รีวิว ครั้งที่ 2 ของเราค่า “เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฏร์ธานี”

________________________________________________________________
เริ่มต้นการเดินทางทริปนี้ด้วยเครื่องบินแอร์เอเชีย เราจองตั๋วช่วงโปรโมชั่นไว้ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ไป-กลับ ประมาณคนละ 700 บาทค่ะ เครื่องลงตรงเวลาเป๊ะที่สุราษฎร์ประมาณ 8.30 น. ก็ออกมารอรถที่จองไว้มารับไปยังท่าเรือ

ขอแจงรายละเอียดทัวร์ที่เราจองไว้นิดนึงนะคะ
เราจองแพคเกจทัวร์จากงานไทยเที่ยวไทยเมื่อกลางปีที่แล้ว ของ พร-ฤทธิ์ ทัวร์ 3 วัน 2 คืน รวมค่าใช้จ่าย 2 คน 14,000 บาท  รายละเอียด ดังนี้
- ค่ารถรับส่ง สนามบิน-ท่าเรือ-สนามบิน
- ค่าเรือรับส่ง ท่าเรือ-ที่พัก-ท่าเรือ และพาชมวิวในแต่ละวัน
- ค่าที่พัก 3 วัน 2 คืน
- ค่าอาหาร 6 มื้อ
- ค่าเรือแคนนู
- ค่าประกันระหว่างท่องเที่ยว

นั่งรถจากสนามบินมาถึงท่าเรือประมาณ 40 นาที แนะนำว่าก่อนเข้าท่าเรือแวะซื้อของกิน เครื่องดื่ม จากเซเว่นก่อนนะคะ เพราะที่ที่พักจะราคาสูงกว่าปกติ แต่ถ้าไม่ซีเรียสก็ไปซื้อที่ที่พักก็ได้ค่ะ

เมื่อมาถึงท่าเรือแล้ว คนขับรถก็บอกให้ไปนั่งรอที่ศาลา เดี๋ยวไกด์อีกคนจะโทรมาพาขึ้นเรือ ซึ่งต้องรอนักท่องเที่ยวอีก 2 กลุ่มที่กำลังมา เพราะต้องลงเรือลำเดียวกัน พักที่เดียวกัน เรามาถึงเป็นกรุ๊ปแรกค่ะ ประมาณ 10.15 น. คนขับรถบอกรอไม่เกิน 11 โมง น่าจะได้ขึ้นเรือ แต่เอาเข้าจริงๆ เกือบเที่ยงค่ะ _ _” รอชาวต่างชาติ 4 คน พวกนางเพิ่งเดินทางมาถึงที่ท่าเรือ

ที่เห็นคนเยอะๆ นั่น คือท่าเรือค่ะ แต่ละลำก็ไปส่งยังที่พักต่างๆ แล้วแต่จะจองเข้ามา ก็มีทั้งเรือเหมา เรือจอย ลำของเราเป็นเรือจอยค่ะ มีทั้งหมด 8 คน คนไทย 4 (รวมเราแล้ว) ชาวต่างชาติ 4 นั่งสบายๆ ไม่มาก ไม่น้อย

พอกรุ๊ปเราคนครบปุ๊บ ก็เดินขึ้นขึ้นเรือกันเลยค่ะ เรือก็ออกทันที พอเรือแล่นออกจากท่าเรือ หนทางข้างหน้าก็คือภาพของภูกเขาใหญ่ๆ ยาวๆ กับผืนน้ำกว้างขาง ลมเย็นๆ ปะทะหน้า ฟินมากค่ะ

นั่งเรือชมวิวทิวทัศน์ประมาณเกือบๆ ชั่วโมงนึง เรือก็มาจอดที่จุดไฮไลท์ คือ เขาสามเกลอ หรือ กุ้ยหลินเมืองไทย แต่ถ่ายรูปออกมาเห็นไม่ค่อยชัด เพราะข้างหน้ามีเรืออีกลำ เรือลำที่เรานั่งเลยจอดอยู่ไกลๆ

เก็บภาพกันสักแป๊บก็เริ่มหิว เค้าก็พาไปทานข้าวกลางวันกันค่ะ ซึ่งรวมอยู่ในแพคเกจแล้ว เค้าเตรียมอาหารไว้ที่แพนางไพร (ไม่แน่ใจว่าชื่อนี้หรือเปล่า) เป็นที่พักของอุทยาน แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย สงสัยจะหิว

บริเวณแพมีปลาเยอะเลย จำไม่ได้ว่าชื่อปลาอะไร มีอาหารปลาขายเป็นเมล็ดข้าวโพด

กินข้าวเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อค่ะ ไกด์บอกว่าจะพาไปเดินป่าเข้าถ้ำ นั่งเรือไปอีกไกลเลยค่ะ เขื่อนกว้างขวางดีจริงๆ ไกด์บอกว่ากว้างประมาณ 400,000 กว่าไร่!!!!

แล้วก็มาถึงสถานที่เดินป่าเข้าถ้ำ ไม่ได้เตรียมตัวมาเลยค่ะ คือจองแพคเกจไว้นานเกิน เลยจำไม่ได้ว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง พอมาถึงก็ลงเรือจ่ายค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท (ไม่ได้รวมในแพคเกจ) แล้วก็เดินกันไปเลย ทางเดินเป็นทางขึ้นเขา ขึ้นเนิน ลงเนิน สลับกันไป เราต้องเดินเข้าป่าข้ามไปอีกฝั่งนึง ระยะทางประมาณ 1 กิโลกว่าๆ (มั้งนะ) ก็เหนื่อยเอาการสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างเรา แต่ฝรั่งนี่เค้าเดินกันชิวมากเลยค่ะ

พอถึงอีกฝั่งนึงก็จะเป็นเวิ้งกว้างๆ ออกแนวห้องโถงใหญ่ๆ แต่โอบล้อมด้วยภูเขาแต่พื้นเป็นน้ำอ่ะค่ะ เราต้องต่อแพไม้ไผ่ไปที่ถ้ำ ซึ่งมีคุณลุงขับแพรออยู่แล้ว

พอถึงหน้าถ้ำ คุณลุงก็แจกไฟฉายคนละอัน แล้วก็เดินตามไกด์เข้าไป ภายในถ้ำก็จะเป็นพวกหินงอก หินย้อย ไม่ใหญ่โตอะไรมากมาย เดินเข้าไปนิดเดียวก็ตันแล้ว

เสร็จแล้วก็นั่งแพไม้ไผ่กลับมา แล้วเดินข้ามกลับมา เหนื่อยแต่ก็สนุกดีค่ะ ระหว่างก็มีเจ้าค่างแว่นโผล่มาทักทาย 2-3 ตัว

เสร็จกิจกรรมวันนี้แล้ว เรือก็พาเราเข้าที่พักค่ะ นั่งเรือมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเลย ลมเย็นๆ อากาศดีๆ ทำเอาเคลิ้มเหมือนกันค่ะ ระหว่างทางก็จะเห็นแพที่พักของเจ้าอื่นๆ

และแล้วก็มาถึงที่พักของเราค่ะ “แพคีรีธารา” มีห้องน้ำในตัว มีไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ แต่ไม่มีรูเสียบปลั๊กนะคะ แพมี 2 ชั้น พักได้สูงสุด ชั้นละ 4 คน แต่เราไป 2 คน ได้ครอบครองทั้งหลังเลยค่ะ ^^

ที่พักของเราจะมีอยู่ 8 หลัง แล้วก็ที่อยู่ติดกันยาวกันไปโค้งข้างหน้านั่นเป็นของอีกเจ้านึงค่ะ แต่จำชื่อที่พักไม่ได้ว่าชื่ออะไร _ _”

บรรยากาศเงียบสงบดีค่ะ เรามาถึงที่แพประมาณ สี่โมงเย็น แดดยังส่องที่หน้าห้องอยู่ เรารอสักพักค่อยโดดน้ำเล่น ระเบียงหน้าที่พักก็จะมีเรือแคนนูผูกไว้ให้ค่ะ พายเล่นได้เลย แรกๆ เราก็พายไม่เป็น จนอีกวันนึงพายคล่องเลยค่ะ ^^

เล่นน้ำ พายเรือเล่น สักหกโมงเย็นก็ขึ้นมาอาบน้ำ แล้วไปกินข้าวเย็นที่เค้าเตรียมไว้ให้ตรงพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งใช้รวมกันกับแพของอีกเจ้านึง อาหารที่เอามาเสริ์ฟจานใหญ่ทีเดียวค่ะ เติมได้ไม่อั้น ปกติเค้าเตรียมไว้สำหรับ 4 คน แต่เรากิน 2 คนค่ะ!! แต่ก็ไม่หมดนะ เพราะมันเยอะจริงๆ

กินข้าวเสร็จ ก็มานั่งรับลม จิบเครื่องดื่มเย็นๆ พูดคุย เม้ามอย กันที่ระเบียงหน้าห้อง สักพักเริ่มเคลิ้มๆ ค่ะ อากาศเย็นๆ เลยไปเอาหมอนในห้องออกมานอนเล่น แล้วก็งีบหลับไปจริงๆ สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะตัวอยู่ชิดริมพื้นละค่ะ พลิกตัวนิดเดียวนี่ตกน้ำได้เลย >,< เลยขนหมอนกลับเข้าไปนอนหลับจริงจังกันในห้อง ตอนนั้นน่าจะประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ หลับสนิทยันเช้าเลยค่ะ พักผ่อนได้เต็มอิ่มดีจริงๆ เพราะเพลียจากการเดินทางมาทั้งวัน

กิจกรรมวันที่ 2
7.00 น. ล่องเรือชมบรรยากาศยามเช้า
8.00 น. กินข้าวเช้า
12.00 น. กินข้าวเที่ยง
วันนี้เพื่อนๆ ที่นั่งเรือมาด้วยกันเมื่อวานเช็คเอ้าท์วันนี้กันหมดเลย แน่นอนค่ะว่า เหลือแค่เรา 2 คน ที่เป็นแขก ณ เวลานี้ เงียบสงบ ส่วนตัวมากๆ ค่ะ  แต่ประมาณ 11 โมง ก็มีแขกมาพักแพนู้นอีกกรุ๊ปนึง ประมาณ 6-7 คน เป็นชาวต่างหมดเลย หลังจากนั้นก็ นั่งๆ นอน ฟังเพลง ชมบรรยากาศ แล้วก็งีบหลับไป

ตื่นมาประมาณ บ่ายสามกว่าๆ แดดยังร้อนอยู่ค่ะ เลยหาขนมกิน ละก็ไปนั่งเล่นหลังบ้าน นั่งคุยกะพี่ที่ดูแลแพ พี่ๆ บริการดีมากค่ะ ใจดี น่ารัก เป็นกันเอง พอแดดเริ่มร่ม ก็โดดน้ำ พายเรือกันต่อค่ะ พอประมาณสักห้าโมงกว่าๆ พี่คนขับเรือเค้าก็พาเราไปลากเรือเล่นค่ะ โดยการเอาเรือแคนนูผูกต่อท้ายเรือลำใหญ่แล้วแล้วก็ลากไปในเขื่อนค่ะ สนุกดี คือมีแค่เราเล่นกัน 2 คน วันนี้แพเรามีแขกต่างชาติมาพักอีก 2 คน แต่เค้าไม่มาเล่นด้วยค่ะ พี่ที่ดูแลแพเลยมาเล่นเป็นเพื่อน ^^

ลากไปประมาณ ครึ่งชม. ก็กลับมาอาบน้ำ ไปกินข้าวเย็นกันต่อ จัดเต็มเหมือนเดิมค่ะ หลังจากนั้นก็มานั่งเล่นหน้าบ้านเหมือนเดิม จริงๆ แล้วก็ไม่มีค่อยมีไรทำมาก สำหรับคนที่ไม่ชอบเงียบๆ หรืออยู่เฉยๆ นานๆ ไม่ค่อยได้ แนะนำว่ามาแค่ 1 คืนก็พอค่ะ เดี๋ยวจะเบื่อเอาซะก่อน แต่สำหรับเรา 2 คืนกำลังโอเคเลย มาพักผ่อนทั้งทีก็ได้พักผ่อนจริงๆ

วันที่ 3 เราตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพราะกันกันไว้ว่าหกโมงจะไปพายเรือเล่นกัน สูดโอโซนให้เต็มปอดก่อนกลับเข้าเมือง สดชื่นมากๆ ค่ะ

เราเช็คเอ้าท์กันตอนเก้าโมง เรือที่พาเรากลับเข้าฝั่ง มีแค่เรา 2 คนค่ะ ชาวต่างชาติ 2 คนเมื่อวานนี้เค้าออกตอนเที่ยง เราเลยได้เป็นเรือส่วนตัวมาเลยค่ะ ถึงท่าเรือก็นั่งรอรมารับ คนขับรถกาเราถ่ายรูปที่สันเขื่อนกับสะพานแขวน และภูเขารูปหัวใจ ก่อนไปส่งที่สนามบินค่ะ

ก็จบด้วยประการฉะนี้ค่ะ สำหรับการรีวิวเขื่อนรัชชประภา ถือได้ว่าเป็นทริปที่ประทับใจที่สุดอีกทริปนึงของเราเลยค่ะ ถ้ามีโอกาสก็จะกลับไปอีกแน่นอน ^^

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านจนจบนะคะ