สวัสดีครับวันนี้มีโอกาสได้มาเขียนกระทู้รีวิวท่องเที่ยวให้อ่านกันอีกครั้งนึง หลังจากช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปเที่ยวทริปยิบย่อยรอบๆกรุงเทพฯ มาพอสมควร ก็อยากมีทริปที่ออกไปไกลๆ กทม. หลุดจากความวุ่นวายในเมืองกรุง ไปสัมผัสบรรยากาศดีดี สูดอากาศบริสุทธิ์ไกลๆอีกครั้ง ก็เลยรวบรวมสมาชิก จัดทริปกันไป ซึ่งทริปนี้เราจะไปพักกายพักใจกันที่เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี เรามีสมาชิกร่วมทริป 5 คน หลังจากที่วางแพลนต่างๆกันแล้วก็แบ่งหน้าที่กันไปจองอะไรต่อมิอะไรให้เรียบร้อย รอแค่ให้ถึงวันเดินทาง
การเดินทาง
ถึงวันเดินทาง สมาชิกทริปนี้มารวมตัวกันที่สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ใหม่ ซึ่งเราจองตั๋วรถไว้ เป็นรถทัวร์ VIP 24 ที่นั่ง ของ บ.ภูเก็ตเซ็นทรัลทัวร์ สายกรุงเทพฯ-ภูเก็ต ค่าโดยสารคนละ 734 บาท ตีตั๋วลงที่บ้านตาขุน ออกเดินทางรอบ 19.50น. สามารถโทรจองตั๋วหรือสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์ 02-8858692
ล้อหมุนตรงเวลา จากที่เราเริ่มออกเดินทาง นับเวลาไปอีกประมาณ 10 ชั่วโมง เราจะถึงตลาดบ้านตาขุน แรกๆก็นั่งเม้าท์มอยกันไปสักพักต่างคนก็เข้าสู่ภวังค์กันหมด ตื่นมาอีกทีตอนที่รถจอดแวะให้พักกินข้าว กับตอนที่มีเสียง “บ้านตาขุนค่าาาา!!!” สารภาพว่าตอนนั้นยังไม่อยากตื่นเลยจริงๆ
จุดที่เราลงรถเรียกว่า ตลาดชุมชนบ้านตาขุน มีจุดสังเกตตรงเซเว่นนี่แหละครับ หลังจากมาถึงก็โทรบอกคนขับรถที่เราให้แพที่พักติดต่อไว้ให้ ราคาก็แล้วแต่จะตกลงกัน อยู่ที่ประมาณ 300-500 บาท ถ้ามาหลายคนก็หารกันสบายๆครับ
เช้าวันแรก
หลังจากติดต่อรถให้มารับแล้ว เค้าบอกว่า "ไม่ต้องรีบหาอะไรกินกันก่อนก็ได้" …ตามนั้นเลยครับ จุดที่เรารออยู่เป็นตลาดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราเลยเดินหาของกินรองท้องกันไปจนได้เจอร้านโจ๊กกับร้านปาท่องโก๋อร่อยๆ อันนี้จำชื่อร้านไม่ได้ แต่คงหาไม่ยาก อร่อย ราคาถูก แนะนำเลยครับ
จัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อย พร้อมกับที่รถมารับพอดี เราออกเดินทางจากตลาดบ้านตาขุนมุ่งหน้าสู่เขื่อนรัชประภา แต่ก่อนที่เราจะไปเขื่อนรัชประภา คนขับรถพาเรามาแวะที่นึง ที่สะพานแขวน ภูเขารูปหัวใจ
ที่นี่ตอนเช้าอากาศดีมากๆ บรรยากาศสวยงาม เงียบสงบ นี่เรายังไม่ทันจะถึงจุดหมายของเรา ก็เริ่มหลงรักความสงบของที่นี่ซะแล้ว
ฟินกับบรรยากาศดีดีของธรรมชาติ และถ่ายรูปที่สะพานแขวนกันสักพัก เราก็ขึ้นรถต่อมาถึงบริเวณสันเขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลานนั่นเอง
เขื่อนรัชประภา หรือ เขื่อนเชี่ยวหลาน อยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติเขาสก ตามธรรมเนียมครับ มาถึงแล้วต้องถ่ายรูปหมู เอ้ย! รูปหมู่เช็คกับป้ายกันซะหน่อย
วิวบนสันเขื่อนก็สวยงามมิใช่น้อยครับ มองไปเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาใหญ่ๆที่สลับซับซ้อน ลองจินตนาการดูสิครับว่าเราจะได้เข้าไปอยู่ระหว่างภูเขาเหล่านั้น มันจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แค่คิดก็รู้สึกตัวเล็กแล้ว
ถ่ายรูป ชมวิว ที่สันเขื่อนกันสักพักก็ให้คนขับรถพามาส่งที่ท่าเรือเทศบาล ตรงนี้เสียค่าเข้าอุทยานคนละ 40บาท
บรรยากาศบริเวณท่าเรือเทศบาล ก่อนที่เราจะนั่งเรือไปชมความงามของธรรมชาติภายในเขื่อนรัชประภา
บอกไว้ก่อนเลยว่ามาถึงตรงนี้แล้ว ใครอยากจะเช็คอิน เช็คไลน์ เฟสบุ๊ค ไอจี หรือโทรหาแม่ โทรหาแฟน ให้รีบติดต่อซะนะครับ เพราะหลังจากนี้ช่องสัญญาณโทรศัพท์ของคุณจะขึ้นคำว่า No service แล้ว
มุ่งหน้าสู่กุ้ยหลินเมืองไทย ตัดขาดสัญญาณอินเตอร์เน็ต
เราลงเรือกันมาจากท่าเรือโดยเรือที่ทางแพที่พักได้ติดต่อไว้ให้ ราคาเหมาลำ 2500 บาท โดยเรือจะมารับและไปส่งที่แพ ระหว่างทางไปแพก็จะพาไปชมกุ้ยหลินเมืองไทย เขาสามเกลอ และบรรยากาศภายในเขื่อนเชี่ยวหลานระหว่างทางไปที่พัก
นั่งเรือมาสักพัก เรามาถึงจุดที่เรียกว่าประตูสู่กุ้ยหลินเมืองไทย ตอนนี้รอบตัวมีเพียงผืนน้ำและภูเขาหินปูนที่สูงใหญ่ ไร้สัญญาณอินเตอร์เน็ต ไร้สัญญาณโทรศัพท์ อยู่กับธรรมชาติล้วนๆแล้วล่ะครับ
ยิ่งนั่งเรือเข้ามาไกล ยิ่งได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ น้ำใสๆ ภูเขาหินปูนสูงๆ อยู่ตรงนั้นแล้วมองไปรอบๆมันทำให้รู้ว่าเราเป็นเพียงส่วนๆเล็กของธรรมชาติเท่านั้นเอง
นั่งเรือลัดเลาะไปตามลำน้ำและภูเขา สักพักเรามาถึงจุดที่ พี่จอน คนขับเรือบอกว่านี่คือไฮไลท์ของกุ้ยหลินไทยแลนด์ นั่นคือเขาสามเกลอนั่นเองครับ
เขาสามเกลอ มีลักษณะเป็นแท่งเขาหินปูนตั้งเรียงกันสามแท่ง ล้อมรอบไปด้วยภูเขาใหญ่ๆเป็นเหมือนอ่าวเล็กๆ ดูมีความความสวยงามตามธรรมชาติ ตรงนี้พี่จอน จอดเรือให้เราถ่ายรูปกันอย่างหนำใจเลยครับ
นอกจากตรงนี้จะเป็นจุดชมความงามของธรรมชาติ จุดถ่ายรูป จุดเช็คอิน(ถ้ามีสัญญาณโทรศัพท์โผล่มานะ) ตรงนี้ยังเป็นจุดเล่นน้ำของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลุ่มเล็กๆด้วย น้ำใสๆแบบนี้เป็นใครก็อยากลงเล่นเนอะ
เข้าที่พัก ณ แพเพลินไพร
หลังจากที่เราล่องเรือชมความสวยงามของธรรมชาติในเขื่อนรัชประภาแล้ว เราก็ล่องเรือมาจนถึงที่พักที่เราได้จองไว้ ทริปนี้เราพักกันที่ “แพเพลินไพร”
ที่แพเพลินไพรแห่งนี้ เป็นแพของเอกชนที่ถือว่าไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับแพของเอกชนที่อื่นๆ มีบ้านพักหลายหลังเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินไม้ด้านหน้า ล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูง มีนักท่องเที่ยวมาพักไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เยอะจนแออัด ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติครับ
รอบๆที่พักก็เป็นน้ำใสๆ มีที่ให้โดดน้ำ เล่นน้ำได้เต็มที่ ราคาที่พักของแพเพลินไพรนี้ อยู่ที่คนละ 1500 บาท ราคานี้เป็นราคารวมที่พักพร้อมอาหาร 3 มื้อ มีเรือคายัคให้พายเล่นฟรี แต่ต้องมัดจำไม้พาย 500 บาท คืนไม้คืนเงิน และที่นี่บริการดีมากๆเลย
ข้อเสียนิดนึงคือที่นี่ร้อนมากครับเปิดไฟฟ้าแค่ 6 โมงครึ่ง ถึง 5ทุ่ม แต่ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีของคนที่ไม่อยากจองที่พักราคาแพงเกินไปหรือจองที่พักของอุทยานไม่ทัน สามารถติดต่อที่พักได้ที่
https://www.facebook.com/แพเพลินไพร-เขื่อนรัชชประภา หรือโทร 081-8926321 ติดต่อคุณวาสนา นะครับ
ช่วงที่เราไปเป็นช่วงต้น พ.ค. ขอบอกว่ากลางวันแดดร้อนมากๆๆๆ จนไม่อยากออกไปไหนเลย แต่อยู่เฉยๆก็ร้อน โดดน้ำเล่นซะเลย ไหนๆเราก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน เพราะงั้น เล่นให้สุด เอาให้คุ้ม
อยู่กลางน้ำ ล้อมด้วยเขา รอชมพระอาทิตย์ตก
หลังจากเล่นน้ำจนดำไปทั้งตัวแล้ว ตอนเย็นเรายังมีอีกกิจกรรมนึงคือนั่งเรือออกไปชมพระอาทิตย์ตก (กิจกรรมนี้ไม่ได้รวมอยู่ในราคาค่าเรือเดิม ต้องจ่ายเพิ่มอีก 500-700แล้วแต่จะตกลงกัน แต่ในเมื่ออยากไปก็จ่ายเลยครับ)
ระหว่างนี้ขอเผยโฉม พี่จอน คนขับเรือที่มีอินเนอร์นายแบบอยู่ในตัว
ตอนก่อนนั่งเรือออกมาฟ้าก็โล่งดี ทำไมออกมาสักพักฟ้าเริ่มจะครึ้มอย่างงี้ล่ะ แต่ถ้าจะให้เลี้ยวเรือกลับตอนนี้ก็คงไม่ได้ ถ้าฝนยังไม่ตกเราก็จะไปต่อ ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไรจะไปจนถึงแสงสุดท้าย…
เราไปลอยลำรอเวลาที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขากันสักประมาณ 1ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆไปเรื่อย ต้องบอกว่าเป็นการรอคอยที่ไม่น่าเบื่อเลยถึงแม้จะไม่มีอะไรให้เล่นนอกกจากถ่ายรูป ไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์ค โทรศัพท์ที่พกไปแทบจะไม่มีความหมาย
และแล้วฉากที่เรารอคอยก็มาถึง ช่วงเวลาที่จะได้เป็นพระอาทิตย์ตกลับเหลี่ยมเขา ในบรรยากาศที่เงียบสงบท่ามกลางผืนน้ำและหุบเขาสูงๆโดยรอบ มันเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกมากๆเลยครับ
ถึงแม้ว่าฟ้าจะครึ้ม เมฆจะมาก แต่ครั้งนี้ เป็นการชมพระอาทิตย์ตกที่ชอบมากๆอีกครั้งหนึ่งในชีวิต จะด้วยสถานที่หรือว่าบรรยากาศรอบๆก็แล้วแต่ มันทำให้ผมมีความสุขที่ได้อยู่ในช่วงเวลาแบบนี้
ชื่นชมบรรยากาศ ของธรรมชาติท่ามกลางแสงเย็นอันสวยงามกันเต็มที่แล้ว ถึงเวลาที่เราต้องกลับแพแล้ว มาถึงปุ๊บ อาหารเย็นพร้อมรอเราอยู่แล้ว แต่ละเมนูอร่อยไม่ใช่เล่นเลย แถมยังเติมเรื่อยๆด้วย
หลังมื้อเย็นก็ไม่มีอะไรครับนอกจาก นั่งชิล จิบเบียร์เบาๆ คุยนู่น นี่ นั่น กันไปเรื่อย ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน เป็นอันว่าจบวันแรกที่เขื่อนรัชประภา
[CR] สัมผัสธรรมชาติ ตัดขาดโลกภายนอก ที่ เชี่ยวหลาน เขื่อนรัชประภา
สวัสดีครับวันนี้มีโอกาสได้มาเขียนกระทู้รีวิวท่องเที่ยวให้อ่านกันอีกครั้งนึง หลังจากช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปเที่ยวทริปยิบย่อยรอบๆกรุงเทพฯ มาพอสมควร ก็อยากมีทริปที่ออกไปไกลๆ กทม. หลุดจากความวุ่นวายในเมืองกรุง ไปสัมผัสบรรยากาศดีดี สูดอากาศบริสุทธิ์ไกลๆอีกครั้ง ก็เลยรวบรวมสมาชิก จัดทริปกันไป ซึ่งทริปนี้เราจะไปพักกายพักใจกันที่เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ เขื่อนรัชประภา จ.สุราษฎร์ธานี เรามีสมาชิกร่วมทริป 5 คน หลังจากที่วางแพลนต่างๆกันแล้วก็แบ่งหน้าที่กันไปจองอะไรต่อมิอะไรให้เรียบร้อย รอแค่ให้ถึงวันเดินทาง
การเดินทาง
ถึงวันเดินทาง สมาชิกทริปนี้มารวมตัวกันที่สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ใหม่ ซึ่งเราจองตั๋วรถไว้ เป็นรถทัวร์ VIP 24 ที่นั่ง ของ บ.ภูเก็ตเซ็นทรัลทัวร์ สายกรุงเทพฯ-ภูเก็ต ค่าโดยสารคนละ 734 บาท ตีตั๋วลงที่บ้านตาขุน ออกเดินทางรอบ 19.50น. สามารถโทรจองตั๋วหรือสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์ 02-8858692
ล้อหมุนตรงเวลา จากที่เราเริ่มออกเดินทาง นับเวลาไปอีกประมาณ 10 ชั่วโมง เราจะถึงตลาดบ้านตาขุน แรกๆก็นั่งเม้าท์มอยกันไปสักพักต่างคนก็เข้าสู่ภวังค์กันหมด ตื่นมาอีกทีตอนที่รถจอดแวะให้พักกินข้าว กับตอนที่มีเสียง “บ้านตาขุนค่าาาา!!!” สารภาพว่าตอนนั้นยังไม่อยากตื่นเลยจริงๆ
จุดที่เราลงรถเรียกว่า ตลาดชุมชนบ้านตาขุน มีจุดสังเกตตรงเซเว่นนี่แหละครับ หลังจากมาถึงก็โทรบอกคนขับรถที่เราให้แพที่พักติดต่อไว้ให้ ราคาก็แล้วแต่จะตกลงกัน อยู่ที่ประมาณ 300-500 บาท ถ้ามาหลายคนก็หารกันสบายๆครับ
เช้าวันแรก
หลังจากติดต่อรถให้มารับแล้ว เค้าบอกว่า "ไม่ต้องรีบหาอะไรกินกันก่อนก็ได้" …ตามนั้นเลยครับ จุดที่เรารออยู่เป็นตลาดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราเลยเดินหาของกินรองท้องกันไปจนได้เจอร้านโจ๊กกับร้านปาท่องโก๋อร่อยๆ อันนี้จำชื่อร้านไม่ได้ แต่คงหาไม่ยาก อร่อย ราคาถูก แนะนำเลยครับ
จัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อย พร้อมกับที่รถมารับพอดี เราออกเดินทางจากตลาดบ้านตาขุนมุ่งหน้าสู่เขื่อนรัชประภา แต่ก่อนที่เราจะไปเขื่อนรัชประภา คนขับรถพาเรามาแวะที่นึง ที่สะพานแขวน ภูเขารูปหัวใจ
ที่นี่ตอนเช้าอากาศดีมากๆ บรรยากาศสวยงาม เงียบสงบ นี่เรายังไม่ทันจะถึงจุดหมายของเรา ก็เริ่มหลงรักความสงบของที่นี่ซะแล้ว
ฟินกับบรรยากาศดีดีของธรรมชาติ และถ่ายรูปที่สะพานแขวนกันสักพัก เราก็ขึ้นรถต่อมาถึงบริเวณสันเขื่อนรัชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลานนั่นเอง
เขื่อนรัชประภา หรือ เขื่อนเชี่ยวหลาน อยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติเขาสก ตามธรรมเนียมครับ มาถึงแล้วต้องถ่ายรูปหมู เอ้ย! รูปหมู่เช็คกับป้ายกันซะหน่อย
วิวบนสันเขื่อนก็สวยงามมิใช่น้อยครับ มองไปเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาใหญ่ๆที่สลับซับซ้อน ลองจินตนาการดูสิครับว่าเราจะได้เข้าไปอยู่ระหว่างภูเขาเหล่านั้น มันจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แค่คิดก็รู้สึกตัวเล็กแล้ว
ถ่ายรูป ชมวิว ที่สันเขื่อนกันสักพักก็ให้คนขับรถพามาส่งที่ท่าเรือเทศบาล ตรงนี้เสียค่าเข้าอุทยานคนละ 40บาท
บรรยากาศบริเวณท่าเรือเทศบาล ก่อนที่เราจะนั่งเรือไปชมความงามของธรรมชาติภายในเขื่อนรัชประภา
บอกไว้ก่อนเลยว่ามาถึงตรงนี้แล้ว ใครอยากจะเช็คอิน เช็คไลน์ เฟสบุ๊ค ไอจี หรือโทรหาแม่ โทรหาแฟน ให้รีบติดต่อซะนะครับ เพราะหลังจากนี้ช่องสัญญาณโทรศัพท์ของคุณจะขึ้นคำว่า No service แล้ว
มุ่งหน้าสู่กุ้ยหลินเมืองไทย ตัดขาดสัญญาณอินเตอร์เน็ต
เราลงเรือกันมาจากท่าเรือโดยเรือที่ทางแพที่พักได้ติดต่อไว้ให้ ราคาเหมาลำ 2500 บาท โดยเรือจะมารับและไปส่งที่แพ ระหว่างทางไปแพก็จะพาไปชมกุ้ยหลินเมืองไทย เขาสามเกลอ และบรรยากาศภายในเขื่อนเชี่ยวหลานระหว่างทางไปที่พัก
นั่งเรือมาสักพัก เรามาถึงจุดที่เรียกว่าประตูสู่กุ้ยหลินเมืองไทย ตอนนี้รอบตัวมีเพียงผืนน้ำและภูเขาหินปูนที่สูงใหญ่ ไร้สัญญาณอินเตอร์เน็ต ไร้สัญญาณโทรศัพท์ อยู่กับธรรมชาติล้วนๆแล้วล่ะครับ
ยิ่งนั่งเรือเข้ามาไกล ยิ่งได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ น้ำใสๆ ภูเขาหินปูนสูงๆ อยู่ตรงนั้นแล้วมองไปรอบๆมันทำให้รู้ว่าเราเป็นเพียงส่วนๆเล็กของธรรมชาติเท่านั้นเอง
นั่งเรือลัดเลาะไปตามลำน้ำและภูเขา สักพักเรามาถึงจุดที่ พี่จอน คนขับเรือบอกว่านี่คือไฮไลท์ของกุ้ยหลินไทยแลนด์ นั่นคือเขาสามเกลอนั่นเองครับ
เขาสามเกลอ มีลักษณะเป็นแท่งเขาหินปูนตั้งเรียงกันสามแท่ง ล้อมรอบไปด้วยภูเขาใหญ่ๆเป็นเหมือนอ่าวเล็กๆ ดูมีความความสวยงามตามธรรมชาติ ตรงนี้พี่จอน จอดเรือให้เราถ่ายรูปกันอย่างหนำใจเลยครับ
นอกจากตรงนี้จะเป็นจุดชมความงามของธรรมชาติ จุดถ่ายรูป จุดเช็คอิน(ถ้ามีสัญญาณโทรศัพท์โผล่มานะ) ตรงนี้ยังเป็นจุดเล่นน้ำของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลุ่มเล็กๆด้วย น้ำใสๆแบบนี้เป็นใครก็อยากลงเล่นเนอะ
เข้าที่พัก ณ แพเพลินไพร
หลังจากที่เราล่องเรือชมความสวยงามของธรรมชาติในเขื่อนรัชประภาแล้ว เราก็ล่องเรือมาจนถึงที่พักที่เราได้จองไว้ ทริปนี้เราพักกันที่ “แพเพลินไพร”
ที่แพเพลินไพรแห่งนี้ เป็นแพของเอกชนที่ถือว่าไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับแพของเอกชนที่อื่นๆ มีบ้านพักหลายหลังเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินไม้ด้านหน้า ล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูง มีนักท่องเที่ยวมาพักไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เยอะจนแออัด ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติครับ
รอบๆที่พักก็เป็นน้ำใสๆ มีที่ให้โดดน้ำ เล่นน้ำได้เต็มที่ ราคาที่พักของแพเพลินไพรนี้ อยู่ที่คนละ 1500 บาท ราคานี้เป็นราคารวมที่พักพร้อมอาหาร 3 มื้อ มีเรือคายัคให้พายเล่นฟรี แต่ต้องมัดจำไม้พาย 500 บาท คืนไม้คืนเงิน และที่นี่บริการดีมากๆเลย
ข้อเสียนิดนึงคือที่นี่ร้อนมากครับเปิดไฟฟ้าแค่ 6 โมงครึ่ง ถึง 5ทุ่ม แต่ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีของคนที่ไม่อยากจองที่พักราคาแพงเกินไปหรือจองที่พักของอุทยานไม่ทัน สามารถติดต่อที่พักได้ที่ https://www.facebook.com/แพเพลินไพร-เขื่อนรัชชประภา หรือโทร 081-8926321 ติดต่อคุณวาสนา นะครับ
ช่วงที่เราไปเป็นช่วงต้น พ.ค. ขอบอกว่ากลางวันแดดร้อนมากๆๆๆ จนไม่อยากออกไปไหนเลย แต่อยู่เฉยๆก็ร้อน โดดน้ำเล่นซะเลย ไหนๆเราก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน เพราะงั้น เล่นให้สุด เอาให้คุ้ม
อยู่กลางน้ำ ล้อมด้วยเขา รอชมพระอาทิตย์ตก
หลังจากเล่นน้ำจนดำไปทั้งตัวแล้ว ตอนเย็นเรายังมีอีกกิจกรรมนึงคือนั่งเรือออกไปชมพระอาทิตย์ตก (กิจกรรมนี้ไม่ได้รวมอยู่ในราคาค่าเรือเดิม ต้องจ่ายเพิ่มอีก 500-700แล้วแต่จะตกลงกัน แต่ในเมื่ออยากไปก็จ่ายเลยครับ)
ระหว่างนี้ขอเผยโฉม พี่จอน คนขับเรือที่มีอินเนอร์นายแบบอยู่ในตัว
ตอนก่อนนั่งเรือออกมาฟ้าก็โล่งดี ทำไมออกมาสักพักฟ้าเริ่มจะครึ้มอย่างงี้ล่ะ แต่ถ้าจะให้เลี้ยวเรือกลับตอนนี้ก็คงไม่ได้ ถ้าฝนยังไม่ตกเราก็จะไปต่อ ตราบใดที่ปลายท้องฟ้ามีแสงรำไรจะไปจนถึงแสงสุดท้าย…
เราไปลอยลำรอเวลาที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขากันสักประมาณ 1ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆไปเรื่อย ต้องบอกว่าเป็นการรอคอยที่ไม่น่าเบื่อเลยถึงแม้จะไม่มีอะไรให้เล่นนอกกจากถ่ายรูป ไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์ค โทรศัพท์ที่พกไปแทบจะไม่มีความหมาย
และแล้วฉากที่เรารอคอยก็มาถึง ช่วงเวลาที่จะได้เป็นพระอาทิตย์ตกลับเหลี่ยมเขา ในบรรยากาศที่เงียบสงบท่ามกลางผืนน้ำและหุบเขาสูงๆโดยรอบ มันเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกมากๆเลยครับ
ถึงแม้ว่าฟ้าจะครึ้ม เมฆจะมาก แต่ครั้งนี้ เป็นการชมพระอาทิตย์ตกที่ชอบมากๆอีกครั้งหนึ่งในชีวิต จะด้วยสถานที่หรือว่าบรรยากาศรอบๆก็แล้วแต่ มันทำให้ผมมีความสุขที่ได้อยู่ในช่วงเวลาแบบนี้
ชื่นชมบรรยากาศ ของธรรมชาติท่ามกลางแสงเย็นอันสวยงามกันเต็มที่แล้ว ถึงเวลาที่เราต้องกลับแพแล้ว มาถึงปุ๊บ อาหารเย็นพร้อมรอเราอยู่แล้ว แต่ละเมนูอร่อยไม่ใช่เล่นเลย แถมยังเติมเรื่อยๆด้วย
หลังมื้อเย็นก็ไม่มีอะไรครับนอกจาก นั่งชิล จิบเบียร์เบาๆ คุยนู่น นี่ นั่น กันไปเรื่อย ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน เป็นอันว่าจบวันแรกที่เขื่อนรัชประภา