หากมีรักต้องรู้จักถนอม หากมีสุขต้องรู้จักหวงแหน

หากมีรักต้องถนอม
หากมีสุขต้องหวงแหน

คุณยายอายุ 93
ใช้เวลา  77 ปี
เพื่อตามหา........

(เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบนสองแผ่นดิน จีนและไต้หวัน)

ปี 2014  ณ สนามบินนานาชาติเถาหยวน กรุงไทเป
คุณยายอายุ 93 เพิ่งเดินทางมาถึง
คุณยายถือห่อผ้าอยู่ในมือ
ของในห่อมีความสำคัญต่อเธอมากนั่นคือภาพถ่ายของคุณยายกับสามี

คุณยายชื่อ จาง ซู่ อิง จากจีนแผ่นดินใหญ่
ตาด้านซ้ายใกล้บอดเต็มที
ร่างกายก็อยู่ในสภาพอ่อนแอ
คุณยายมีอาการตื่นตระหนก
บนแผ่นดินที่เพิ่งมาถึง
แม้เป็นถิ่นฐานที่ไม่เคยเยือนมาก่อน
แต่คุณยายกลับรู้สึกผูกพัน
อาจเป็นเพราะรอคอยมานานแสนนานที่ตั้งใจจะมาเยือนที่นี่สักครั้ง

เส้นทางบินจากบ้านมาไม่สั้นนัก
แต่สำหรับคนอายุ 93 อย่างเขา
มุ่งมั่นเดินทางมาไกลก็เพื่อจะเยี่ยมเยือนคนคนหนึ่ง
แท้จริงแล้ว
ทั้งหมดทั้งปวงก็เพื่อขอมาดูชื่อของคนคนนั้นอีกสักครั้งในชีวิต
คนที่ทำให้เขามีรักฝังใจมาตลอด
77 ปีแห่งความระลึกถึง.......
นาย จง ฉง ซิน

ย้อนหลังไปในปี 1935
สาวน้อยอายุ 14 เพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนเอกชน
มีคนแนะนำให้รู้จักกับนายทหารหนุ่มจากพรรคก๊กมิ่นตั๋น
ในมโนภาพมักจะคิดว่านายทหารต้องเป็นคนเคร่งขรึม
แต่นายทหารหนุ่มคนนี้กลับมีบุคลิกที่ตรงกันข้าม
"เขาเป็นคนสูงใหญ่
อ่อนน้อม อารมณ์ดี
พูดไปยิ้มไป ใจเย็นมาก
ไม่เคยพบนายทหารที่มีบุคลิกแบบนี้มาก่อน
เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัย
เขาถามฉันว่าเขียนหนังสือเป็นไหม
พอเขียนตัวหนังสือให้เขาดู
เขาชมเปราะไม่ขาดคำ"

กลับถึงบ้าน แม่ถามความรู้สึกฉัน
ฉันได้แต่เอียงอายและยิ้ม
และแล้วเราก็ได้หมั้นกัน

หลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน
เขาต้องย้ายไปประจำการที่นานกิง
เพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วงทางบ้าน
ฉันและแม่ก็ย้ายบ้านตามมาอยู่ในอำเภอใกล้เคียง
เขายังมีเวลากลับมาเยี่ยมบ้านได้ทุกอาทิตย์
สภาพเช่นนี้ ดำเนินไปเป็นเวลาร่วมๆสองปี

ปี 1937
สงครามสู้รบกับญี่ปุ่นระเบิดขึ้น
เขาถูกย้ายไปประจำที่เมืองเซี่ยงไฮ้อย่างกระทันหัน
วันนั้นเขารีบกลับเข้าบ้าน
รวบรวมสัมภาระอย่างเร่งด่วน
ฉันต้องตามไปส่งเขาที่สถานีรถไฟ

ที่สถานีคนแน่นมาก
ฉันเดินตามหลังพี่เขาไม่ยอมห่าง
ในใจนั้นมีสิ่งที่อยากจะระบายออกมามากเหลือคณานับ
แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
เวลาผ่านไปทีละนาที
คนเบียดเสียดกันแน่นสถานี
มือที่เราประสานกันไว้
ยิ่งกำแน่นเข้าไปทุกนาที

และแล้วรถไฟก็แล่นเข้าชานชาลา
ใจฉันนั้นเจ็บแปล๊บเหมือนโดนรถไฟแล่นทับ
ฉันไม่อยากให้พี่เขาเห็นใบหน้าอันเศร้าหมองของฉัน
และฉันก็ไม่กล้าพอที่จะมองหลังพี่เขาที่กำลังจะเดินจากไป

แต่แล้วพี่เขาก็หันกลับมาอย่างฉับพลัน
กอดฉันไว้แน่น  แล้วพูดว่า
"น้องรัก พี่จะต้องกลับมา รอพี่ด้วย...."
พี่เขากลั้นน้ำตาไม่อยู่
น้ำตาของพี่เขาเล็ดลอดจากปกเสื้อฉันไหลลงมาสัมผัสตัวฉัน

แล้วพี่เขาก็ต้องไปรบอยู่แนวหน้า
แรกๆยังพอมีจดหมายเขียนถึงกันบ้าง
สงครามทวีความรุนแรงยิ่งๆขึ้น
แต่เหตุการณ์ก็หดหู่ลงไปเรื่อยๆ
"ลูกพี่ลูกน้องเสียชีวิตไปแล้ว
คนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันก็เหมือนกัน
หากพี่ต้องสิ้นชีพในสนามรบ
แล้วอายุน้องยังน้อย
พี่เข้าใจ  น้องไม่ต้องรอพี่"

หลังจากนั้น  สงครามทวีความรุนแรงมากขึ้น
จดหมายก็ค่อยๆน้อยลงจนไม่ได้รับอีกเลย
ฉันร่อนจดหมายตามหาพี่เขาทุกหนทุกแห่ง
แต่ไม่มีข่าวคราวของพี่เขาเลย

หลังจากนานกิงล่มสลาย
ฉันย้ายกลับมาที่ฉงชิ่ง
เพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของพี่เขา
หากยังมีชีวิตอยู่
พี่เขาต้องกับมาตามหาฉันที่นี่แน่นอน

ปีแล้วปีเล่าที่รอคอย
วันหนึ่ง  ฉันได้พบทหารร่วมรบของพี่เขาโดยบังเอิญ
และแล้ว  ก็สามารถโยงติดต่อไปถึงหัวหน้าของพี่เขาได้
จากนั้นไม่นาน
ก็ได้รับจดหมายตอบจากหัวหน้า
โดยมีข้อความสั้นๆว่า

"นายทหารหาญจง ฉง ซิน
ได้พลีชีพแล้วด้วยความกล้าหาญในสนามรบ
ความเสียสละของท่าน
ได้จาลึกอยู่คู่ปฐพีไม่รู้ลืม"

ความหวังพังทลาย
เจ็ดปีที่รอคอย
สิ่งที่ได้มาคือจดหมายฉบับที่แสนหดหู่

ฉันได้แต่ร้องไห้เสียใจ
น้ำตาที่ไหลออกมาทั้งชีวิต
ก็คงน้อยกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เพียงครั้งเดียว
แม่ฉันก็เสียใจไม่แพ้กัน
ปีถัดมาท่านก็ได้เสียชีวิตไป

ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวในอดีต
โดยเฉพาะคำพูดอำลาครั้งสุดท้ายที่กล่าวว่า
"น้องรัก  พี่จะต้องกลับมา  รอพี่ด้วย....."
มันถูกจดจำอยู่ในใจไม่มีวันลืม

สุดท้ายเมื่อทราบว่า
แท่นจารึกชื่อของพี่ท่านนั้น
ถูกประดิษฐานไว้ที่
อนุสรณ์สถานทหารหาญ จง เลี่ย ฉือ ณ กรุงไทเป
คุณยายแม้ร่างกายจะอ่อนล้าเต็มที
แต่ก็ตัดสินใจที่จะต้องเดินทางมาพบสามีสุดที่รักให้ได้
เพราะมันจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในชีวิต

คุณยายคุกเข่าอยู่หน้าแท่นจารึกชื่อของสามี
เอามือค่อยๆลูบคลำชื่อของสามีอย่างช้าๆ
ชื่อที่บัดนี้ถูกแกะสลักอยู่บนแท่นจารึกที่ไร้วิญญาณ
เวลาผ่านไปและผ่านไป
ไม่มีทีท่าที่คุณยายอยากจะจากไป

นี่คือชื่อที่ฝังลึกอยู่ในดวงใจเธอมาชั่วชีวิต
ชื่อที่จากกันนานแสนนาน
แต่เป็นชื่อที่คุ้นเคยที่สุดในชีวิต
ทุกเส้นทุกขีดของตัวอักษร
จารึกอยู่ในหัวใจเธอลึกจนสุดจะพรรณา

วันเวลาที่ยาวนานถึง 77 ปี
มีแต่ความระลึกถึงทุกวันคืน
หากจะมีสักวัน
ที่ฉันอาจหลงลืมชื่อพี่เขาไปบ้าง
คงเพราะความชรา
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันยังคงจำได้ไม่มีวันลืมก็คือ
พี่คือคนที่ฉันรักที่สุดในชีวิต

กาลเวลาผ่านไป
บัดนี้พี่ได้กลายเป็นผงธุลีไปแล้ว
ส่วนฉันก็กลายเป็นยายแก่ที่มีผมหงอกเต็มศรีษะ
แต่ฉันยังรำลึกอยู่เสมอ
ถึงทุกรายละเอียดในชีวิตรักของเรา

สงครามได้ทำให้หนุ่มสาวคู่หนึ่งต้องห่างหายจากกัน
แต่ไม่สามารถพลัดพรากความรักของคนทั้งคู่
ความรักที่ฝังลึกอยู่ในใจของคนทั้งสอง
ได้ทิ้งไว้แต่ความทรงจำอันแสนซาบซึ้งบนคราบน้ำตา

           ************

สงครามเป็นเรื่องโหดร้ายทารุณ
มีแต่ความสูญเสีย
ไม่มีใครเอาชนะใครได้ในสงคราม
มีแต่ความพ่ายแพ้ให้กับกัน
สิ่งที่ทิ้งไว้คือความตาย  
บ้านแตกสาแหรกขาด
ผู้คนไม่มีแม้แต่แผ่นดินที่จะอยู่อาศัย

หากเรายังมีชีวิตอยู่ในความสงบสุข
จงมองดูคนใกล้ตัวเรา
เรายังโชคดีที่มีพวกเขาอยู่เคียงข้าง
ถนอมกันไว้ให้ดี  
ประคองกันไว้ให้มั่น
หนักนิดเบาหน่อยก็จงให้อภัยกัน

หากมีรักต้องรู้จักหวงแหน
หากมีสุขต้องรู้จักถนอม
หลับตาลงแล้วนึกถึงความสงบสุขที่ยังอยู่กับเรา
จดจำไว้และรักษาไว้ในใจตลอดไป

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
14/2/17
Valentine's Day
www.facebook.com/Flintlibrary

https://m.youtube.com/watch?v=38p1faL_jkE
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่