ เลย ย้ำว่าไม่มีแม้แต่กลิ่นฟอร์มาลิน ทุกอย่างปกติมาก เราสูดหายใจเข้าดัง ๆ ฟอดใหญ่ เพื่อสูดหากลิ่นที่มันลอยมาเตะจมูก
ก่อนหน้านี้ แต่ทว่า กลับไม่มีกลิ่นใด ๆ ทั้งสิ้น จนแม่สะกิดเราบอกให้สำรวมหน่อย
เวลาผ่านไปงานเผาเสร็จสิ้น ครอบครัวเราพูดคุยกับครอบครัวแฟนเก่าต่ออีกนิดหน่อยแล้วจึงแยกย้ายกลับ
เราเป็นคนขับ รถของเราติดเซ็นเซอร์ถอยหลัง ถ้ารถใครที่ติดเซ็นเซอร์ถอยหลังจะรู้ว่าเวลาเข้าเกียร์ R ถอยปุ๊บ
จะมีเสียงตี๊ด... ตี๊ด... ตี๊ด... ส่งเสียงเป็นระยะห่าง ๆ เพื่อป้องกันการชนจากด้านหลัง ซึ่งสัญญานที่เตือนก็ไม่ได้
เตือนเฉพาะสิ่งกีดขวางที่มาจากด้านหลังอย่างเดียว บางทีกิ่งไม้ พุ่มไม้ที่รัศมีเอียงมาข้างรถ มันก็ดังค่ะ เวลาถอยรถ
นี่ต้องหันมองตามเลยทีเดียวเชื่อเสียงที่เตือนอย่างเดียวไม่ได้ หรือหากถอยไปเรื่อย ๆ แล้วใกล้ชนกับวัตถุจากเสียง
ตี๊ด... ตี๊ด... ห่าง ๆ จะเปลี่ยนเป็น ตี๊ดดดดดด ยาว ๆ ประมาณว่า จะชนแล้วโว๊ย!!! ทีนี้เราก็มาถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 2 ทุ่ม
เข้าเกียร์ R เตรียมถอยรถเข้าซอง
ตี๊ด... ตี๊ด... ตี๊ด... เสียงเตือนเซ็นเซอร์รถดังเพื่อป้องกันการชน เราค่อย ๆ ถอยตามจังหวะรถเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน
พลันใดนั้นเซ็นเซอร์เปลี่ยนเสียง ตี๊ดดดดดดด!!! เราเหยียบเบรคเอี๊ยด!!! ตามองไปกระจกหลัง เอ๊ะ จะชนรึ?
เราลงจากรถมาดูระยะห่างระหว่างท้ายรถกับกำแพงบ้านก็ไม่ได้ประชั้นชิดเลย มีที่ว่างเหลืออีกเยอะทีเดียว
ว่าแล้วก็ปล่อยเบรคให้รถถอยหลังอีกครั้ง ตี๊ดดดดดด!!! เสียงดังเหมือนเรากำลังจะชนอะไร เราเหยียบเบรคเอี๊ยด!!!
ว่างเปล่า... มองกระจกหลังว่างเปล่า มีเพียงแสงไฟท้ายรถกับไฟเบรคที่เราเหยียบอยู่ตอนนี้ เอาล่ะ รู้แล้ว
เรามั่นใจมากว่ารถเรากำลังจะถอยชนอะไร แม้ไม่เห็นด้วยตา แต่เรื่องแบบนี้ไม่ต้องเห็นด้วยตาก็เข้าใจง่าย
พื้นที่ที่เราถอยรถนั้นด้านข้างไม่มีแม้แต่กิ่งไม้หรือพุ่มไม้ ฉะนั้น เสียงที่ดังจึงเป็นการเตือนจากหลังรถแน่นอน
และดังถึง 2 ครั้ง นั่นหมายความว่า มีสิ่งหนึ่งอยู่หลังรถค่อนข้างประชิดพอสมควร มิเช่นนั้น เซ็นเซอร์จะไม่มีทาง
ร้องดังโวยวายแบบนี้แน่นอน
"พ่อคะ พ่อมาส่งหนูแค่นี้พอแล้ว หนูถึงบ้านแล้ว ขอบคุณพ่อมากค่ะ"
เรายกมือจรดหว่างคิ้วกล่าวออกมาพร้อมด้วยน้ำใส ๆ ที่เอ่อล้นออกมาจากตาอีกครั้ง
จบ