บ้านใกล้เรือนเคียง บทที่5+บทที่6

กระทู้สนทนา
สัปดาห์ที่ผ่านมามีงานต้องปั่น ทำให้กว่ามาจะลงต่อได้ก็สุดสัปดาห์ซะแล้วค่ะ ขอโทษคนอ่านที่ต้องรอด้วยนะคะร้องไห้
แม้จะผ่านมาหลายบท(รึเปล่า) ก็ยังสามารถวิจารณ์ติชมได้เต็มที่นะคะ ผู้เขียนยังอยู่ระหว่างพัฒนาปรับปรุงฝีมือการเขียนค่ะ อมยิ้ม17
ปล. ในส่วนของตอนนี้รู้สึกว่ายากค่ะ พยายามบรรยายให้เห็นภาพแต่รู้สึกว่ายากจริงๆ เป็นอุปสรรคที่สุดในการเขียนของเราเลยค่ะ...
Edit ลืมแปะลิ้งค์ตอนที่แล้วค่ะ
บท1-2 https://ppantip.com/topic/36040912
บท3-4 https://ppantip.com/topic/36061736

บทที่ 5 บึง
          วันที่ห้า ฉันตื่นมาแต่เช้า ตั้งใจจะเดินเล่นรอบหมู่บ้าน แต่ด้วยความขี้เกียจฉันจึงไปตั้งต้นที่ถนนสายกลางและเดินเรื่อยไปโดยมีปลายเส้นทางเป็นจุดหมาย ฉันเดินรับสายลมที่พัดมาเอื่อยๆ โชคดีที่ยังเช้าแดดจึงไม่แรง แต่มันก็ทำให้บรรยากาศดูอึมครึม รอบข้างทางฉันคือป่าสวนมะม่วงที่มีหญ้าขึ้นรก มองเข้าไปดูอับแสงจนชวนขนลุกแม้จะเป็นตอนกลางวัน ฉันหันไปสนใจแค่ทางเดินข้างหน้า สุดทางที่มีหมอกจางๆบดบังไม่ให้ฉันเห็นว่ามีอะไรรออยู่

          ถึงกระนั้นฉันก็ยังเดินไป จนทัศนวิสัยข้างหน้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สิ่งแรกที่เห็นคือ รั้วกั้นสีขาวแดงที่โดนสนิมกัดกร่อน  หลังรั้วกั้นคือบึงน้ำขนาดใหญ่มีท่าน้ำเป็นบันไดซีเมนต์ที่พ้นน้ำขึ้นมาสามขั้นแต่ตัวบันไดใกล้หลุดจากฝั่งแล้ว ฉันลองขยับรั้วกั้น มันถูกล็อกไว้ด้วยโซ่ แต่ช่องรั้วก็กว้างพอให้คนลอดเข้าไปได้

          ฉันลอดเข้าไปและก้าวลงบนบันไดที่เริ่มพุพังโดยที่มือยังจับรั้วไว้เป็นหลัก เมื่อเหยียบลงไปจนรู้สึกว่าบันไดแข็งแรงพอฉันจึงค่อยๆปล่อยมือและหันไปกวาดสายตาดูบึง แปลกที่รอบบึงตรงนี้ไม่ใช่ป่าแต่เป็นพื้นที่โล่งกว้างมองไปสุดสายตาเป็นหมอกขาวทึบจนดูราวกับสามารถเดินหายเข้าไปในนั้นได้ แปลก...ไม่ใช่ฤดูหนาวแต่หมอกลงได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ...
          
          ฉันค่อยๆเลื่อนสายตามายังพื้นน้ำตรงหน้า จุ่มมือลงสัมผัสถึงอุณภูมิเย็นเฉียบ แต่ยังเห็นเงาปลาตัวเล็กๆแหวกว่ายอยู่ใกล้ผิวน้ำ  

          อยากให้อาหารปลาจัง ฉันคิดขึ้นมา และจึงวางแผนต่อไปว่าจะซื้อขนมปังถูกๆมาให้ตอนเย็น  

          สายๆฉันกลับมาถึงบ้านเจอกวียืนรออยู่หน้ารั้ว เขารู้ตัวทันทีเมื่อฉันเดินเข้าปากซอยมา ใบหน้าคมสันหันมามองและฉีกยิ้มเย็นตาทักทาย

          “เดินเล่นแต่เช้าเลยเหรอครับ”

          “ค่ะ รอสายกว่านี้ไม่ไหว แดดร้อน เอ...นั่นคุณเอาอะไรมาคะ”

          “อ๋อ...” กวียกส่งของที่วางอยู่ข้างๆเขาขึ้นมา มันคือต้นไม้ในกระถางดินเผาใบเล็ก “ต้นมะค่า เผื่อคุณจะอยากได้ ผมมองดูแล้วบ้านคุณไม่มีต้นไม้ใหญ่”

          “ว้าว!   ขอบคุณค่ะ!” ฉันรีบรับมาอย่างตื่นเต้น “ยังต้นเล็กอยู่เลย นานแค่ไหนจะโตล่ะคะ”

          “นานมากครับ อยู่รอดูสิครับ คุณจะรู้เองกับตาว่ามันใช้เวลาเท่าไร”

          “ต้องรออยู่แล้วล่ะคะ ขอบคุณนะคะ” ฉันกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง “ฉันกำลังจะชงกาแฟ เอาไหมคะ”

          “ไม่เป็นไรครับ เสียของเปล่าๆ”

          “งั้นเดี๋ยวฉันทำบุญไปให้นะคะ”

          กวีเงียบ รอยยิ้มเขาค้างไปอีกหลายวินาที

          “ล้อเล่นค่ะ งั้นเย็นนี้ ฉันว่าจะไปให้อาหารปลาที่สระน้ำท้ายหมู่บ้าน ไปด้วยกันไหมคะ”

          “สระน้ำ? อ๋อ เอาสิครับ กี่โมงล่ะ”

          “คงห้าโมงเย็น”
          “ได้เลยครับ”

          “เจอกันที่สระน้ำเลยนะคะ”

          “ครับ”

          แล้วฉันก็โบกมือให้เขาก่อนจะเข้าบ้าน

          
          ตกเย็นเมื่อใกล้เวลาที่นัดฉันจึงถีบจักรยานออกจากบ้านพร้อมขนมปังหนึ่งแถวที่เพิ่งซื้อมา บึงน้ำต่างไปจากตอนเช้า ไม่มีฉากหลังเป็นหมอกขาว แต่กลายเป็นท้องฟ้าสีส้มของยามเย็น แถมคราวนี้ยังมีเรือลำน้อยลอยอยู่กลางบึง มีคนสวมหมวกงอบพายอยู่เอื่อยๆ ฉันนั่งลงตรงท่าโดยไม่ได้ทักทาย แกะห่อขนมปังและเริ่มบิโปรยลงไปในน้ำ ปลามากมายเข้ามารุมตอดกิน

          ฉันมาไวเกินหรือเปล่านะ กวียังไม่มาเลย แต่ก็ยังดีที่มีคนพายเรืออยู่ แม้เป็นแสงสีส้มของช่วงเวลาที่โพล้เพล้แต่ก็ไม่วังเวง

          เรือพายวนรอบบึง จนมาใกล้ๆฉันก็มีเสียงทัก

          “แม่หนู นั่งเรือไหม” เป็นเสียงของหญิงชรา ฉันละสายตาจากปลาในน้ำมามองเจ้าของเสียง คนที่อยู่ในเรือ เป็นหญิงสูงวัยร่างเล็ก ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ หน้าตาใจดี

          “คะ? อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ”

          “ถือว่านั่งเป็นเพื่อนคนแก่น่า”

          ฉันไม่ชอบนั่งเรือเท่าไรนะ มันรู้สึกไม่มั่นคง แต่ปฏิเสธก็เสียน้ำใจคนแก่

          “ก็ได้ค่ะ”

          คุณยายจอดเรือเทียบท่าให้ฉันก้าวลงไป พอฉันนั่งได้มั่นคงเธอก็พายเรือต่อ และวนรอบสระเหมือนเดิม

          “มาอยู่ใหม่เหรอหนู” คุณยายถามด้วยรอยยิ้มแสนใจดีที่ยังไม่จางไปจากใบหน้า

          “ค่ะ” ฉันก็ยิ้มตอบเช่นกัน

          “กี่วันแล้วล่ะ”

          “นี่วันที่ห้าค่ะ”

          “คนเดียวเหรอจ้ะ”

          “ค่ะ”

          “เก่งจัง”

          ฉันยิ้มรับ ก่อนจะถามคุณยายบ้าง “คุณยายก็อยู่ที่นี่รึคะ”
          “จ้ะ”

          “บ้านอยู่ตรงไหนคะ หนูจะได้ไปหาบ้าง”

          “ที่นี่จ้ะ” เธอตอบพร้อมหยุดไม้พาย

          ลมแรงพัดผ่านมาในช่วงวินาทีนั้น แต่เรือยังนิ่งสนิท ไม่รู้สึกถึงกระทั่งแรงน้ำที่สั่นไหว คุณยายกำลังฉีกยิ้มใจดี แต่ขนฉันลุกตั้งชัน พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างเรียกฉันให้ฉันเหลือบมองในน้ำ เห็นอะไรเงาๆไม่ชัดนักฉันจึงก้มไปดูให้เต็มตา

          ดวงตาฟ้าอ่อนจางมองตอบฉันกลับมาผ่านผิวน้ำ ใบหน้าซีดขาวประดับริ้วรอยแห่งวัยชรา ผมหงอกขาวพลิ้วไปกับสายน้ำ นี่มันไม่ใช่คนเดียวกับที่กำลังพายเรือให้ฉันหรอกหรือ ฉันสบดวงตาฟ้าจางแล้วรู้สึกเย็นวาบตรงท้ายทอยขึ้นมา อยากถอนสายตาออกแต่เหมือนถูกตรึงไว้

          “คุณกฤษณา!” เสียงเรียกนั้นราวกับถอนมนต์สะกดฉันเงยหน้าขึ้นมาทันทีและเห็นกวียืนเรียกอยู่บนฝั่ง “ทำอะไรอยู่ตรงนั้นครับ”

          ฉันกลับไปมองด้านที่คุณยายนั่งแต่มันกลับว่างเปล่า ก้มลงมองในน้ำก็ไม่มีอะไร จึงขอร้องกวี “คุณมาลากเรือกลับเข้าฝั่งทีได้ไหมคะ ฉันพายเรือไม่เป็น”

          “ได้ครับได้ รอก่อนนะ”

          กวีกระโดดลงน้ำว่ายเข้ามาหาอยากรวดเร็วแล้วก็ลากเรือเข้าฝั่ง

          “ขนมปังยังไม่หมดเลย ให้อาหารปลาต่อไหมครับ”

          “คุณเปียกแบบนี้ต้องรีบกลับสิคะ”

          “ไม่เป็นไรน่าผมทนทายาด แค่นี้ไม่ป่วยหรอก นะ” เขาทำเสียงอ้อน

          “ถ้าคุณไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ”

          เราสองคนจึงนั่งให้ขนมปังปลาต่อ จนหมด เราจึงกลับ คราวนี้กวีแย่งจักรยานฉันไปและให้ฉันซ้อนท้ายแบบมัดมือชก เขามาส่งฉันถึงบ้าน ฉันจึงยัดเยียดให้เขาปั่นมันกลับ

          “เดี๋ยวผมก็ต้องเอามันมาคืนคุณอีกอยู่ดี” กวีเถียง

          “คราวหน้าคุณก็มารับฉันสิคะ”

          “รับไปไหนครับ”

          ฉันยกมือชี้ไปทิศทางท้ายหมู่บ้าน “ให้อาหารปลาไงคะ ฉันต้องไปอีกแน่ๆ”

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่