[CR] New Zealand เที่ยวจนตายกันไปข้างนึง North Island & South Island ตอนที่ 6 เกาะแห่งไวน์ Waiheke & เกาะร้าง Rangitoto

วันนี้เราจะออกเรือไปเที่ยวเกาะใกล้ๆ Auckland กันบ้าง การเดินทางก็ง่ายนิดเดียว นั่งเรือจากท่าเรือ Ferry ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ซึ่งปกตินักท่องเที่ยวจะไปเที่ยว Waiheke Isalnd  ที่มีชื่อเสียงด้านไวน์และมะกอก ในระดับโลกเลยทีเดียว เหมาะแก่การมาเที่ยวชิวๆ กินข้างจิบไวน์ ซื้อของฝาก ส่วน Rangitoto Island เป็นเกาะร้างที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ เมื่อไม่กี่ร้อยปีเอง ปัจจุบันเป็นป่าสงวนห้ามเข้ามาอยู่อาศัย จึงแทบไม่มีร้านค้าหรือบ้านเรือนบนเกาะเลย (ยกเว้นบางครอบครัวที่เข้ามาอาศัยก่อนการประกาศจากรัฐบาล) การมาเที่ยวที่นี่ต้องลุยๆ ผจญภัยนิดนึง แต่ไม่ยาก น่ากลัวหรืออันตรายใดๆ (เช็ดเวลาเรือรอบสุดท้ายและท่าที่จะขึ้นเรือให้ดี ไม่งั้นอาจติดเกาะได้นะครับ)  

Link สำหรับ ผู้ที่ต้องการอ่านตอนก่อนหน้าครับ
New Zealand เที่ยวจนตายกันไปข้างนึง North Island & South Island ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/35922839
New Zealand เที่ยวจนตายกันไปข้างนึง North Island & South Island ตอนที่ 2 ซิวๆ ในโซน Auckland CBD http://ppantip.com/topic/35939587
New Zealand เที่ยวจนตายกันไปข้างนึง North Island & South Island ตอนที่ 3 กิน เที่ยว ชมวิว ณ Devonport https://ppantip.com/topic/35962019
New Zealand เที่ยวจนตายกันไปข้างนึง North Island & South Island ตอนที่ 4 Mt. Eden, One Tree Hill & Auckland Zoo https://ppantip.com/topic/35986499
New Zealand เที่ยวจนตายกันไปข้างนึง North Island & South Island ตอนที่ 5 ชิวๆ ย่านชานเมือง Parnell village & Mission Bay https://ppantip.com/topic/36078441

ปล. 1. รูปอาจจะน้อยหรือไม่ค่อยสวยหน่อยนะครับ ผมพยายามถ่ายแล้ว แต่ได้แค่นี้จริงๆ T-T
      2. ข้อมูลต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง
      3. ผมซ่อนข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวไว่ใน Spoil นะครับ สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลโดยละเอียด

เกาะแห่งไวน์ Waiheke Island
    วันนี้อากาศสดใส เลยนั่งเรือออกไปเที่ยวเกาะ Waiheke กันบ้างดีกว่า ซึ่งเกาะนี้ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาะในอ่าว Hauraki มีชื่อเสียงในเรื่องไวน์และน้ำมันมะกอกครับ มีเรือ Ferry จาก Auckland ไปที่เกาะทุกๆ ครึ่งชั่วโมง (มีเรือจนถึงตอนดึกเลยครับ) มาถึงท่าเรือก็ไปซื้อตั๋ว Ferry และ Waiheke bus day pass จากนั้นก็ขึ้นเรือครับ คนเยอะพอสมควรเลย บางคนก็จูงหมาไปเดินเล่นที่เกาะด้วย ระหว่างทางวิวทิวทัศน์สวยมาก จะเห็นเกาะเล็กๆ หลายเกาะเลย ใช้เวลา 35-40 นาทีก็ถึงครับ พอลงจากเรือจะค่อนข้างวุ่นวายมากต่างคนต่างเดินไปจองรถยนต์ มอเตอร์ไซด์  จักรยาน หรือเรียก Taxi ส่วนผมก็ชิวๆ ครับ เดินไปเข้าห้องน้ำ หยิบโบรชัวร์ใน Tourist information center พอเดินออกมารถเมล์ก็ไปหมดแล้ว เดินงงๆ ไปดูตารางรถปรากฏว่า รถเมล์มาชั่วโมงละคัน!!! (เมื่อคืนก็ดูผ่านๆ เห็นว่ามีรถเมล์ตั้ง 6 สาย และเกาะนี้คนเที่ยวเยอะเลยคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา) อย่าว่าแต่ผมเลย มีคนติดอยู่ที่ท่าเรือประมาณ 10 กว่าคนเหมือนกัน ตอนนี้มี 3 ทางเลือกครับ
1.    รอรถเมล์ 1 ชั่วโมง
2.    เดินไปเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด ประมาณ 1.5 กิโลเมตร
3.    พยายามคืนตั๋ว Bus day pass แล้วเช่าจักรยาน หรือ scooter ซึ่งตอนแรกก็จะเช่าจักรยาน แต่อ่านข้อมูลใน internet บอกว่าเนินเขาเยอะ ปั่นจักรยานยาก ผมเลยไม่เอาดีกว่า (ส่วนเช่ารถยนต์ค่อนข้างแพงครับ ผมไปคนเดียวคงไม่คุ้มเท่าไหร่)

แผนที่เส้นทางการเดินรถบัส Waiheke Island ง่ายๆ ไม่หลงแน่นอน


                สุดท้ายตัดสินใจเดินครับ เดินประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง เมือง Oneroa เมืองนี้คึกคักครับ มีร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ มากมาย เดินลงไปด้านล่างก็มีชายหาดสวยๆ มีเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนที่รถเมล์รอบถัดไปจะมา ก็เลยเดินเล่นไปเรื่อยๆ ก่อน พอใกล้เวลาก็มารอรถบัส เพื่อเดินทางไป  Onetangi ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ที่นี่ค่อนข้างเงียบนะครับ มีร้านอาหารไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นบ้านพักตากอากาศ แต่ชายหาดที่นี่สวยกว่าที่เมือง Oneroa มีคนมานอนอาบแดด ว่ายน้ำ ปิคนิคและนำอาหารมาทำบาร์บีคิวกัน รถเมล์ส่วนใหญ่จะสุดสายที่นี่ครับ ถ้าอยากเที่ยวต่อต้องเช่ารถยนต์หรือมอเตอร์ไซด์ไป (อีกครึ่งเกาะจะเป็นพื้นที่ธรรมชาติครับ ถนนบางเส้นยังไม่ได้ราดยางเลย ทำให้บางสถานที่ต้องใช้รถยนต์เดินทางเท่านั้น)

    จากนั้นก็มาถึงการชมไร่ไวน์ กับไร่มะกอกแล้วครับ นั่งรถกลับมาประมาณ 4-5 กิโลเมตรก่อนถึงไร่ไวน์ wild on waiheke จะมี Museum of Waiheke ซึ่งแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคน Waiheke ในสมัยก่อนครับ แต่ตอนผมไปมันปิด เลยอดเข้าไปชม จากนั้นก็จะถึงไร่ไวน์ wild on waiheke ซึ่งไร่นี้มีจุดเด่นตรงที่มีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำ อาทิ ยิงธนู เล่นเปตอง อีกทั้งยังมีสนามเด็กเล่นให้เด็กๆ เล่นด้วยครับ บรรยากาศร้านอาหารก็ดีครับ แต่ไร่นี้ผมไม่ได้ชิม เพราะมีนัดไปไร่มะกอกตอนบ่ายโมง

    อีกประมาณ  2 กิโลเมตรก็ถึง Rangihoua Estate ซึ่งทางไร่บอกว่าที่นี่ผลิตน้ำมันมะกอกที่ดีที่สุดในโลก (ผมก็ไม่รู้ว่าจริงไหมนะครับ) ถ้าจะมาทัวร์ที่นี่ต้องโทรมาจองก่อน โดยติดต่อ Anne (หนึ่งในเจ้าของไร่) แต่เนื่องจากผมมาคนเดียว Anne เลยบอกให้ผมเข้ามาแจมกับทัวร์ของ Fuller ได้เลย พอเริ่มทัวร์ก็จะพูดถึงที่มาของมะกอก แล้วก็วิธีการปลูกการเก็บเกี่ยว และการผลิตน้ำมันมะกอก โดยดู VDO เอาครับ เสียดายที่เค้าไม่ได้พาชมไร่มะกอก กับเดินเครื่องผลิตให้ดู จากนั้นก็ออกมาชิมผลิตภัณฑ์ ผมก็ซื้อ  Herd Spread มาขวดนึงครับราคา 16 เหรียญ อันนี้เค้าไว้กินกันขนมปังครับ แต่ผมเอามาทำกับข้าวแทน สรุปถ้าไม่สนใจเรื่องน้ำมันมะกอก ก็เข้ามาซื้อของฝากอย่างเดียวพอครับ

    จากนั้นก็ย้อนกลับมาไร่ไวน์ Stonyridge ซึ่งไร่นี้ก็อยู่ข้างๆ ไร่ไวน์ wild on waiheke แหละครับ บรรยายกาศที่นี่ดีมากครับ สามารถมองเห็นภูเขา และไร่ไวน์ สายลมพัดมาเบาๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นแบบธรรมชาติ ร้านอาหารก็น่านั่งครับ ตอนแรกกะจะทานอาหารที่นี่ แต่เค้าบอกว่าต้องจองไว้ก่อนนะครับ ก็เลยชิมไวน์อย่างเดียวก็พอ ผมสั่ง  fallen Angel Méthode Traditionelle ราคา 3 NZD บาร์เทนเดอร์ก็จะรินไวน์ใส่แก้วเล็กๆให้เราชิม อันนี้เป็นไวน์ขาว กลิ่นหอม รสชาติลื่นมากครับ (ผมก็ไม่ค่อยถนัดเรื่องไวน์ แต่บอกเลยว่าชอบอันนี้มาก) ส่วนอีกแก้วนึงผมสั่ง fallen Angel Pinot Noir ราคา 4 NZD อันนี้เป็นไวน์แดง กลิ่นหอมรสชาติค่อนข้างเข้มหน่อย แต่ก็ดีไปอีกแบบ นั่งจิบไวน์ชมวิวทิวทัศน์ไปนี่ฟินสุดๆ เลย อีกทั้งที่นี่เราสามารถเดินเข้าไปชมไร่องุ่นได้เลย พอเริ่มมึนเล็กน้อยและรถเมล์กำลังจะมาก็ต้องรีบไปที่ป้ายรถเมล์ละ ไม่งั้นต้องรออีกนานเลย พอไปถึงคนรอเยอะพอสมควรเพราะแถวนี้มีไร่ไวน์เยอะ รอไปซักพักรถเมล์เต็มเลยไม่จอด เค้าให้รอคันต่อไป สรุปแล้วต้องรอประมาณ 40 นาทีกว่าจะได้ขึ้นรถครับ นอกจากนี้ก็มีพ่อลูกขอเอาจักรยานขึ้นรถด้วย สงสัยว่าจะปั่นกลับไม่ไหว

    โปรแกรมที่ตั้งใจไว้วันนี้หมดแล้วครับ แต่ผมเห็นในแผนที่มีแหลมเล็กๆ อยู่อันนึงชื่อว่า Kennedy point ด้วยความที่อยากรู้ว่าแหลมนี้เป็นยังไงเลยลงรถเมล์กลางทางแล้วเดินไปที่แหลมครับ ดูจากแผนที่น่าจะไม่ไกลมาก แต่เอาเข้าจิงๆ เดินอีกนานเลยครับ น่าจะไม่ต่ำกว่า 2 กิโลเมตรได้ พอไปถึงก็ไม่ค่อยมีอะไร มีคนนั่งตกปลา แล้วก็มีท่าเรือ Ferry อีกแห่ง ซึ่งรถยนต์จะข้ามฝากที่ท่านี้ สุดท้ายก็เดินกลับมาขึ้นรถเมล์ตามเดิม นั่งรถอีก 15 นาทีก็ถึงท่าเรือ Ferry จากนั้นก็นั่งเรือ Ferry กลับ Auckland แบบเหนื่อยๆ เนื่องจากวันนี้ผมเดินค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว

    เนื่องจากบนเกาะนี้สามารถเดินทางได้หลายวิธีจึงขอสรุปข้อดีข้อเสียของการเดินทางแต่ละอย่างนะครับ
•    เดินเท้า เกาะนี้กว้างมาก ระยะทางจาก Ferry ไปถึง Onetangi ประมาณ 11 กิโลเมตร แต่ถ้าไปถึงสุดเกาะก็ประมาณ 23 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นอย่าคิดจะเดินเลยนะครับ
•    รถเมล์ มี 6 สาย แต่ส่วนใหญ่วิ่งทับเส้นทางกัน จึงเหลือหลักๆ แค่ 2 เส้นทาง สามารถใช้ Bus day pass ในราคา 10 เหรียญ ซึ่งถือว่าค่อนข้างถูก แต่ปัญหา คือ รถเมล์มานานมากถ้าเป็นวันธรรมดาประมาณ ชั่วโมงละคัน แต่ถ้าเป็นวันหยุดประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะฉะนั้นต้องคุมเวลาเที่ยวและดูตารางเวลาเดินรถดีดีนะครับ ไม่งั้นต้องไปนั่งรอที่ป้ายรถเมล์นานเลย
•    Vineyard Hopper pass บัตรโดยสารรถเมล์อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถขึ้นลง vineyard hopper bus ได้ไม่จำกัด อีกทั้งยังสามารถใช้กับรถเมล์สายปกติได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม Vineyard Hopper bus ก็มาชั่วโมงละคันนะครับ ราคา 30 NZD (Ferry ticket+ vineyard hopper pass 60 NZD)
•    จักรยาน ถือเป็นทางเลือกที่โอเค เพราะราคาไม่แพงมาก 35 – 40 NZD/วัน แต่เกาะนี้เนินเขาเยอะนะครับ ถ้าไม่ชำนาญการปั่นจักรยานจริง ผมก็ไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้
•    Scooter หรือ มอเตอร์ไซด์ ผมแนะนำวิธีนี้ ถ้าชอบขี่มอเตอร์ไซด์ชมวิว แต่ราคาค่อนข้างสูง ประมาณ 50-60 NZD/วัน และถ้าหากจะไปอีกฝั่งนึงของเกาะ ถนนบางเส้นทางอาจจะไม่ดี ทำให้ขี่มอเตอร์ไซด์ไปไม่ได้ นอกจากนี้ถ้ามาหลายคนผมแนะนำให้เช่ารถจะดีกว่า
•    รถยนต์ ถือเป็นวิธีที่สะดวกสบายที่สุด ราคาเช่ารถยนต์อยู่ที่ 70-90 NZD/วัน ถ้ามาซัก 2-3 คนก็คุ้มแล้วครับ  
Tip: ท่านสามารถซื้อทัวร์ Taste of Waiheke ของบริษัท Fullers ซึ่งจะพาทัวร์ 3 ไร่ไวน์ กับ 1 ไร่มะกอก และมีอาหารกลางวันให้ด้วย โดยทัวร์จะออกจาก Auckland เวลา 11.00 am ราคา 140 NZD (รวมค่าเรือ Ferry แล้ว)  
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



หนทางยังอีกยาวไกล ไม่น่าพลาดรถบัสเลย

ในที่สุดก็ถึงเมือง Oneroa

ไปต่อที่ Onetangi เลย
Onetangi Beach

Museum of Waiheke มาถึงแล้วแต่ปิด เล็กๆ น่ารักดี
ไร่ไวน์ wild on waiheke มีกิจกรรมให้ทำมากมาย
ไร่มะกอก Rangihoua Estate บรรยากาศดีมากๆ แต่ไม่ได้เปิดให้ชมในส่วนไร่มะกอก

คุณ Anna หนึ่งในเจ้าของไร่

Herd Spread หอมอร่อยดีครับ กินป่าวๆ ก็ได้ เอามาทำอาหารก็อร่อย
ชื่อสินค้า:   New Zealand, North Island, Auckland, Waiheke Island, Rangitoto Island
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่