ผมจะเล่าอะไรให้ฟังเรื่องหนึ่ง

ผมจะเล่าอะไรให้ฟังเรื่องหนึ่ง เรื่องมันเกิดขึ้นริมทางหลวงชนบทสาย 4045 ตรงรอยต่อระหว่างบ้านหอยกันกับบ้านหนองศรีพรม

ทางหลวงชนบทสายนี้ตัดผ่านทุ่งนาโล่งโจ้ง เริ่มจากบ้านขนาบนากตัดเข้าไปในตัวอำเภอปากพนัง ในจังหวัดนครศรีธรรมราช บ้านผมอยู่ตรงประมาณกลาง ๆ ของเส้นทางสายนี้พอดี และผมจะใช้เส้นทางสายนี้ปั่นจักรยานเข้าไปในตัวอำเภอแล้วปั่นกลับบ้านเพื่อออกกำลังกายทุก ๆ เย็น

วันหนึ่งเมื่อราวสองปีก่อน ขณะที่ผมปั่นจักรยานไปถึงใกล้ ๆ แยกหอยกัน-หนองศรีพรม ผมสังเกตเห็นมีเสาไม้ทั้งต้นเก่า ๆ ปักโด่ขึ้นมาบนพื้นที่ว่าง ๆ ริมทาง ก็แค่เห็น มันก็เป็นแค่เสาไม้เก่า ๆ ต้นหนึ่ง มันอาจจะลอยน้ำมาตอนหน้าน้ำ แล้วใครที่ผ่านมาอาจซุกซนยกมันขึ้นมาปักก็ได้ ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันเป็นพิเศษ เห็นแล้วก็ปั่นจักรยานผ่านไป

แต่พอวันถัดมาผมปั่นจักรยานผ่านไปทางนั้นอีก ผมเห็นเสาไม้เก่า ๆ แบบเดิมโผล่ขึ้นมาอีกต้นห่างจากต้นเดิมราว ๆ สองเมตรกว่า ๆ คราวนี้ผมแปลกใจเล็กน้อย นึกในใจว่า "เอ๊ะ อะไรของมันว้า" แล้วก็ปั่นจักรยานผ่านไป

วันต่อ ๆ มา ผมเห็นเสาไม้เก่า ๆ แบบเดิม เล็กบ้างใหญ่บ้าง สั้นบ้างยาวบ้าง ค่อย ๆ โผล่มาใกล้ ๆ กันทีละต้นสองต้น และอีกหลายวันต่อมา ผมเห็นคานไม้เก่า ๆ ทำจากไม้ทั้งต้นพาดไปบนเสาไม้เหล่านั้น คราวนี้ผมไม่แปลกใจแล้ว ก็คงมีใครมาสร้างกระต๊อบตรงนี้นั่นแหละ

ผ่านไปเป็นเดือน ก็ค่อย ๆ เห็นโครงสร้างหลังคา ฝาผนังค่อย ๆ สร้างขึ้นมาจากเศษไม้เก่า ๆ จนในที่สุดราว ๆ สองเดือนผ่านไป ก็มีกระต๊อบมุงจาก กั้นเศษไม้ เศษสังกะสี เสร็จสมบูรณ์ตั้งอยู่ตรงนั้น

กระทั่งเวลาผ่านไปอีก ผมก็ค่อย ๆ สังเกตเห็น พืชผักสวนครัว พริก มะเขือ ตะไคร้ ฟัก แฟง เป็นต้น ปลูกแซมระหว่าง กล้วย อ้อย มะละกอ ที่ปลูกขึ้นมาเรียงรายไปบนไหล่ทางทั้งสองฝั่งฟาก บริเวณใกล้ ๆ กระต๊อบหลังนั้น

อีกหลายเดือนผ่านไป ที่ตรงหน้ากระต๊อบมีโต๊ะสร้างขึ้นหยาบ ๆ ด้วยเศษไม้ ตั้งขึ้น มีเตาถ่าน กระทะน้ำมันมาตั้ง และมีกล้วยทอด ทอดขาย ฮา

ผมปั่นจักรยานผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอดก็ได้แต่สังเกตเห็นแบบที่เล่าให้ฟัง แต่ไม่ได้แวะอุดหนุนซื้อกล้วยทอดแต่อย่างใด จนกระทั่งผมค่อย ๆ สังเกตเห็นมีแมวเข้ามาอยู่ที่นั่นเพิ่มขึ้นมาทีละตัว ๆ จนมีแมวหลายตัว ผมมันคนทาสแมว ก็อดรนทนไม่ไหว พอเห็นแมวก็อยากเข้าไปจับไปอุ้ม วันหนึ่งก็เลยแวะซื้อกล้วยทอด ด้วยเจตนาจะไปเล่นแมวของเขานั่นแหละ ฮา

พอได้แวะไปซื้อของได้พูดคุยด้วยกับเจ้าของกระต๊อบซึ่งเป็นผัวเมียคู่หนึ่ง อายุรุ่นราวคราวน้าผมเห็นจะได้ ก็รู้สึกว่าน้าทั้งสองมีอัธยาศัยดี มีน้ำใจ วันหลัง ๆ ผมเลยแวะบ่อยขึ้น บางวันขากลับน้าเขาขายกล้วยทอดหมดแล้ว ผมก็แวะนั่งสนทนาด้วยอยู่บ่อย ๆ

แล้วก็จึงได้รู้ว่า น้าทั้งสองเป็นคนยากจนมาจากต่างถิ่น เคยรับจ้างเขาทำงานและเช่าบ้านเขาอยู่ในเมือง จนรู้สึกจะแบกรับเศรษฐกิจในเมืองไม่ไหว ก็เลยออกมาบ้านนอก มาอาศัยที่ดินบนไหล่ทางหลวง เก็บเศษไม้เศษวัสดุมาทำกระต๊อบอยู่อาศัย ปลูกพืชผักผลไม้ไว้กิน และไว้แจกแถมลูกค้ากล้วยทอด มันก็ทำให้ชีวิตดีขึ้น มีความสุขสบายกว่าดิ้นรนอยู่ในเมือง ชีวิตแบบที่ไม่มีต้นทุนไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมาก อาศัยสิ่งที่ธรรมชาติเอื้อไว้ให้ดำรงชีพ จนต่อมามีคนมักเอาแมวมาทิ้งไว้ใกล้ ๆ กระต๊อบของน้า น้าแกก็เก็บมาเป็นธุระเลี้ยงดูไว้เพราะความสงสาร จึงได้มีแมวหลายตัว

ไม่ใช่อะไร ที่ผมมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เพราะว่าผมรู้สึกประทับใจน้าสองคนผัวเมียคู่นี้มาก แกเป็นคนยากจนไร้ที่ทำกิน แต่สามารถอาศัยสองมือเปล่า กับสิ่งที่ธรรมชาติเอื้อไว้ให้ สร้างชีวิตทีมีความสุขขึ้นมาได้ และขนาดแกยากจนปานนั้น แกยังอุตส่าห์มีพืชผักผลไม้ไว้เอื้อเฟื้อคนอื่น แกก็ยังอุตส่าห์รับเป็นภาระเลี้ยงแมวที่เขาเอามาทิ้งไว้อีก

ผมไม่เพียงแต่ประทับใจในวิธีดำเนินชีวิตของน้าทั้งสองเท่านั้น แต่มันทำให้ผมได้เห็นความจริงบางอย่างที่ผู้คนเป็นจำนวนมากมองไม่เห็น ผมได้เห็นว่าความยากจนที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่เพราะไม่มีเงินหรือไม่มีสมบัติพัสถานอะไร แต่ความไม่รู้จักโลกไม่เข้าใจชีวิตนั่นต่างหากที่ทำให้คนเรายากจน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่