สวัสดีครับ ขออภัยที่ห่างหายไปนานนะครับ วันนี้จะมาต่อส่วนที่ยังคั่งค้างไว้อยู่ และเป็นส่วนที่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ทำข้อสอบ TOEIC ส่วนใหญ่ นั่นคือในส่วนของ Reading ซึ่งจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 Parts นั่นเองนะครับ
ปล.เทคนิคเหล่านี้เป็นเทคนิคที่กลั่นกรองทั้งจากหนังสือและประสบการณ์ในการสอบ ที่ผมใช้ในการทำข้อสอบ TOEIC รวมทั้งประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์เล็กๆน้อยๆ หากท่านสมาชิกมีเทคนิคไหนสามารถแนะนำกันเข้ามาได้เลยครับ
-------------------------------------------------------
ติดตามเทคนิคเด็ดๆและกลเม็ดการเตรียมสอบและการใช้ภาษาอังกฤษได้ก่อนใครที่ Xpert English, the home of Business and Academic English learners with an expert and professional development,
https://www.facebook.com/expertenglishlearners/
------------------------------------------------------
Part 5 Incomplete Sentence
ในส่วนของพาร์ทนี้เป็นข้อสอบที่ผู้สอบส่วนใหญ่มักจะคุ้นเคยมากๆ เนื่องจากข้อสอบคือมีประโยคที่ไม่สมบูรณ์มาให้และให้เรานำตัวเลือก A,B,C,D แล้วเลือกตัวเลือกที่ถูกต้องทีสุด ซึ่งในส่วนนี้แน่นอนว่า ส่วนที่ออกคำถามนั้นจะเป็น คำถามในส่วนของโครงสร้าง (Structure (แกรมม่าร์น่าปวดหัว)) และ Vocabulary (คำศัพท์) นั่นเองครับ
ระดับความยากอยู่ที่ 50
จริงๆแล้วการทำพาร์ทนี้ในการสอบ Reading ซึ่งมีเวลาสอบด้วยกันทั้งหมด 1.15 น. หรือ 75 นาที พาร์ทนี้ควรจะใช้เวลาไม่เกิน 15-20 นาที เพื่อที่จะได้มีเวลาให้พาร์ทที่โหดหินกว่านี้อย่างพาร์ท 6-7 โดยเฉพาะอย่างยิ่งพาร์ท 7 ซึ่งคงต้องว่ากันยาวๆ ในส่วนนี้มีเทคนิคอยู่ที่
1.ดูช้อยส์ ถ้าช้อยส์เป็นคำศัพท์เหมือนกัน แต่เป็น Part of Speech ที่ต่างกัน ข้อนั้นถามแกรมม่าร์ชัวร์ป๊าป แต่ถ้าตัวเลือกเป็นคำศัพท์แต่ละคำศัพท์ที่ต่างกัน ข้อนั้นถามคำศัพท์แน่นอน
2.วิเคราะห์แกรมม่าร์ที่ออกบ่อย เช่นเรื่อง Concord (Agreement of Subject and Verb), Tense, Voice เป็นต้น
3. ถ้าไม่รู้ก็เดา แต่เดาให้มีศิลปะ วิธีที่ผมใช้ประจำคือ ถ้าไม่รู้ตอบข้อไหน ก็เอาช้อยส์มาเติมแล้วอ่านไปเลย ถ้าข้อไหนคุ้นสุดข้อนั้นแหละมีโอกาสถูกมากที่สุด แต่บางคนคงคิดว่า เดาอย่างนี้มันมีศิลปะตรงไหน? ประเด็นคือว่า นอกจากเราจะเอาหลักการที่ ประโยคดังกล่าว ถูกไวยากรณ์ (Grammatical) + มีคนใช้หรือไม่ หากคำดังกล่าวมีคนใช้แสดงว่ามัน(อาจจะ)ถูก ก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าเราอ่าน(เดา)ว่าเราได้ยินข้อไหนมากที่สุด ข้อนั้นก็อาจจะมีโอกาสถูกมากที่สุดก็เป็นได้ (แต่ถ้าเลือกใช้ข้ออื่นได้ก็เลือกเถอะ ข้อนี้จริงๆไม่แนะนำ)
4.การตัดช้อยส์ (Elimination)
วิธีนี้คือเราไม่รู้จริงๆว่าจะตอบข้อไหนดีเราก็เลยต้องใช้วิธีตัดช้อยส์ให้เหลือข้อที่มีความน่าจะเป็นว่าจะถูกมากที่สุด ดังนั้นแล้ว ช้อยส์มีทั้งหมด 4 ตัวเลือก เราตัดทีละตัวเลือก โอกาสถูกก็จะมีมากขึ้นจาก 0-25-50-100 เปอร์เซ็นต์ ขอบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่คนนิยมใช้กันมากที่สุดวิธีหนึ่งเลยล่ะครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
Part 6 Text Completion
พูดง่ายๆว่าพาร์ทนี้เป็นลูกผสมระหว่างพาร์ท 5 กับ พาร์ท 7 โดยแท้จริง โดยรูปแบบการสอบก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากพาร์ท 5 เลย มีช้อยส์ 4 ข้อให้เลือกเหมือนเดิม แต่ที่ต่างออกไปคือ พาร์ท 6 นี้ ไม่ได้มาเป็นประโยคสองประโยค
แต่มาเป็น Text คือมาแบบตัดมาทั้งโฆษณา ประกาศ ให้เราอ่าน เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีส่วนที่หายไปอีก ซึ่งเจ้าส่วนที่หายไปนี้ คราวนี้มาได้ถึงสามรูปแบบ
1.Grammar-อันนี้เหมือนพาร์ท 5 คือมาเป็นคำศัพท์เดียวกันแต่ Part of Speech ไม่เหมือนกัน
2.Vocabulary-เหมือนเดิม
3.Context-คราวนี้แหละที่ต่างไปจากเดิม
ระดับความยากอยู่ที่ 75
พาร์ทนี้ดูเหมือนยาก แต่ความยากมันยังไม่สุดตรงที่ว่า มันมีให้ทำไม่เยอะ แต่ดังนั้นก็ยังยากอยู่ดี
นอกจากเทคนิคต่างๆที่ได้กล่าวไปในพาร์ท 5 ที่เราเอามาใช้ได้แล้ว เทคนิคอีก 1 เทคนิคที่จะทำให้เราประหยัดเวลาได้จาก พาร์ท 6 คือ การอ่านเฉพาะประโยคหน้าและหลังของประโยคที่หายไป ซึ่งตรงนี้ไม่ได้การันตีว่าจะทำได้หมดทุกคำถาม แต่จะเป็นประโยชน์ในการประหยัดเวลาของเรามากยิ่งขึ้น เพื่อไปทำในพาร์ทโหดสุดหิน พาร์ท 7 ที่หลายคนบอกว่า นี่แหละที่สุดแห่งชีวิตแล้ว ไม่ใช่มันยากนะ แต่ทำไม่ทันเว้ยยยย
-------------------------------------
Part 7 Reading Comprehension
สำหรับพาร์ทนี้ เป็นการอ่าน อ่านล้วนๆ อ่านแบบตะบี้ตะบันอ่าน และแต่ละเรื่องก็ไม่ได้มาแบบกระจิ๊บกระจ้อย แต่มาเป็น Passages เช่นประกาศ บทความ (ตัวดี ต้องระวัง) โฆษณา ซึ่งจะมีทั้งแบบสั้น (Short Passage) และแบบยาว (Long Passage) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
1.Single Passage
อันนี้มาเดี่ยวๆ คำถามอยู่ใน Text อันเดียวสบายๆแบบเบิร์ดๆ
2.Double Passage
อันนี้โหดหินมฤตยูสุดพลัง อย่างบางข้อเป็นอีเมล มาสองอัน บางทีคำตอบข้อแรกๆอยู่ Passage อันหลังซะงั้น
ความยาก 100%
จริงๆไม่ได้ยากตรงที่เนื้อหา แต่ยากตรงที่มันเยอะและการจัดสรรเวลาของเราในพาร์ท 5-6 ทำให้เวลาเราเหลือในการทำ พาร์ท 7 น้อยมากๆ ดังนั้นแล้ว ก็อาจจะหมดเวลาเสียก่อนที่จะทำให้เราทำจนจบครบพาร์ท 7 นั่นเอง บางคนน่าเสียดายมากที่ออกมาจากห้องสอบแล้วต้องว่างไว้เป็นสิบๆข้อ ถ้างั้นก็ลองมาดูเทคนิคปราบเซียนกับพาร์ทนี้เลยครับ ซึ่งสามารถเลือกทำได้สองแบบ
1.เลือกทำจากน้อยไปหามาก
หมายถึงเริ่มทำจาก Single Passage และ Short Passage เสร็จให้หมดแล้วค่อยไปทำ Double Passage และ Long Passage ซึ่ง วิธีนี้จะประหยัดเวลาในการทำ แล้วเราจะได้เอาเวลาไปทุ่มกับข้อหลังๆได้
2.เลือกทำจากมากไปหาน้อย
คือให้ทำ Double Passage และ Long Passage ก่อน แล้วค่อยกลับไปทำข้อที่เหลือ เพราะส่วนใหญ่แล้วข้อที่มีโจทย์เยอะๆให้เราทำคือ Double Passage และ Long Passage ที่มีสูงสุด ถึง 5 ข้อ ส่วน Single Passage และ Short Passage อาจจะมีแค่ 2-3 ข้อ เท่านั้น นั้นเท่ากับว่า เราต้องใช้เวลาอ่านเรื่องนึงและทำความเข้าใจเพื่อตอบคำตอบ 2-3 ข้อ ในตอนแรก และจะทำให้เวลาที่เราจะต้องไปอ่าน Passage ยาวๆในตอนหลังไม่ทัน และนี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมบางคนถึงทำไม่ทันนั่นเอง
3.ถ้ามันอ่านไม่ทันจริงๆ ทำยังไงอะ?
วิธีการคือฝนไปเลยครับ ฝนไปอย่าได้หยุด แต่ๆๆๆ ไม่ใช่ว่า ฝนไปเรื่อย เดี๋ยวข้อนี้ A ข้อนี้ B นะครับจะเอาข้อไหน ฝนลงไปเลยครับ A ก็ A สิบข้อไปเลย เพราะอย่างน้อยมันต้องมีโอกาสถูกสักข้อละครับในสิบข้อนั้นแน่นอน และนี่เป็นทริกที่ไม่ควรเอาอย่างอีกทริกนึงนะครับ แหะๆ
สำหรับวิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เราอ่านได้เร็วขึ้น คือการอ่านทุกวันครับ เดี๋ยวนี้เรามี Social network แค่กดไลก์เพจก็สามารถที่จะติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารของโลกและได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษไปด้วยง่ายๆแล้วครับ
แล้วพบกันใหม่คราวหน้า สวัสดีครับ
---------------------------------------------------------
รวมกระทู้ใน TOEIC SERIES หรือติดตามได้ที่
https://expertenglishlearners.wordpress.com/
-----------------------------------------
5 หนังสือเตรียมสอบ TOEIC ที่คุณต้องไม่พลาดก่อนไปสอบ
http://ppantip.com/topic/35562520
(TOEIC SERIES) 5 กลเม็ดเด็ดเตรียมสอบ TOEIC อย่างมั่นใจ (ภาคต่อ 5 หนังสือเตรียมสอบ TOEIC )
http://ppantip.com/topic/35589713
(TOEIC SERIES) เจาะ 7 พาร์ทข้อสอบ TOEIC พาร์ทไหนยาก-ง่ายยังไง มาดูกัน
https://ppantip.com/topic/35749744
-------------------------------------------------------
มาต่อแล้ว! (TOEIC SERIES) เจาะ 7 พาร์ทข้อสอบ TOEIC : Reading
ปล.เทคนิคเหล่านี้เป็นเทคนิคที่กลั่นกรองทั้งจากหนังสือและประสบการณ์ในการสอบ ที่ผมใช้ในการทำข้อสอบ TOEIC รวมทั้งประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์เล็กๆน้อยๆ หากท่านสมาชิกมีเทคนิคไหนสามารถแนะนำกันเข้ามาได้เลยครับ
-------------------------------------------------------
ติดตามเทคนิคเด็ดๆและกลเม็ดการเตรียมสอบและการใช้ภาษาอังกฤษได้ก่อนใครที่ Xpert English, the home of Business and Academic English learners with an expert and professional development, https://www.facebook.com/expertenglishlearners/
------------------------------------------------------
ในส่วนของพาร์ทนี้เป็นข้อสอบที่ผู้สอบส่วนใหญ่มักจะคุ้นเคยมากๆ เนื่องจากข้อสอบคือมีประโยคที่ไม่สมบูรณ์มาให้และให้เรานำตัวเลือก A,B,C,D แล้วเลือกตัวเลือกที่ถูกต้องทีสุด ซึ่งในส่วนนี้แน่นอนว่า ส่วนที่ออกคำถามนั้นจะเป็น คำถามในส่วนของโครงสร้าง (Structure (แกรมม่าร์น่าปวดหัว)) และ Vocabulary (คำศัพท์) นั่นเองครับ
จริงๆแล้วการทำพาร์ทนี้ในการสอบ Reading ซึ่งมีเวลาสอบด้วยกันทั้งหมด 1.15 น. หรือ 75 นาที พาร์ทนี้ควรจะใช้เวลาไม่เกิน 15-20 นาที เพื่อที่จะได้มีเวลาให้พาร์ทที่โหดหินกว่านี้อย่างพาร์ท 6-7 โดยเฉพาะอย่างยิ่งพาร์ท 7 ซึ่งคงต้องว่ากันยาวๆ ในส่วนนี้มีเทคนิคอยู่ที่
1.ดูช้อยส์ ถ้าช้อยส์เป็นคำศัพท์เหมือนกัน แต่เป็น Part of Speech ที่ต่างกัน ข้อนั้นถามแกรมม่าร์ชัวร์ป๊าป แต่ถ้าตัวเลือกเป็นคำศัพท์แต่ละคำศัพท์ที่ต่างกัน ข้อนั้นถามคำศัพท์แน่นอน
2.วิเคราะห์แกรมม่าร์ที่ออกบ่อย เช่นเรื่อง Concord (Agreement of Subject and Verb), Tense, Voice เป็นต้น
3. ถ้าไม่รู้ก็เดา แต่เดาให้มีศิลปะ วิธีที่ผมใช้ประจำคือ ถ้าไม่รู้ตอบข้อไหน ก็เอาช้อยส์มาเติมแล้วอ่านไปเลย ถ้าข้อไหนคุ้นสุดข้อนั้นแหละมีโอกาสถูกมากที่สุด แต่บางคนคงคิดว่า เดาอย่างนี้มันมีศิลปะตรงไหน? ประเด็นคือว่า นอกจากเราจะเอาหลักการที่ ประโยคดังกล่าว ถูกไวยากรณ์ (Grammatical) + มีคนใช้หรือไม่ หากคำดังกล่าวมีคนใช้แสดงว่ามัน(อาจจะ)ถูก ก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าเราอ่าน(เดา)ว่าเราได้ยินข้อไหนมากที่สุด ข้อนั้นก็อาจจะมีโอกาสถูกมากที่สุดก็เป็นได้ (แต่ถ้าเลือกใช้ข้ออื่นได้ก็เลือกเถอะ ข้อนี้จริงๆไม่แนะนำ)
4.การตัดช้อยส์ (Elimination)
วิธีนี้คือเราไม่รู้จริงๆว่าจะตอบข้อไหนดีเราก็เลยต้องใช้วิธีตัดช้อยส์ให้เหลือข้อที่มีความน่าจะเป็นว่าจะถูกมากที่สุด ดังนั้นแล้ว ช้อยส์มีทั้งหมด 4 ตัวเลือก เราตัดทีละตัวเลือก โอกาสถูกก็จะมีมากขึ้นจาก 0-25-50-100 เปอร์เซ็นต์ ขอบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่คนนิยมใช้กันมากที่สุดวิธีหนึ่งเลยล่ะครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
พูดง่ายๆว่าพาร์ทนี้เป็นลูกผสมระหว่างพาร์ท 5 กับ พาร์ท 7 โดยแท้จริง โดยรูปแบบการสอบก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากพาร์ท 5 เลย มีช้อยส์ 4 ข้อให้เลือกเหมือนเดิม แต่ที่ต่างออกไปคือ พาร์ท 6 นี้ ไม่ได้มาเป็นประโยคสองประโยค
แต่มาเป็น Text คือมาแบบตัดมาทั้งโฆษณา ประกาศ ให้เราอ่าน เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีส่วนที่หายไปอีก ซึ่งเจ้าส่วนที่หายไปนี้ คราวนี้มาได้ถึงสามรูปแบบ
1.Grammar-อันนี้เหมือนพาร์ท 5 คือมาเป็นคำศัพท์เดียวกันแต่ Part of Speech ไม่เหมือนกัน
2.Vocabulary-เหมือนเดิม
3.Context-คราวนี้แหละที่ต่างไปจากเดิม
พาร์ทนี้ดูเหมือนยาก แต่ความยากมันยังไม่สุดตรงที่ว่า มันมีให้ทำไม่เยอะ แต่ดังนั้นก็ยังยากอยู่ดี
นอกจากเทคนิคต่างๆที่ได้กล่าวไปในพาร์ท 5 ที่เราเอามาใช้ได้แล้ว เทคนิคอีก 1 เทคนิคที่จะทำให้เราประหยัดเวลาได้จาก พาร์ท 6 คือ การอ่านเฉพาะประโยคหน้าและหลังของประโยคที่หายไป ซึ่งตรงนี้ไม่ได้การันตีว่าจะทำได้หมดทุกคำถาม แต่จะเป็นประโยชน์ในการประหยัดเวลาของเรามากยิ่งขึ้น เพื่อไปทำในพาร์ทโหดสุดหิน พาร์ท 7 ที่หลายคนบอกว่า นี่แหละที่สุดแห่งชีวิตแล้ว ไม่ใช่มันยากนะ แต่ทำไม่ทันเว้ยยยย
-------------------------------------
สำหรับพาร์ทนี้ เป็นการอ่าน อ่านล้วนๆ อ่านแบบตะบี้ตะบันอ่าน และแต่ละเรื่องก็ไม่ได้มาแบบกระจิ๊บกระจ้อย แต่มาเป็น Passages เช่นประกาศ บทความ (ตัวดี ต้องระวัง) โฆษณา ซึ่งจะมีทั้งแบบสั้น (Short Passage) และแบบยาว (Long Passage) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
1.Single Passage
อันนี้มาเดี่ยวๆ คำถามอยู่ใน Text อันเดียวสบายๆแบบเบิร์ดๆ
2.Double Passage
อันนี้โหดหินมฤตยูสุดพลัง อย่างบางข้อเป็นอีเมล มาสองอัน บางทีคำตอบข้อแรกๆอยู่ Passage อันหลังซะงั้น
จริงๆไม่ได้ยากตรงที่เนื้อหา แต่ยากตรงที่มันเยอะและการจัดสรรเวลาของเราในพาร์ท 5-6 ทำให้เวลาเราเหลือในการทำ พาร์ท 7 น้อยมากๆ ดังนั้นแล้ว ก็อาจจะหมดเวลาเสียก่อนที่จะทำให้เราทำจนจบครบพาร์ท 7 นั่นเอง บางคนน่าเสียดายมากที่ออกมาจากห้องสอบแล้วต้องว่างไว้เป็นสิบๆข้อ ถ้างั้นก็ลองมาดูเทคนิคปราบเซียนกับพาร์ทนี้เลยครับ ซึ่งสามารถเลือกทำได้สองแบบ
1.เลือกทำจากน้อยไปหามาก
หมายถึงเริ่มทำจาก Single Passage และ Short Passage เสร็จให้หมดแล้วค่อยไปทำ Double Passage และ Long Passage ซึ่ง วิธีนี้จะประหยัดเวลาในการทำ แล้วเราจะได้เอาเวลาไปทุ่มกับข้อหลังๆได้
2.เลือกทำจากมากไปหาน้อย
คือให้ทำ Double Passage และ Long Passage ก่อน แล้วค่อยกลับไปทำข้อที่เหลือ เพราะส่วนใหญ่แล้วข้อที่มีโจทย์เยอะๆให้เราทำคือ Double Passage และ Long Passage ที่มีสูงสุด ถึง 5 ข้อ ส่วน Single Passage และ Short Passage อาจจะมีแค่ 2-3 ข้อ เท่านั้น นั้นเท่ากับว่า เราต้องใช้เวลาอ่านเรื่องนึงและทำความเข้าใจเพื่อตอบคำตอบ 2-3 ข้อ ในตอนแรก และจะทำให้เวลาที่เราจะต้องไปอ่าน Passage ยาวๆในตอนหลังไม่ทัน และนี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมบางคนถึงทำไม่ทันนั่นเอง
3.ถ้ามันอ่านไม่ทันจริงๆ ทำยังไงอะ?
วิธีการคือฝนไปเลยครับ ฝนไปอย่าได้หยุด แต่ๆๆๆ ไม่ใช่ว่า ฝนไปเรื่อย เดี๋ยวข้อนี้ A ข้อนี้ B นะครับจะเอาข้อไหน ฝนลงไปเลยครับ A ก็ A สิบข้อไปเลย เพราะอย่างน้อยมันต้องมีโอกาสถูกสักข้อละครับในสิบข้อนั้นแน่นอน และนี่เป็นทริกที่ไม่ควรเอาอย่างอีกทริกนึงนะครับ แหะๆ
สำหรับวิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เราอ่านได้เร็วขึ้น คือการอ่านทุกวันครับ เดี๋ยวนี้เรามี Social network แค่กดไลก์เพจก็สามารถที่จะติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารของโลกและได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษไปด้วยง่ายๆแล้วครับ
แล้วพบกันใหม่คราวหน้า สวัสดีครับ
---------------------------------------------------------
รวมกระทู้ใน TOEIC SERIES หรือติดตามได้ที่ https://expertenglishlearners.wordpress.com/
-----------------------------------------
5 หนังสือเตรียมสอบ TOEIC ที่คุณต้องไม่พลาดก่อนไปสอบ
http://ppantip.com/topic/35562520
(TOEIC SERIES) 5 กลเม็ดเด็ดเตรียมสอบ TOEIC อย่างมั่นใจ (ภาคต่อ 5 หนังสือเตรียมสอบ TOEIC )
http://ppantip.com/topic/35589713
(TOEIC SERIES) เจาะ 7 พาร์ทข้อสอบ TOEIC พาร์ทไหนยาก-ง่ายยังไง มาดูกัน
https://ppantip.com/topic/35749744
-------------------------------------------------------