โรงแรม Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park ดั้งเดิมคือโรงแรม Imperial Queen’s Park ซึ่งได้รับการ renovate ครั้งยิ่งใหญ่กลายเป็นโรงแรมห้าดาวขนาดใหญ่มากและหรูหราสุด ๆ โดยเพิ่งให้บริการมาได้ไม่นานนัก Buffet Lover อย่างผมจึงพลาดไม่ได้ที่จะต้องมาลิ้มลองอาหารที่นี่ ผมเดินทางมาด้วยรถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานีพร้อมพงศ์เดินเข้าซอยสุขุมวิท 22 มาไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว First Look ของโรงแรมนี้ดูยิ่งใหญ่อลังการจริงๆครับ

บริเวณล็อบบี้สร้างความตื่นตาตื่นใจมาก และประทับใจด้วยการต้อนรับของพนักงานที่อาสาจะเดินไปส่งผมที่ห้องอาหารกันเลยทีเดียว

เดินผ่านล็อบบี้อันใหญ่โตมาถึงหน้าห้องอาหารก่อนเที่ยงเล็กน้อย เห็นครั้งแรกแอบอึ้งนิดนึงว่า หน้าห้องอาหารหลักของโรงแรมมีแค่นี้จริงๆหรือ ป้ายก็ทำเหมือนป้ายชั่วคราว ด้านหน้าดูโล่งๆไม่มีการตกแต่งอะไรเลย ดูทึบๆทึมๆยังไงก็ไม่รู้

ก่อนจะรีวิวอาหาร ขอชมก่อนเลยว่าพนักงานที่ห้องอาหารนี้ service mind ดีสุดๆ สุภาพ เอาใจใส่ ประทับใจมากครับ เริ่มต้นขอรีวิวสภาพแวดล้อมของห้องอาหารก่อนนะครับ เพราะคิดว่ามีจุดที่น่าจะต้องปรับปรุงอยู่พอสมควร หวังว่าทางโรงแรมจะเข้ามาอ่าน ห้องอาหารนี้เป็นห้องอาหาร International ซึ่งผมเข้าใจว่าคงพยายามจะทำ theme ให้มี story แนว retro ดิบๆ ไม่ได้เน้นแนว luxury สิ่งที่เห็นสะดุดตาบนโต๊ะครั้งแรกคือภาพนี้

บนโต๊ะจะมีภาชนะหินทรงกระบอกสำหรับใส่ช้อน ส้อม และมีด ซึ่งผมคิดว่าเป็นความคิดที่ดีนะครับ เพราะบางทีลูกค้าก็อาจจะอยากจะเปลี่ยน จะได้ไม่ต้องรอเรียกพนักงาน แต่สิ่งที่ขัดใจผมเป็นอย่างมากคือถ้วยน้ำครับ เป็นถ้วยน้ำสังกะสีเรียบๆอารมณ์คล้ายๆถ้วยน้ำในโรงอาหารของโรงเรียน ผมคิดว่ามันไม่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของห้องอาหารเลย และที่สำคัญมันสร้างปัญหาด้วยซ้ำ คือปกติถ้าเป็นแก้วน้ำใสๆ พนักงานจะสังเกตได้ง่ายมากว่าน้ำในแก้วของลูกค้าพร่องไปมากน้อยแค่ไหน สมควรเข้ามาเติมน้ำหรือยัง แต่พอใช้ถ้วยสังกะสีทึบแบบนี้ พนักงานจะไม่มีทางเห็นเลยว่าน้ำในถ้วยเหลืออยู่แค่ไหนถ้าไม่เข้ามาดูใกล้ๆ ทำให้ลูกค้าต้องเรียกให้พนักงานเติมน้ำโดยไม่จำเป็น บรรยากาศในห้องอาหารค่อนข้างมืดไปซักนิดสำหรับผม ทำให้ภาพถ่ายครั้งนี้อาจไม่สวยเท่าใดนักเพราะไม่ได้ใช้แฟลช

บรรยากาศแบบครัวเปิดน่าจะเป็นจุดเด่นของห้องอาหารนี้ ลูกค้าจะเห็นการทำอาหารในหลาย station ก็ถือว่าสร้างบรรยากาศได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาที่ตามมาคือผมพบแมลงวันอย่างน้อย 3 ตัว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะครัวเปิดหรือไม่ก็เพราะมีประตูเปิดออกไปทางด้านหลัง ซึ่งก็ทำให้เสียบรรยากาศไปพอสมควร

การตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่คือการใช้ของตกแต่งเป็นเครื่องปรุงอาหารของไทยๆ ซึ่งจะว่าเก๋ก็เก๋ จะว่าตลกก็ตลกครับ

แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดของห้องอาหารนี้คือห้องน้ำครับ ห้องอาหารนี้เป็นห้องอาหารขนาดใหญ่แต่กลับมีห้องน้ำภายในห้องอาหารเพียงห้องเดียวเท่านั้น ห้องน้ำจึงไม่แยกชายหญิง และภายในห้องน้ำก็ดูไม่หรูหราสมกับโรงแรมห้าดาวเลย โดยเฉพาะกระดาษชำระ และตำแหน่งของห้องน้ำในห้องอาหารลูกค้าจะต้องเดินผ่านบริเวณที่พนักงานใช้พักจานที่ใช้แล้วซึ่งดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

มาว่ากันเรื่องอาหารต่อนะครับ Sunday Brunch ที่นี่มีอาหารให้เลือกหลากหลายทุกแนวเท่าที่ Sunday Brunch โรงแรมห้าดาวพึงจะมี โดยรวมแล้วถือว่าสอบผ่านแทบทุกเมนู จุดเด่นคือวัตถุดิบสดคุณภาพดีมาก ขอหักครึ่งดาวตรงที่น่าจะมี Signature dish ที่โดดเด่นพลาดไม่ได้ แต่ที่นี่ผมยังค้นไม่พบครับ ขอเริ่มต้นรีวิวด้วยซีฟู้ด ที่นี่มีครบทั้งกุ้ง กั้ง ปูม้า ปูอลาสก้า หอยเชลล์ หอยหวาน หอยแมลงภู่ และหอยนางรม วันที่ผมไปมีหอยนางรมให้เลือก 4 ชนิด พนักงานแกะกันใหม่ๆให้รับประทาน คุณภาพซีฟู้ดคือโอเคผ่านมาตรฐานสบายๆ แต่หอยนางรมค่อนข้างมีรสเค็มเกินไปสำหรับผม แต่มันคือรสชาติปกติของหอยนางรมสดจากต่างประเทศที่จะมีรสชาติเค็มกว่าของเมืองไทยอยู่แล้ว และที่นี่ยังมีกุ้งแม่น้ำเผาตัวใหญ่พอสมควร สุกกำลังดีเนื้อเด้งให้รับประทานด้วยครับ

อาหารที่ผมประทับใจที่สุดคือ Foie Gras ครับ ตับหั่นมาชิ้นหนากำลังดี ทอดได้สุกกำลังดี ไม่แข็งจนเกินไป เข้ากันได้ดีกับซอสผลไม้เปรี้ยวอมหวาน ถูกใจมากครับ ส่วนรองอันดับหนึ่งได้แก่  Black mussels ในซอสมะเขือเทศ หอยแมลงภู่เนื้อนุ่ม ปรุงรสมากำลังดี ถูกใจใช่เลยอีกเช่นเดียวกันครับ

รองอันดับสองได้แก่ Raclette ชีสย่างและขูดรับประทานกับผักดอง เข้ากั๊นเข้ากัน แต่มาพลาดตรงภาชนะที่ใส่นี่แหละ ชามสังกะสีดูแล้วคิดว่ากำลังกินอาหารอยู่บนศาลาวัด

Egg Benedict ของที่นี่ก็น่าสนใจครับ เพราะแทนที่จะใช้วิธีต้มไข่ในน้ำผสมน้ำส้มสายชูกลับใช้วิธีต้มไข่แบบ slow cook หรือใช้ไข่ออนเซ็นนั่นเองครับ ทำให้ได้ไข่รูปร่างสวยงาม รับประทานกับขนมปังและแซลมอนรมควัน แต่ผมคิดว่าซอสที่ราดคู่มายังไม่ลงตัวเท่าไหร่ แต่ก็พอรับประทานได้ครับ

Carving Station มีอาหารหลากหลาย เช่น Rib Eye, Lamb, Salmon แถมด้วยลูกหมูมาแบบสไตล์หมูหัน แต่ไม่มีเป็ดปักกิ่งครับ คุณภาพได้มาตรฐานโรงแรมห้าดาว เช่นเดียวกับ Cold Cut Station ครับ

อาหารญี่ปุ่นมีวัตถุดิบมาตรฐานทั้ง แซลมอน ซาบะ ฮามาจิ ปลาหมึก หอยปีกนก และอื่นๆให้เลือกเป็นซาชิมิหรือซูชิ แต่ที่เด่นคือมี Hotate ให้สามารถสั่งเป็นซาชิมิได้ด้วย ส่วนอาหารจีนนอกจากกระเพาะปลาและอาหารผัดสไตล์จีนแล้ว ก็ยังมีขนมจีบและซาลาเปา แต่หน้าตาดูธรรมดามากเลยไม่ได้กิน ยกเว้นเสี่ยวหลงเปาซึ่งมีให้เลือก 2 ไส้คือหมูกับไก่ นึ่งร้อนๆกินกับน้ำจิ้มใส่ขิง อร่อยใช้ได้ครับ

Pasta Station ตอนแรกเฉยๆแต่ Chef เชียร์เหลือเกิน เลยต้องลองชิม ไม่ผิดหวังครับ เส้นทำมาได้ al dente กำลังดี กุ้งตัวใหญ่มาก ปลาหมึกชิ้นหนา อร่อยมากครับ

ยังมีหลาย Station ที่ไม่ได้เฉียดกรายเข้าไปเลย ไม่ว่าจะเป็น Cheese Station, ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว อาหารไทย สลัดบาร์ และขนมปัง เลยไม่มีความเห็นครับ

ของหวานมีให้เลือกเยอะมากทั้งฝรั่งและไทย คุณภาพโดยรวมคือดี แต่อาจจะเพราะอิ่มจุกมากกับของคาวเลยทำให้ไม่ค่อยรู้สึกถึงความอร่อยของของหวานเท่าที่ควร แต่ก็กินไปเยอะหลายเมนูอยู่ ที่ประทับใจที่สุดเห็นจะเป็น Mango & Passion fruit Flambe ครับ

จบมื้อเที่ยงวันอาทิตย์อย่างจุกทั้งคาวและหวาน ค่าเสียหายของ Sunday Brunch ที่นี่คือ 2,100 บาท รวมน้ำเปล่า แต่ช่วงนี้มีโปรโมชั่นบัตรเครดิต KTC และ Citibank ลด 10% ราคาถือว่าคุ้มค่าทีเดียวครับกับความหลากหลายของสารพัดเมนูทั้งคาวและหวานที่มาพร้อมกับคุณภาพของวัตถุดิบที่สดและดี รสชาติผ่านมาตรฐานโรงแรมห้าดาว พนักงานบริการอย่างยอดเยี่ยม ถือเป็นตัวเลือก Sunday Brunch หนึ่งที่น่าสนใจในขณะนี้ครับ