ก่อนอื่นฝากติดตามเพจด้วยนะคะ เพิ่งทำได้ไม่นาน
https://www.facebook.com/ไปเที่ยวกัน-523890127805915/
ลำปาง จังหวัดที่หลายคนมองว่าเป็นทางผ่าน แต่ที่จริงแล้วมีอะไรมากกว่าแค่จะผ่านไปเพียงอย่างเดียว เพราะนอกจากจะมีรถม้าซึ่งเป็นยานพาหนะแล้ว ภายในจังหวัดลำปางยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่ชวนให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ต้องหลงใหลไปกับความสวยงามและความประทับใจต่างๆ จนเกิดความรู้สึกที่ว่าอยากกลับไปที่นั่นอีก
การเดินทางในครั้งนี้ มีระยะเวลาเพียง 3 วัน 2 คืน เป็นการเดินทางแบบสบายๆ กระเป๋า (สบายในที่นี้นี่หมายถึงไปแบบกระเป๋าเงินบางๆ ก็ไปได้ค่ะ) เพราะเริ่มจากเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 จากรังสิตไปนครลำปาง ใช้เวลาเดินทางราว 12 ชั่วโมง นั่งกันอย่างหลังคตหลังแข็ง และที่สำคัญปวดก้นเป็นอย่างมาก
พอถึงลำปางก็เริ่มจากหารถเช่าค่ะ ตอนแรกเราก็เดินไปเรื่อยๆ จากสถานีรถไฟนครลำปางไปสถานีขนส่ง เพราะเห็นในรีวิวบอกว่ามีบริษัทเช่ารถแถวนี้ พอไปถึงมีแต่รถมอเตอร์ไซต์ให้เช่าค่ะ ค่าเช่าวันละ 350 บาท ทางร้านบอกว่าเป็นแบบเหมา ไม่จำกัดระยะทาง สวนรถยนต์มีคนเช่าไปหมดแล้ว และทางร้านยังบอกอีกว่าร้านอื่นๆ ก็ไม่มีเหมือนกันเพราะเค้ารู้จักกันหมด ดึงรถของบริษัทอื่นมาเช่าด้วย เราเลยลองค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ต่อเกี่ยวกับร้านเช่ารถ หาได้สองร้าน ร้านแรกติดต่อไม่ได้ อีกร้านโทรไปสอบถามทางร้านดีมากค่ะ ค่าเช่าวันละ 1,200 บาท มัดจำ 1,000 บาท และใช้เอกสารเป็นสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาใบขับขี่ 2 คน มารับถึงที่ที่เราอยู่เพื่อไปทำสัญญาและรับรถ ทุกคนในทริปนี้โอเคกับบริการของร้านนี้มากค่ะ แถมยังส่งรถช้ากว่าเวลาได้และไม่คิดเงินเพิ่มอีกด้วย
รับรถเรียบร้อยจุดหมายแรกของเรา คือ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เป็นอุทยานขนาดใหญ่ และเป็นสถานที่ที่มีการนำไข่ไก่มาต้มเป็นจำนวนมาก และไข่จะมีลักษณะที่แปลกคือ ต้มในน้ำแร่ที่ตามอุณภูมิและระยะเวลาที่ป้ายบอกไข่แดงจะเกือบสุกและมีลักษณะแข็ง ส่วนไข่ขาวจะเหลวและไม่สุก และแม้ว่าจะต้มเกินระยะเวลาที่บอกไว้อีกสัก 5-10 นาที ไข่ขาวก็ไม่สุกเพิ่มมากขึ้นเลย และที่สำคัญไข่ไก่ที่ต้มในน้ำแร่เหมาะกับการรับประทานแบบร้อนๆ พร้อมซอส แต่ถ้ารับประทานตอนที่ไม่ร้อนแล้ว ไข่ขาวอาจจะคาวกว่าตอนที่ต้มเสร็จใหม่ๆ และเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ มักจะเห็นคนนำไข่มาต้มเป็นเข่งๆ ตอนแรกที่เห็นจำนวนไข่ในชะลอมยังคิดสงสัยว่าไข่ไก่ที่เอาไปต้มนั้นจะกินกันสักกี่คนถึงจะหมด จนกระทั่งไปพบธุรกิจขายไข่ต้มในน้ำแร่แจ้ซ้อนที่กาดกองต้า ถนนคนเดินเมืองลำปาง มีคนซื้อก็เยอะ และมีร้านไข่ต้มเยอะเช่นกัน
ระหว่างทางเดินจากที่พักไปยังบ่อน้ำแร่ได้สังเกตุเห็นป้าย “ห้ามลักสนาม โคลนดูด” เป็นไอเดียที่ดีเหมือนกันนะคะ
สำหรับคืนแรกที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนเราเลือกนอนกันที่เต้นท์ค่ะ เพราะยังไม่เคยนอนมาก่อน เต้นที่นี่ขนาดเหมาะสำหรับนอน 3 คน ราคา 250 บาท/เต้นท์ จะมีเต้นท์กางไว้ให้เรียบร้อย หากต้องการเช่าเครื่องนอนค่าบริการเครื่องนอนคนละ 60 บาท คืนแรกนอนสบายมากค่ะ เพราะมีเบาะรองนอน หมอนถุงนอนก็อุ่นกำลังดี
ด้วยความที่ไม่เคยนอนเต้นท์มาก่อนในรุ่งเช้าได้ยินเหมือนเสียงฝนจึงเกิดความรู้สึกเซ็งแต่เช้า แต่พอออกมาจากเต้นท์เท่านั้นแหละถึงรู้ว่านั่นคือเสียงน้ำค้างที่หยุดลงมาจากบนต้นไม้ที่สูงใหญ่ อากาศข้างนอกสดชื่น มีหมอกนิดๆ เต้นท์ใกล้เคียงกำลังนั่งทอดไข่เจียว ส่วนเราเดินไปซื้อข้าวต้มและน้ำเต้าหู้กับป้าที่ขี่รถจักรยานยนต์มาขายใกล้ๆ กับที่พัก
ระหว่างทางออกจากอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนไปสถานที่ต่อไปก็แวะไปเก็บสตอเบอร์ เป็นไร่สตอเบอร์รี่เล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ไปเก็บสตอเบอร์รี่ด้วยตนเอง โดยคิดราคากิโลกรัมละ 35 บาท หากซื้อแบบที่เก็บมาแล้วจะขายอีกราคาหนึ่ง ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับขนาดและคุณภาพค่ะ
จุดหมายต่อไปของเราที่ตั้งใจว่าจะไปคือวัดพระบาทปู่ผาแดง หรือวัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนภูเขา หากต้องการจะขึ้นไปต้องจอดรถไว้ข้างล่างบริเวณจุดจอดรถ จากนั้นซื้อตั๋วสำหรับขึ้นและลงในราคา 100 บาท แต่นั่งรถขึ้นไปก็ใช่ว่าจะถึงจุดหมายเลย เราต้องเดินเท้าขึ้นเขาราว 30-40 นาที เพื่อไปให้ถึงยังจุดหมาย และเพื่อเป็นผู้พิชิตยอดเขา
วัดพระบาทปู่ผาแดง หลายคนอาจเคยเห็นภาพวิวสวยๆ ของวัด ในภาพยนตร์ไทยเรื่อง หลวงพี่แจ๊ส 4G (Luang Pee Jazz 4G) เราเองก็เช่นกัน วัดนี้มีความสวยงามและแปลกตาตรงที่มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ หน้าผา บนหิน แถมยังมีแท้งน้ำขนาดใหญ่อยู่บนวัดอีกด้วย
สถานที่ต่อไปที่เราเลือกไปกันก็คือ ถ้ำผาไท ไปถึงแล้วต้องจอดรถแล้วเดินขึ้นไปยังถ้ำราว 10-20 นาที เมื่อเข้าไปถึงเจ้าหน้าที่ในถ้ำจะพาเดินเข้าไปเยี่ยมชมถ้ำ และอธิบายเรื่องราวต่างๆ ภายในถ้ำให้ฟัง
ถ้ำผาไท สถานที่แห่งนี้มีประวัติที่หลากหลาย อาทิ มีลายมือของนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) อยู่ในถ้ำ อีกทั้งยังมีความสวยงามราวกับเพ็ชรของหินมีชีวิต เพราะด้วยความระยิบระยับของหินที่กำลังเจริญเติบโตในทุกๆวันส่องประกายราวกับเพ็ชรนั้นเป็นการเจิญเติบโตที่เกิดขึ้นจากน้ำที่ไหลมาโดนหินจนเกิดปฏิกิริยาทำให้หินนั้นสามารถงอกและเจริญเติบโตได้ สิ่งที่สำคัญในการเข้าไปยังถ้ำผาไทนั้นก็คือ ห้ามสัมผัสกับหินที่มีประกายระยิบระยับเด็ดขาด เพราะหินที่มีประกายนั้นเป็นหินที่มีชีวิต หากมีการสัมผัส หินมีชีวิตเหล่านั้นจะตายและไม่เจริญเติบต่อไปอีก ก่อนออกจากถ้ำผาไท อย่าลืมแวะไปกรอกแบบสำรวจให้พี่ๆ เจ้าหน้าที่เค้าด้วยนะคะ
ออกมาจากถ้ำผาไทเราเดินทางกลับเข้าไปยังเมืองนครลำปางเพื่อหาสถานที่พักของคืนนี้กันค่ะ ระหว่างทางเราได้ผ่านศาลเจ้าพ่อประตูผา จึงแวะเข้าไปกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ช่วงแรกที่แวะสถานที่แห่งนี้จะรู้สึกตกใจกับเสียงบีบแตรของรถที่วิ่งผ่านไปมา บีบกันบ่อยมาก จนสักพักเริ่มชินค่ะ ในศาลเจ้าพ่อประตูผาแดงยังมี “ตลาดต้องชม” ให้เดินเล่นด้วยนะคะ คล้ายตลาดนัดเล็กที่ขายผักผลไม้และสินค้าพื้นบ้านต่างๆ
ศาลเจ้าพ่อประตูผา หรือศาลพญามือเหล็ก เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ในนครลำปาง มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เพราะเจ้าพ่อประตูผาท่านเป็นผู้เสียสละ กล้าหาญชาญชัย และมีจิตใจที่รักบ้านเมือง
สำหรับใครที่แวะไปศาลเจ้าพ่อประตูผา แล้วรูปสึกหิวอยากให้ลองไปแวะทานอาหารที่ “ร้านเจจา” หากเดินทางออกจากศาลเจ้าพ่อประตูผาเพื่อเข้าไปยังนครลำปาง ใช้เวลาเดินทางไปประมาณ 5 นาที ร้านอยู่ทางขวามือค่ะ ถึงไม่มีรูปภาพอาหารมายั่วน้ำลาย แต่รับประกันความอร่อยและปริมาณอาหารที่เยอะเหมาะสำหรับคุณผู้ชายรับประทานเลยค่ะ ส่วนราคาเริ่มต้นเพียงจานละ 30 บาท เท่านั้น สำหรับเมนูที่สั่งกันก็มี ผัดมาม่า ข้าวผัดกระเพราะรวม และผัดซีอิ้ว ทั้งสามจานเราโหวตเป็นเสียงเดียวกันว่ารสชาติโอเค (ถ้าถามเราว่าอร่อยมั้ยสำหรับเราคิดว่าอร่อยค่ะ) ราคาถูก และปริมาณเยอะอีกด้วยค่ะ
ลำปาง...สักครั้งหนึ่งแล้วจะติดใจ
ก่อนอื่นฝากติดตามเพจด้วยนะคะ เพิ่งทำได้ไม่นาน https://www.facebook.com/ไปเที่ยวกัน-523890127805915/
ลำปาง จังหวัดที่หลายคนมองว่าเป็นทางผ่าน แต่ที่จริงแล้วมีอะไรมากกว่าแค่จะผ่านไปเพียงอย่างเดียว เพราะนอกจากจะมีรถม้าซึ่งเป็นยานพาหนะแล้ว ภายในจังหวัดลำปางยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่ชวนให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ต้องหลงใหลไปกับความสวยงามและความประทับใจต่างๆ จนเกิดความรู้สึกที่ว่าอยากกลับไปที่นั่นอีก
การเดินทางในครั้งนี้ มีระยะเวลาเพียง 3 วัน 2 คืน เป็นการเดินทางแบบสบายๆ กระเป๋า (สบายในที่นี้นี่หมายถึงไปแบบกระเป๋าเงินบางๆ ก็ไปได้ค่ะ) เพราะเริ่มจากเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 จากรังสิตไปนครลำปาง ใช้เวลาเดินทางราว 12 ชั่วโมง นั่งกันอย่างหลังคตหลังแข็ง และที่สำคัญปวดก้นเป็นอย่างมาก
พอถึงลำปางก็เริ่มจากหารถเช่าค่ะ ตอนแรกเราก็เดินไปเรื่อยๆ จากสถานีรถไฟนครลำปางไปสถานีขนส่ง เพราะเห็นในรีวิวบอกว่ามีบริษัทเช่ารถแถวนี้ พอไปถึงมีแต่รถมอเตอร์ไซต์ให้เช่าค่ะ ค่าเช่าวันละ 350 บาท ทางร้านบอกว่าเป็นแบบเหมา ไม่จำกัดระยะทาง สวนรถยนต์มีคนเช่าไปหมดแล้ว และทางร้านยังบอกอีกว่าร้านอื่นๆ ก็ไม่มีเหมือนกันเพราะเค้ารู้จักกันหมด ดึงรถของบริษัทอื่นมาเช่าด้วย เราเลยลองค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ต่อเกี่ยวกับร้านเช่ารถ หาได้สองร้าน ร้านแรกติดต่อไม่ได้ อีกร้านโทรไปสอบถามทางร้านดีมากค่ะ ค่าเช่าวันละ 1,200 บาท มัดจำ 1,000 บาท และใช้เอกสารเป็นสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาใบขับขี่ 2 คน มารับถึงที่ที่เราอยู่เพื่อไปทำสัญญาและรับรถ ทุกคนในทริปนี้โอเคกับบริการของร้านนี้มากค่ะ แถมยังส่งรถช้ากว่าเวลาได้และไม่คิดเงินเพิ่มอีกด้วย
รับรถเรียบร้อยจุดหมายแรกของเรา คือ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เป็นอุทยานขนาดใหญ่ และเป็นสถานที่ที่มีการนำไข่ไก่มาต้มเป็นจำนวนมาก และไข่จะมีลักษณะที่แปลกคือ ต้มในน้ำแร่ที่ตามอุณภูมิและระยะเวลาที่ป้ายบอกไข่แดงจะเกือบสุกและมีลักษณะแข็ง ส่วนไข่ขาวจะเหลวและไม่สุก และแม้ว่าจะต้มเกินระยะเวลาที่บอกไว้อีกสัก 5-10 นาที ไข่ขาวก็ไม่สุกเพิ่มมากขึ้นเลย และที่สำคัญไข่ไก่ที่ต้มในน้ำแร่เหมาะกับการรับประทานแบบร้อนๆ พร้อมซอส แต่ถ้ารับประทานตอนที่ไม่ร้อนแล้ว ไข่ขาวอาจจะคาวกว่าตอนที่ต้มเสร็จใหม่ๆ และเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ มักจะเห็นคนนำไข่มาต้มเป็นเข่งๆ ตอนแรกที่เห็นจำนวนไข่ในชะลอมยังคิดสงสัยว่าไข่ไก่ที่เอาไปต้มนั้นจะกินกันสักกี่คนถึงจะหมด จนกระทั่งไปพบธุรกิจขายไข่ต้มในน้ำแร่แจ้ซ้อนที่กาดกองต้า ถนนคนเดินเมืองลำปาง มีคนซื้อก็เยอะ และมีร้านไข่ต้มเยอะเช่นกัน
ระหว่างทางเดินจากที่พักไปยังบ่อน้ำแร่ได้สังเกตุเห็นป้าย “ห้ามลักสนาม โคลนดูด” เป็นไอเดียที่ดีเหมือนกันนะคะ
สำหรับคืนแรกที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนเราเลือกนอนกันที่เต้นท์ค่ะ เพราะยังไม่เคยนอนมาก่อน เต้นที่นี่ขนาดเหมาะสำหรับนอน 3 คน ราคา 250 บาท/เต้นท์ จะมีเต้นท์กางไว้ให้เรียบร้อย หากต้องการเช่าเครื่องนอนค่าบริการเครื่องนอนคนละ 60 บาท คืนแรกนอนสบายมากค่ะ เพราะมีเบาะรองนอน หมอนถุงนอนก็อุ่นกำลังดี
ด้วยความที่ไม่เคยนอนเต้นท์มาก่อนในรุ่งเช้าได้ยินเหมือนเสียงฝนจึงเกิดความรู้สึกเซ็งแต่เช้า แต่พอออกมาจากเต้นท์เท่านั้นแหละถึงรู้ว่านั่นคือเสียงน้ำค้างที่หยุดลงมาจากบนต้นไม้ที่สูงใหญ่ อากาศข้างนอกสดชื่น มีหมอกนิดๆ เต้นท์ใกล้เคียงกำลังนั่งทอดไข่เจียว ส่วนเราเดินไปซื้อข้าวต้มและน้ำเต้าหู้กับป้าที่ขี่รถจักรยานยนต์มาขายใกล้ๆ กับที่พัก
ระหว่างทางออกจากอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนไปสถานที่ต่อไปก็แวะไปเก็บสตอเบอร์ เป็นไร่สตอเบอร์รี่เล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ไปเก็บสตอเบอร์รี่ด้วยตนเอง โดยคิดราคากิโลกรัมละ 35 บาท หากซื้อแบบที่เก็บมาแล้วจะขายอีกราคาหนึ่ง ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับขนาดและคุณภาพค่ะ
จุดหมายต่อไปของเราที่ตั้งใจว่าจะไปคือวัดพระบาทปู่ผาแดง หรือวัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนภูเขา หากต้องการจะขึ้นไปต้องจอดรถไว้ข้างล่างบริเวณจุดจอดรถ จากนั้นซื้อตั๋วสำหรับขึ้นและลงในราคา 100 บาท แต่นั่งรถขึ้นไปก็ใช่ว่าจะถึงจุดหมายเลย เราต้องเดินเท้าขึ้นเขาราว 30-40 นาที เพื่อไปให้ถึงยังจุดหมาย และเพื่อเป็นผู้พิชิตยอดเขา
วัดพระบาทปู่ผาแดง หลายคนอาจเคยเห็นภาพวิวสวยๆ ของวัด ในภาพยนตร์ไทยเรื่อง หลวงพี่แจ๊ส 4G (Luang Pee Jazz 4G) เราเองก็เช่นกัน วัดนี้มีความสวยงามและแปลกตาตรงที่มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ หน้าผา บนหิน แถมยังมีแท้งน้ำขนาดใหญ่อยู่บนวัดอีกด้วย
สถานที่ต่อไปที่เราเลือกไปกันก็คือ ถ้ำผาไท ไปถึงแล้วต้องจอดรถแล้วเดินขึ้นไปยังถ้ำราว 10-20 นาที เมื่อเข้าไปถึงเจ้าหน้าที่ในถ้ำจะพาเดินเข้าไปเยี่ยมชมถ้ำ และอธิบายเรื่องราวต่างๆ ภายในถ้ำให้ฟัง
ถ้ำผาไท สถานที่แห่งนี้มีประวัติที่หลากหลาย อาทิ มีลายมือของนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) อยู่ในถ้ำ อีกทั้งยังมีความสวยงามราวกับเพ็ชรของหินมีชีวิต เพราะด้วยความระยิบระยับของหินที่กำลังเจริญเติบโตในทุกๆวันส่องประกายราวกับเพ็ชรนั้นเป็นการเจิญเติบโตที่เกิดขึ้นจากน้ำที่ไหลมาโดนหินจนเกิดปฏิกิริยาทำให้หินนั้นสามารถงอกและเจริญเติบโตได้ สิ่งที่สำคัญในการเข้าไปยังถ้ำผาไทนั้นก็คือ ห้ามสัมผัสกับหินที่มีประกายระยิบระยับเด็ดขาด เพราะหินที่มีประกายนั้นเป็นหินที่มีชีวิต หากมีการสัมผัส หินมีชีวิตเหล่านั้นจะตายและไม่เจริญเติบต่อไปอีก ก่อนออกจากถ้ำผาไท อย่าลืมแวะไปกรอกแบบสำรวจให้พี่ๆ เจ้าหน้าที่เค้าด้วยนะคะ
ออกมาจากถ้ำผาไทเราเดินทางกลับเข้าไปยังเมืองนครลำปางเพื่อหาสถานที่พักของคืนนี้กันค่ะ ระหว่างทางเราได้ผ่านศาลเจ้าพ่อประตูผา จึงแวะเข้าไปกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ช่วงแรกที่แวะสถานที่แห่งนี้จะรู้สึกตกใจกับเสียงบีบแตรของรถที่วิ่งผ่านไปมา บีบกันบ่อยมาก จนสักพักเริ่มชินค่ะ ในศาลเจ้าพ่อประตูผาแดงยังมี “ตลาดต้องชม” ให้เดินเล่นด้วยนะคะ คล้ายตลาดนัดเล็กที่ขายผักผลไม้และสินค้าพื้นบ้านต่างๆ
ศาลเจ้าพ่อประตูผา หรือศาลพญามือเหล็ก เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ในนครลำปาง มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เพราะเจ้าพ่อประตูผาท่านเป็นผู้เสียสละ กล้าหาญชาญชัย และมีจิตใจที่รักบ้านเมือง
สำหรับใครที่แวะไปศาลเจ้าพ่อประตูผา แล้วรูปสึกหิวอยากให้ลองไปแวะทานอาหารที่ “ร้านเจจา” หากเดินทางออกจากศาลเจ้าพ่อประตูผาเพื่อเข้าไปยังนครลำปาง ใช้เวลาเดินทางไปประมาณ 5 นาที ร้านอยู่ทางขวามือค่ะ ถึงไม่มีรูปภาพอาหารมายั่วน้ำลาย แต่รับประกันความอร่อยและปริมาณอาหารที่เยอะเหมาะสำหรับคุณผู้ชายรับประทานเลยค่ะ ส่วนราคาเริ่มต้นเพียงจานละ 30 บาท เท่านั้น สำหรับเมนูที่สั่งกันก็มี ผัดมาม่า ข้าวผัดกระเพราะรวม และผัดซีอิ้ว ทั้งสามจานเราโหวตเป็นเสียงเดียวกันว่ารสชาติโอเค (ถ้าถามเราว่าอร่อยมั้ยสำหรับเราคิดว่าอร่อยค่ะ) ราคาถูก และปริมาณเยอะอีกด้วยค่ะ