เพียงอย่าสิ้นหวัง .... 3 (บทจบ)

บทแรก   https://ppantip.com/topic/36048468
บทที่สอง https://ppantip.com/topic/36055364


เพียงอย่าสิ้นหวัง


3

สามชีวิตย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านคุณหญิงแสงทิพย์
และได้พักอยู่ที่เรือนคนใช้ซึ่งเป็นห้องพักขนาดกลางมีเตียงนอน ตู้เสื้อ พัดลม และโต๊ะเครื่องแป้งขนาดเล็ก ทุกอย่างสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย

“พวกเธอสามคนพักอยู่ที่ห้องนี้นะ ห้องนี้เคยเป็นห้องพักของคนรับใช้คนก่อนน่ะ แต่ลาออกกลับไปช่วยแม่ทำนาที่บ้านนอกแล้ว” ผกาหญิงสาวรับใช้ที่คุณหญิงแสงทิพย์ให้พาครอบครัววันนามาดูห้องพัก

พูดกับผู้มาใหม่อย่างอารมณ์ดี รู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีที่คุณหญิงหาคนงานมาเพิ่ม ก็นับตั้งแต่คนงานเก่าลาออกไปเกือบสามเดือนแล้ว ผกาก็ต้องรับผิดชอบดูแลทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่หลังนี้คนเดียว

ส่วนสมหมายผู้เป็นน้องชายนั้นก็ทำหน้าที่ขับรถดูแลสวนจัดสวนเพียงอย่างเดียว จะมีมาช่วยเธอบ้างก็ช่วงเวลาที่คุณหญิงไม่ได้ออกไปไหน หรือคุณหญิงออกไปกับคุณผู้ชาย สมหมายก็จะรับหน้าที่กวาดถูบ้าน ส่วนผกาจะรับหน้าที่ซักผ้าและทำอาหาร

“ขอบใจพี่ผกามากจ้ะ” วันนายกมือไหว้หญิงสาว ที่ดูแล้วน่าจะแก่กว่าเธอสักสามหรือสี่ปี

“แล้วนี่กินข้าวกันหรือยัง”

ไม่มีใครตอบ แต่เป็นเด็กชายป๊อกที่ส่ายหน้าหวือๆ ท่าทางบ่งบอกว่าหิวข้าวมากแล้ว

“งั้นก็เอาของไปเก็บให้เรียบร้อย แล้วตามไปที่ห้องครัวนะ เดี๋ยวฉันจะหาข้าวหาปลาให้กิน”



ครอบครัววันนาตอบแทนคุณหญิงด้วยการดูแลบ้านให้คุณหญิงเป็นอย่างดี ขยันขันแข็งทำงาน ไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย ทุกซอกทุกมุมภายในบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดหมดจด มากกว่าตอนที่ผกากับคนรับใช้คนเก่าอยู่เสียอีก เพราะสองคนนี้ทำงานเช้าชามเย็นชาม ไม่ละเอียดลออเหมือนวันนา

คนใช้คนใหม่จึงได้รับคำชมจากคุณหญิงอยู่เสมอ และแม้แต่ผกาเองยังอดชื่นชมไม่ได้กับความขยันและมีน้ำใจของวันนา  เพราะตั้งแต่วันนาเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เธอก็สบายขึ้นเยอะไม่ต้องรับบทหนักทำงานหัวปักหัวปำเหมือนก่อน เพียงสอนวันนาให้รู้งานว่าควรทำอะไรยังไง สอนได้ไม่นานคนงานคนใหม่ก็เริ่มทำงานได้คล่อง กระฉับกระเฉง ไม่อิดออดการทำงาน และยังมาอาสาเข้าช่วยทำงานในส่วนที่ผกาต้องรับผิดอยู่เสมอ

ส่วนป๊อกกลายมาเป็นลูกสมุนตัวน้อยๆของสมหมาย ตามติดเรียนรู้งานจากสมหมายอยู่ไม่ห่าง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานที่สมหมายทำอยู่เป็นประจำ อย่างการตัดตกแต่งไม้ประดับ ดูแลรดน้ำสวนหย่อม ล้างรถ เป็นงานเล็กๆน้อยที่ป๊อกพอจะทำได้

และถึงแม้คุณหญิงจะเคยบอกป๊อกว่าไม่ให้เข้ามาทำงานในส่วนตรงนี้ ขอให้ตั้งใจเรียนหนังสือก็พอ แต่ป๊อกก็ยืนกรานว่าอยากช่วย อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบแทนคุณหญิง

คุณหญิงแสงทิพย์ก็สุดจะห้าม ทำได้เพียงเฝ้าดูเด็กน้อยช่วยเหลืองานสมหมาย ด้วยความชื่นชมในความขยันและความมุ่งมั่นที่มักจะแสดงออกให้เห็นทางแววตาและสีหน้าอยู่เป็นนิจ

เสาร์อาทิตย์ป๊อกจะยืมจักรยานของผกาปั่นมาดูแปลงผัก ระยะทางจากบ้านคุณหญิงมาที่นี่เกือบห้ากิโลเมตร แต่ป๊อกก็ขยันมาดูแลผักของตนอยู่เป็นประจำ ผักที่โตพอเก็บไปขาย ก็จะนำไปวางขายตามตลาดนัด ผักบางส่วนก็เก็บกลับบ้านเอามาทำอาหารให้คนในบ้านกินกัน

ในส่วนของเงินที่ขายผักได้นั้นวันนาให้ป๊อกเก็บออมไว้ใช้ คนเป็นแม่ที่ไม่ได้ช่วยดูแลแปลงผักเหมือนก่อน ก็ไม่อยากได้เงินลูกที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ถึงแม้เงินทุกบาททุกสตางค์เด็กน้อยจะนำมาให้แม่เก็บไว้ก็ตาม

วันนาจึงสอนให้ลูกเก็บออมเงินไว้ใช้ยามจำเป็น หรือเก็บไว้เป็นทุนการศึกษา ก็นับตั้งแต่เข้ามาอยู่บ้านคุณหญิงแสงทิพย์เป็นระยะเวลาสี่เดือนแล้ว ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอีกเลย คุณหญิงจ่ายเงินเดือนให้ทุกเดือน มีทั้งที่อยู่และอาหารกินก็ฟรี เงินเดือนของเธอจึงเหลือเก็บทุกเดือน



ป๊อกได้เข้าเรียนม.4 ในโรงเรียนชื่อดังของจังหวัดโดยไม่ต้องไปสอบแข่งขันกับใครเพราะได้โควต้าเรียนดีพ่วงด้วยโควต้านักกีฬา ที่เป็นถึงนักกีฬาฟุตบอลเยาวชนระดับจังหวัด และยังได้ทุนการศึกษาจนเรียนจบชั้นม.6 ข่าวดีนี้สร้างความปลาบปลื้มดีใจ ให้กับคนเป็นแม่ ยายและคุณหญิงแสงทิพย์ผู้ซึ่งอุปการะเด็กน้อยเป็นอย่างมาก

และข่าวดีอีกอย่างก็ตามมาติดๆกันเมื่อสมหมายขอวันนาแต่งงาน ป๊อกไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลย เพราะดูออกนานแล้วว่าน้าหมายที่ตนสนิทสนมนั้น แอบมีใจให้แม่ของตน เด็กชายไม่ได้กีดขวาง แต่ยังสนับสนุนอยู่ห่างๆเสียด้วยซ้ำ

ดีใจและมีความสุขยิ่งที่เห็นว่าแม่จะมีใครสักคนมาดูแล  งานแต่งของวันนาและสมหมายจัดเป็นพิธีเล็กๆภายในบ้านคุณหญิงแสงทิพย์ โดยมีคุณหญิงเป็นประธานจัดงานและญาติฝ่ายชายมาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ถึงแม้จะเป็นงานแต่งเล็กๆแต่ก็ครื้นเครงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะซึ่งตราตรึงอยู่ในหัวใจของทุกคนที่มาร่วมงาน



ยามเช้าวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ก้อนเมฆขาวนวลลอยอ้อยอิ่ง รวมตัวกันเกิดเป็นรูปร่างสัตว์ต่างๆตามแต่จินตนาการของคนที่มองเห็น

ชายหนุ่มรูปสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่งคมสัน มีหนวดเคราขึ้นประปราย สวมใส่กางเกงยีนส์มีรอยขาดบริเวณหัวเข่า เสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนเสื้อขึ้นมาครึ่งแขน ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนไม่ได้เจอหวีมาหลายวัน

ยืนอยู่หน้าประตูอัลลอยที่มีลวดลายเหล็กดัดวิจิตรสวยงาม กำลังเงยหน้ามองก้อนเมฆเบื้องบน เมื่อเขาเห็นว่าก้อนเมฆก้อนนั้นกำลังส่งยิ้มมาให้ตน มั่นใจเหลือเกินว่าเห็นก้อนเมฆนั้นกำลังยิ้มจริงๆ หรืออาจจะตาฝาดที่เห็นภาพเบื้องบนเป็นเช่นนั้น

แต่เพียงไม่นานก้อนเมฆก็คล้ายเคลื่อนที่สลับสับเปลี่ยนเป็นรูปใบหน้าของใครบางคนที่ตนรู้จักดี  ‘พ่อ’ คำๆนี้หลุดลอดออกจากปากอย่างแผ่วเบา พลันเกิดความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจ  และต้องสลัดความคิดเกี่ยวกับภาพที่เห็นทิ้งเสีย เมื่อได้ยินเสียงประตูเลื่อนเปิดออก

“ตาป๊อก กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก มาๆรีบเข้ามาในบ้านก่อน”

“สวัสดีครับป้าผกา ป้าสบายดีนะครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้และเอ่ยทักทายผู้เป็นป้าด้วยทุ้มเสียงนุ่มนวลสุภาพ

“แม่กับน้าหมายอยู่ไหนครับ”

“สองคนนั้นไปซื้อของที่ตลาดจ้ะ แล้วนี่เราไปเที่ยวญี่ปุ่นมาสนุกไหม” ผู้เป็นป้าเอ่ยถามน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ

“สนุกครับ ผมซื้อของมาฝากป้าด้วยครับ” ชายหนุ่มยื่นถุงกระดาษสีสันสดใสให้ผู้เป็นป้า คนรับยิ้มหน้าบาน เกือบจะเห็นฟันครบทุกซี่

“อะไรนา”

“ไม่บอก ป้าต้องเปิดดูเอง” หลานพูดไว้แค่นั้น คนเป็นป้าก็รีบวิ่งหอบถุงกระดาษเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว ดีใจเสียจนลืมบอกหลานชายว่าคุณหญิงแสงทิพย์ถามหาอยู่ทุกวัน

แม้ผู้เป็นป้าไม่ได้บอก แต่ชายหนุ่มก็รู้ดี จึงรีบเดินเข้าบ้านหลังใหญ่เพื่อไปพบคุณหญิง ระหว่างเดินก็พยายามเอามือลูบผมตัวเองให้ดูเรียบร้อยไม่กระเซอะกระเซิงจนเกินไป

รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่จะได้มาเจอผู้มีพระคุณกับตน เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยือนคุณหญิง เพราะมัวยุ่งอยู่กับงานวาดรูป และต้องไปนำภาพวาดไปจัดแสดงตามนิทรรศการศิลปะในประเทศต่างๆ ตามคำเชิญของเจ้าภาพประเทศนั้นๆ และนี่เพิ่งกลับจากญี่ปุ่น พอกลับมาก็รีบบึ่งมาที่นี่ทันที

“ตาป๊อก” คุณหญิงแสงทิพย์ตะโกนเรียกชายหนุ่มเมื่อเห็นเขากำลังเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น

ชายหนุ่มจึงค้อมตัวลงต่ำค่อยๆเดินเข้าไปหาคุณหญิงแสงทิพย์ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา มีตะกร้าหวายสำหรับใส่ไหมพรมวางอยู่ข้างๆ และเสื้อกันหนาวไหมพรมที่ยังถักไม่เสร็จวางอยู่บนตัก

“สวัสดีครับคุณป้า” พนมมือไหว้ลงบนตักหญิงสูงวัย

ป๊อกยังเรียกคุณหญิงว่าป้าเสมอ ไม่ได้เรียกคุณหญิงตามคนอื่นๆ ก็เพราะเรียกคุณป้ามาตั้งแต่เด็กจนโต ครั้นจะเปลี่ยนมาเรียกคุณหญิง  คุณหญิงท่านก็ไม่ชิน จึงอนุญาตให้ป๊อกเรียกคุณป้าเหมือนเดิม

“ไหว้พระเถอะลูก” คุณหญิงยกมือลูบศีรษะชายหนุ่ม มุมปากคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข แววตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดูรักใคร่ราวกับคนๆนี้เป็นลูกหลานของตัวเองจริงๆ และภูมิใจในตัวชายหนุ่มเป็นที่สุด

หวนย้อนนึกไปถึงครั้งแรกที่ได้พบกับป๊อก ยังจำได้ดีทีเดียว ครั้งที่เด็กน้อยเข้ามาช่วยทำแผลให้ตน ครั้งนั้นป๊อกยังเป็นเด็กชายหุ่นผอมแห้ง ใส่เสื้อนักเรียนเก่าๆขาดๆ หน้าตามอมแมม ยากจนแร้นแค้น ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่ไม่ขาดแคลนน้ำใจเลย สร้างความประทับใจให้กับตนไม่ลืมเลือนเลยแม้แต่เสี้ยววินาที

แล้วดูสิผ่านมาไม่กี่ปี เด็กน้อยผอมแห้งยากไร้คนนั้น กลับกลายมาเป็นชายหนุ่มมาดนิ่ง หล่อเหลา สุภาพนอบน้อม ถ่อมตน และยังเป็นถึงจิตรกรชื่อดังที่ทั่วโลกรู้จัก ภาพวาดของป๊อกแต่ละชิ้นมีคนคอยจับจองเป็นเจ้าของอยู่ไม่ขาด ราคาภาพวาดแต่ละรูปก็สูงลิ่ว

จำได้ว่ามีภาพวาดรูปหนึ่งของป๊อก มีคนประมูลไปราคาแตะหลักสิบล้านเลยทีเดียว คนที่ประมูลได้ไปนั้นเป็นมหาเศรษฐีชาวยุโรปท่านหนึ่ง ผู้ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักสะสมภาพวาดตัวยง ว่ากันว่ามหาเศรษฐีรายนี้มีเงินมากมายจนไม่รู้จะเอาเงินไปใช้ทำอะไร จึงตระเวนไปทั่วโลกเพื่อหาภาพวาดที่ถูกใจมาครอบครองเป็นของตน

“ขึ้นมานั่งบนโซฟาเถอะป๊อก” ทุ้มเสียงนุ่มอ่อนโยนบอกกับคนที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้น

“ผมนั่งตรงนี้ดีกว่าครับ”

“แล้วนี้กลับมาจากญี่ปุ่นเมื่อไหร่ล่ะฮึ”

“กลับมาได้สามวันแล้วครับ ผมเพิ่งเคลียร์เรื่องต่างๆที่ร้านเสร็จ ก็รีบมาเยี่ยมคุณป้าครับ”

    “แล้วนี่จะมารับแม่กับน้าสมหมายไปอยู่ด้วยหรือเปล่าล่ะ” คุณหญิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว พลันรู้สึกใจหายอยู่เหมือนว่าวันนาและสมหมายจะย้ายออกไป เพราะรู้ว่าป๊อกคงอยากให้แม่ไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพ

    ชายหนุ่มเปิดร้านวาดรูปและยังเป็นอาจารย์สอนศิลปะในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่กรุงเพทอีกด้วย นึกแล้วคนเป็นลูกก็คงอยากให้แม่ไปอยู่ด้วยจริงๆนั่นแหละ และไม่ต้องมาทำงานลำบากรับใช้ตนอีก  

    “แม่คงไม่อยากไป แม่อยากอยู่รับใช้คุณป้าต่อไปเรื่อยๆครับ ตอบแทนพระคุณคุณป้าที่ช่วยเหลือพวกเราไว้ บุญคุณในครั้งนั้นไม่มีใครลืมครับคุณป้า”
เป็นเช่นนั้นจริงๆ คุณหญิงแสงทิพย์ผู้ที่ช่วยให้ครอบครัวของเขาสามารถลืมตาอ้าปากได้ และมีกินมีใช้ได้อย่างสบายเช่นนี้ ตอบแทนชาตินี้คงไม่หมด
และป๊อกรู้ดีว่าถึงอย่างไรแม่ก็ไม่ทิ้งคุณหญิงไปไหนแน่นอน แม่เคยบอกตนว่าจะรับใช้คุณหญิงไปจนแก่ตายกันไปข้างหนึ่ง มันคือสิ่งที่แม่ทำเพื่อคุณหญิงได้

‘แม่ไม่มีความรู้อะไรติดตัว แต่แม่รู้ว่าบุญคุณต้องทดแทน ต่อให้เรามีเงินมากมายร่ำรวยแค่ไหน ก็อย่าลืมคนที่ช่วยเหลือเราและทำให้เราสุขสบายเช่นวันนี้นะลูก’ นั่นคือสิ่งที่แม่พร่ำบอกอยู่เสมอและเขาก็จำได้ขึ้นใจ

แม่ผู้ที่รู้ใจคุณหญิงไปเสียทุกเรื่อง รู้ว่าคุณหญิงชอบอะไรไม่ชอบอะไร หญิงสูงวัยสองคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจ แม้จะเป็นเจ้านายกับคนรับใช้ แต่ก็มีความเมตตาเห็นอกเห็นใจให้กันเสมอไม่เสื่อมคลาย หากแยกสองคนออกจากกันคนทั้งสองคงเหงาแน่ๆ

ป๊อกเองก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้น แต่ในเมื่อมีเงินแล้วก็อยากสร้างบ้านให้แม่กับยาย และน้องสาวต่างบิดาอีกคนที่ปีหน้าจะขึ้นม.ปลายแล้ว อยากให้อยู่สบายๆกว่านี้ กลับมาเยี่ยมคุณหญิงครั้งนี้ก็กะว่าจะมาหาที่ดินสักที่เพื่อสร้างบ้านให้แม่อยู่

“เอ่อ คุณป้าพอจะรู้ว่ามีใครจะขายที่ดินแถวๆนี้บ้างไหมครับ ผมคิดจะสร้างบ้านให้แม่อยู่ใกล้ๆคุณป้าก็น่าจะดี แม่ยังสามารถมาทำงานรับใช้คุณป้าได้เรื่อยๆ แบบเช้าไปเย็นกลับ”

“เอาอย่างงั้นก็ดีสิ จะได้มีบ้านเป็นของตัวเอง อีกอย่างยายก็แก่มากแล้ว ห้องแคบๆแบบนั้นคนแก่คงอยู่ลำบาก ส่วนยัยปิ่นนั้นก็เป็นสาวเต็มตัวคงต้องมีห้องส่วนตัวให้น้องเป็นของตัวเองแล้วนะ”

“ผมก็คิดแบบนั้นครับ ตั้งใจจะสร้างบ้านให้นานแล้วแต่ยังหาทำแลดีๆไม่ได้ และยังยุ่งเรื่องงานจนลืมไปเลย”

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่