เมื่อเราเป็นมะเร็งและเกือบตายเพราะเชื่อและรักษาตัวแบบผิดๆ (สมาธิช่วยได้จริงๆ)

***เมื่อต้นปี 2558 เดือนมกราคม เราตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 2 และรักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลและคุณหมอก็ได้ทำการนัดผ่าตัด วันที่2 กุมภาพันธ์ซึ่งคุณหมอก็หาคิวให้แบบเร็วที่สุด(เราใช้บัตร 30 บาทในการรักษา)ตอนพบหมอก่อนผ่าตัด หมอก็บอกว่า (หมอขออย่างเดียว อย่ากินยาต้มหรือยาหม้อสมุนไพร นอกนั้นกินได้หมด หมอไม่ห้าม)
...ระยะเวลาก่อนที่จะผ่าตัด เราจิตตกไปมากเลย ไม่บอกใครว่าเราเป็นมะเร็ง  เก็บตัวอยู่แต่บนเตียงไม่อยากทำอะไร ตื่นมาก็คิดแต่ว่า ฉันเป็นมะเร็งและทำไมต้องเป็นฉัน  ช่วงระยะเวลานั้นห่อเหี่ยวไปหมดเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์
...ระหว่างรอที่จะผ่าตัด เราก็ปฏิบัติธรรมเองที่บ้าน เก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใคร นั่งสมาธิและสวดมนต์ ตลอดเวลา(วันหนึ่งๆนั่งสมาธิหลายรอบ) จนวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า เรายังไม่ตายนี่ ยังเดินได้ยังขับรถได้ ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม มะเร็งก็มะเร็งเถอะ ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้ ย้อนหลังกลับไปดูตัวเอง ตอนที่รู้สึกห่อเหี่ยวหดหู่ มันช่างหน้ากลัวจริงๆ คนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็งและถ้าท้อแท้หรือจิตใจเศร้าหมองและถ้าตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆและคิดไม่ได้ มันหน้ากลัวมากๆ พลอยทำให้โรคกำเริบไปด้วย
...หลังจากที่เราคิดได้และใจไม่กลัว เราก็หาหนทางที่จะรักษาตัวเอง ตอนนั้นใจไม่อยากผ่าตัดเลยเราก็หาข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็ง จนได้พบกับข้อมูลของเพื่อนทาง facebook  ว่าการรักษาโรคมะเร็งเต้านม ไม่ต้องผ่าตัดแต่ให้กินชาสมุนไพรและก้อนมะเร็งจะฝ่อ (ลงรูปมีตัวอย่างผู้หญิงที่กินชาแล้วหายไม่ต้องผ่าตัดด้วย) เราก็เลยโทรไปคลีนิคและสอบถามเกี่ยวกับการรักษาว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
...ทางคลีนิคก็บอกว่าการรักษาโรคมะเร็ง ต้องปรับสมดุลย์ร่างกายต้องไปที่วัดล้างสารพิษ(เข้าครอสดีท๊อกร่างกายเดือนละครั้ง ครั้งละ3วัน) ตอนนั้นเราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะรักษาได้จริง เราก็บอกว่าถ้าเราผ่าตัดแล้วไปปรับสมดุลย์ร่างกายทีหลังได้หรือเปล่า ทางคลีนิคก็บอกว่า ถ้าผ่าตัดแล้วการรักษาจะไม่ได้ผล  ต้องไม่ผ่าตัดการรักษาจะได้ผลดีกว่า เราก็ยังไม่เชื่ออีกก็เลยเดินทางไปที่วัดเพื่อจะดูว่ารักษาได้จริงหรือเปล่า
...เราได้เดินทางไปที่วัด เพื่อจะได้ดูว่าน่าเชื่อถือขนาดไหน พบพระที่จะทำการรักษาท่านก็บอกว่าไม่ต้องผ่าตัดให้ทานชาสมุนไพร เดี๋ยวก้อนมะเร็งก็ยุบฝ่อไปเอง ที่ทำให้เราเชื่ออีกก็คือมีผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมที่รักษาตัวอยู่อายุมากกว่าเราคือ 60ปี(เราเรียกว่าแม่) แกก็บอกว่าก็ไม่ได้ผ่าตัดรักษาตัวกับที่วัดมาล้างสารพิษทุกเดือน เราดูแล้วแกแข็งแรงมากๆ พูดคุยสอบถามจนเราเชื่อว่าเป็นหนทางที่จะรักษาตัวเองได้ ไม่ต้องผ่าตัด
...ที่ทำให้เราเชื่อมากๆคือ พระท่านบอกว่า มะเร็งเป็นฤทธิ์ร้อนถ้าผ่าตัดแล้วต้องให้คีโมกับฉายแสง ซึ่งร้อนกับร้อนมาเจอกัน เราก็จะตาย ท่านยังบอกว่า เราจะตายภายในห้าเดือน ถ้าหากว่าต้องผ่าตัดให้คีโม เราจะไม่ตายเพราะมะเร็ง แต่จะตายเพราะให้คีโมและยังบอกอีกว่า ถ้าผ่าตัดแล้วมะเร็งก็จะลามไปที่อื่นๆอีก  สรุปท่านว่าจะเจ็บตัวไปทำไม ให้มาปรับสมดุลย์ร่างกายที่วัดทุกเดือน และกินชาสมุนไพรเดี๋ยวมะเร็งก็ฝ่อไปเอง เราทั้งไปหาท่านที่วัด ทั้งโทรศัพท์สอบถาม หลายรอบ และอีกอย่าง ที่วัดเราก็เห็นคนมารักษากับท่านมากๆและวัดก็ปลูกสมุนไพรเอง และมีทีมงานคลีนิคอยู่ที่กรุงเทพ ขายสมุนไพร
...ณ ตอนนั้นเราไม่อยากผ่าตัดด้วย ก็เลยทำให้เราตัดสินใจไปรักษาตัวกับทางวัดและไม่เข้ารับการผ่าตัด มุ่งมั่นมารักษาแพทย์ทางเลือกโดยใช้ยาสมุนไพร และปรับสมดุลย์ร่างกายด้วยการดีท๊อกเข้าครอสรักษาตัว
...วันที่ต้องเข้านอนโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดตามหมอนัด เราไม่ไปโรงพยาบาล เราเลือกไปวัดอโศการาม สมุทรปราการ  ไปนั่งสมาธิ ปิดมือถือทั้งหมด (โรงพยาบาลโทรตาม เราเลยปิดมือถือ)

***หลังจากที่เราเลือกไม่ผ่าตัดและรักษาตัวด้วยวิธีนี้คือ ทุกเดือนเราจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อเข้าครอสล้างสารพิษ(ปรับสมดุลยร่างกาย)เดือนละครั้ง ครั้งละ 3วัน(ดีท๊อกตับ ห้ามกินข้าวกินแต่สมุนไพร ระหว่าง3วัน) และต้องกินสมุนไพรทุกๆวันคือต้มเหมือนชากินแทนน้ำ และยาสมุนไพรอื่นๆ ที่ทางคลีนิคบอกให้กิน
...ระหว่างเกือบปี ที่เรารักรักษาตัวไม่ผ่าตัดกินสมุนไพร  ก็ห้ามกินเนื้อสัตว์ วันๆ เรากินแต่ข้าวกับผักผัดใส่ซีอิ้วขาว (เป็นชีวิตที่ขำๆสิ้นดี เราก็เชื่อเหมือนคนโง่เลย)
...เวลาที่ยาตัวไหนออกใหม่ๆ ทางคลีนิคก็จะให้เราซื้อกิน จนเรากินยาเกือบหมดที่คลีนิคมี  จนบางครั้งเราก็แปลกใจว่า ยาหลายขนานมาก และยาตัวไหนแน่ที่รักษามะเร็งจริงๆ ไหนจะต้องกินชาต้มแทนน้ำอีก เราพกยาทีเวลาไปไหน เป็นกระเป๋าเลย
...ระหว่างนั้น เราก็สังเกตก้อนเนื้อที่หน้าอกเราตลอดเวลา  และได้ถ่ายรูปไว้ทุกเดือน จนเดือนกันยายน 2558 เริ่มก้อนเนื้อแดงขึ้น ตุลาคมก็แดงกว่าเดิมขึ้นไปอีก จนเราชักไม่แน่ใจ ก็ได้โทรสอบถามทางคลีนิค ซึ่งทางคลีนิคก็บอกว่า ไม่เป็นไร โทรไปที่วัด พระท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร  
...จนปลายๆตุลาคม มียาตัวใหม่ของทางวัด ออกมา และทางคลีนิคให้เราซื้อมากิน ต้มกินผสมกับชา  เรารู้สึกว่า มันร้อนในตัวมากๆ และที่ก้อนเนื้อก็เต้นตุบๆ จนเรารุ้สึกได้ พอโทรถามพระ ท่านก็ว่า  ให้กินเพิ่มเป็นสองเท่าเลย แปลว่ายาได้ผล
...เดือนพฤศจิกายน 2558 ก้อนเนื้อที่หน้าอก เริ่มแดงชัดมากๆ เหมือนเป็นฝีจะแตก และบางครั้งก็รุ้สึกปวดลึกๆข้างใน เราเริ่มไม่แน่ใจมากๆ (ถ่ายรูปและส่งให้ดู) และเริ่มมีน้ำใสๆ ซึมจากก้อนเนื้อ ทำให้แฉะๆ ที่หน้าอก
... เราโทรไปสอบถามกับพระว่าควรทำอย่างไรดี พระท่านก็ไม่รับสายเรา ได้แต่พิมพ์ทางข้อความ facebook  ว่าไม่สะดวกรับสาย ให้พิมพ์ถาม เราเริ่มลังเลใจมากๆ  ใจสุดท้าย ท่านก็พิมพ์บอกเราว่า  แนะนำให้เราไปผ่าตัดและให้คีโม และค่อยกลับมารักษาตัวกลับที่วัดใหม่
...เราโทรไปสอบถามกับแม่ ที่รักษาตัวเเหมือนเรา แกอยู่สุรินทร์ ว่ากินยาเหมือนกันแล้วอาการเป็นอย่างไร  แกก็บอกว่า กินยาเหมือนกันเลย อาการก้เหมือนกันร้อนข้างใน  และแกก็ไม่ได้มาวัดแล้ว เพราะว่า นมแกมีเลือดไหล พุ่งเป็นน้ำเลย ลูกให้รักษาตัวที่โรงพยาบาล
...เราเลยทิ้งยาสมุนไพรทั้งหมด ไม่กินอะไรทั้งนั้น  ส่วนที่นม ก็เริ่มมีน้ำเหลืองไหล และเป็นแผลแตกออกมา ต้องคอยซับน้ำเหลืองตลอดเวลา
...ความรู้สึกเราตอนนั้นเหมือน ล้มทั้งยืน เคว้งคว้างไปหมด และคิดว่าจะทำอย่างไรดีต่อไป เพราะสิ่งที่เชื่อและศรัทธานั้น ไม่ใช่สิ่งที่จริง ผลสุดท้าย ก็เหมือนหลอกลวง หาความรับผิดชอบไม่ได้ ถ้ารักษาเราไม่ได้ ทำไมไม่บอกแต่แรก  พอมาทีนี้จะให้เรากลับมาผ่าตัด ซึ่งเราก็คิดว่า มะเร็งมันคงลามไปไหนต่อไหนแล้ว
...พระท่านให้คำมั่นสัญญาว่ารักษาหายแน่นอน ท่านเอาตัวเป็นประกัน และเราก็คิดว่าเราเชื่อคือท่านเป็นพระไม่โกหกถ้าโกหกท่านก็จะบาปกรรมท่านจะหลอกเราทำไม อีกอย่าง ที่วัดก็คนก็มารักษาเยอะ คนก็รุ้จักท่านเยอะ (สรุปแล้ว เราโง่เอง ที่เชื่อมากเกินไป)


***หลังจากนั้นเราก็ได้ข่าวว่า  ผู้หญิงอีกคนที่มารักษาหลังเรา แต่ตอนหลังลูกสาวไม่ให้มารักษาทางสมุนไพร เอากลับไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่ว่าหมอรักษาให้ไม่ได้แล้ว เพราะช้าไป ผลสุดท้ายก็คือตาย  ยอมรับกับตัวเองว่าคิดมากๆเลย เพราะว่าตัวเองก็ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี
...ตอนนั้นที่หน้าอกก็เริ่มเป็นแผล มีน้ำเหลืองไหลตลอดเวลา และเริ่มมีกลิ่นเหม็นคาวมากๆ ต้องคอยซับน้ำเหลืองตลอด ตอนนั้นยังหาทางว่าจะรักษาตัวอย่างไรดี
...จนเดือนมกราคม 2559อาการเริ่มไม่ดี  น้ำเหลืองจากใสๆ กลายเป็นน้ำเหลืองข้นๆ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกว้าง และรอบๆแผลเริ่มเปื่อยถ้าหากว่าโดนหรือสกิดก็จะเลือดไหล ต้องคอยซับทุกๆ 2 ชั่วโมง  ทั้งปวดแผล ปวดลึกๆ ตุบๆ ในบางครั้ง
...ปลายเดือนมกราคม 2559 เลยติดสินใจ มาโรงพยาบาล พบคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาครั้งแรก  พอหมอเห็นแผลท่านก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า รักษาผ่าตัดให้ไม่ได้ เพราะแผลใหญ่เกิน แถมท่านยังต่อว่าอีกคือ  หมอเคยขอแล้วใช่ไหมว่า อย่าไปกินยาต้มยาหม้อยาสมุนไพร แต่คุณก็ไปกิน ไม่เชื่อหมอ
...เราได้แต่นั่งร้องไห้ต่อหน้าหมอ เพราะเราผิดเองที่ไม่เชื่อหมอแต่แรก  โรคเลยเป็นมากถ้าผ่าตัดตอนนั้น ก็คงไม่ทรมานแบบนี้
...เราทรมานมากๆ จากเดือน มกราคม-พฤษภาคม ระยะเวลาเกือบ 5เดือน เราไม่เคยได้นอนหลับ (เราต้องใช้ท่านั่งหลับ เพราะถ้านอนราบ น้ำเหลืองจะไหลย้อนกลับทั้งเลือดด้วย) เราต้องนั่งหลับเอา ทรมานสุดๆ ไหนจะเลือดไหล ไหนจะน้ำเหลืองไหลตลอด คิดย้อนไปแล้ว มันช่างน่าสงสารตัวเองจริงๆ

***หลังจากที่ได้พบหมอเดือนมกราคม 2559 เราก็เริ่มต้นการรักษาใหม่หมดทางแพทย์แผนปัจจุบัน ยุ่งยากมากกว่าเดิมเพราะว่าต้องเช็คตรวจใหม่หมดและตรวจเช็คว่ามะเร็งลามไปที่ไหนหรือเปล่า การรักษาตาม step คือ ต้องให้คีโมก่อน(ทั้งหมด 8เข็ม) เพราะก้อนเนื้อโตมากไม่สามารถผ่าตัดได้ คีโมก่อน 4 เข็มและดูว่าถ้าหากก้อนเนื้อเล็กลงก็สามารถผ่าตัดได้
...เราเริ่มให้คีโมเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เข็มแรก (ผมร่วง สุดท้ายเราเลยโกนผม)จำได้ว่า เราโกนผมด้วยตัวเอง ตัดให้สั้นแล้วค่อยๆ โกน ด้วยมีดโกนหนวด(ผมเรายาวมากเกือบเอว) โกนผมตัวเองไป น้ำตาก็ไหลไป มันไหลของมันเอง ทำให้เราปลงกับสังขารว่า มันไม่เที่ยงเลย
...ให้ยาคีโมเข็มแรก เรากินข้าวไม่ได้ น้ำหนักลดลงฮวบๆ ตรงหน้าอกที่ก้อนเนื้อก็น้ำเหลืองและเลือดก็ยังไหลตลอดเวลา มีกลิ่นเหม็นมากขนาดตัวเราเอง ยังทนตัวเองบางทีไม่ได้ เวลากินข้าวต้องปิดจมูกตัวเอง (บางทียังนึกในใจว่าเพราะปล่อยไว้เชื่อคนอื่นมากกว่าหมอสุดท้ายเราเลยต้องเป็นอย่างนี้ สมน้ำหน้าตัวเอง) ระหว่างให้คีโม เราก็ขับรถไปเองที่โรงพยาบาล  จนพยาบาลถามว่า มาคนเดียวเหรอ (เราก็ตอบว่ามาคนเดียว)  ทำอะไรก็คนเดียว จนถึงวันผ่าตัด
...ให้ยาคีโมเข็มที่สอง เราเริ่มไม่แพ้ แต่น้ำหนักลดเหมือนเดิม ค่าเลือดก็ผ่านตลอด
...ให้ยาคีโมเข็มที่สามถึงสี่ ก็ไม่แพ้ ค่าเลือดผ่านตลอด ขับรถไปคนเดียวเหมือนเดิม  ตรงก้อนเนื้อก็น้ำเหลืองไหลและเลือดไหลเหมือนเดิมและขยายวงกว้างกว่าเดิม  (เป็นแผลลึกเข้าไปข้างใน เราไม่กล้ามองดูตัวเองในกระจกเลย )
...ระหว่างให้คีโม ผลข้างเคียงของการให้ยาตามที่หมอบอกคือ นอนไม่หลับ และหลายอาการและหมอก็ให้ยานอนหลับ ยาระบาย ยาแก้แพ้และหลายยา(จำไม่ได้ค่ะ หลายยามากๆ)  แต่เราก็ไม่ทานยาอะไรเลย (เพราะเป็นคนไม่ชอบกินยาอยู่แล้ว)
...ทีนี้เวลานอนไม่หลับ ตาก็สว่างมากๆ เราก็ใช้เวลานี้ ที่นอนไม่หลับ นั่งสมาธิและเดินจงกลม ทำต่อเนื่องมากกว่าเดิม (ปรกติเราก็นั่งสมาธิ ก่อนที่จะเป็นมะเร็งอยู่แล้ว)เราไม่กินยานอนหลับ  สู้กับตัวเอง ปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้น คิดว่าถ้าตายก็ยอมตาย อย่างน้อยยังมีลมหายใจอยู่
ก็เร่งความเพียรตัวเอง ทุกลมหายใจนึกได้ก็ จิตใจจดจ่อแต่คำภาวนา พุทโธ  
...เราปฏิบัติต่อเนื่องแบบนั้น  เช้ามาก็ไม่เพียร ไม่ง่วง สดชื่นแจ่มใสดี  (เรานอนราบไม่ได้ ก็นั่งหลับวันหนึ่งๆ ไม่เกิน 3 ชั่วโมง)

***อ่านต่อได้ด้านล่างค่ะ...(เนื้อเรื่องทั้งหมดมี 3ตอน) มาพิมพ์ต่อจนจบแล้วค่ะ
เลื่อนลงที่ความคิดเห็น8 และความคิดเห็น9
####อ่านเรื่องราวทั้งหมดหลังต่อจากนี้ได้ค่ะทาง facebookว่ารักษาตัวอย่างไรกับการทำสมาธิ#####
https://www.facebook.com/nunid379

***พรุ่งนี้จะมาต่อนะค่ะ ว่า เริ่มการรักษาตัวอย่างไรต่อ ตอนนี้ตีหนึ่งแล้ว ง่วงสุดๆ ไว้พรุ่งนี้มาเล่าให้ฟังต่อค่ะ***
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่