เพียงอย่าสิ้นหวัง .... 2

ขอขอบคุณ  คุณ .. พี่อ้อม (เพ็ญพิชญา), ยัยตัวร้ายอุซางิ , พี่อ้น (psycho_factory)
พี่ไก่ (kdunagin) ,น้องนะ (เป่าชาง) ,
อุรุเวลา ,พี่ลิ (ลายลิขิต) ,น้องมัด (ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด)
พี่นัน (turtle_cheesecake) , จารย์จี (GTW)  
และนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ ที่แวะมาอ่านเรื่องนี้

บทแรก  https://ppantip.com/topic/36048468

หากพบเห็นคำเขียนผิด คำเขียนตกหล่นบอกผู้เขียนได้เลยนะคะจะรีบมาแก้ไขค่ะ

อมยิ้ม29อมยิ้ม29



2

ย่างเข้าสู่ปีที่สองที่สามชีวิตอาศัยอยู่ในกระต๊อบหลังเล็ก
วันนายังไม่มีงานทำเป็นชิ้นเป็นอัน ไปสมัครงานที่ไหนพอนายจ้างเห็นว่ามือซ้ายมีสามนิ้ว มือขวามีสี่นิ้วก็ไม่อยากรับคนพิการเข้ามาทำงาน บางคนถึงกับทำท่าทางรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้

ด้วยต้นทุนชีวิตที่มีน้อยอย่างนี้จำต้องปลูกผักขายไปวันๆรายได้ก็ไม่มากมายอะไร แค่พอซื้อข้าวกินในแต่ละวันเท่านั้นละ ความหวังที่จะหาเงินไปเช่าห้องพักก็ต้องเลื่อนออกไปอีก

วันนานั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นกระถิน หลังจากเพิ่งรดน้ำพรวนดินแปลงผักจนเสร็จเรียบร้อยทั้งสิบแปลง ใช้หมวกสานพัดวีเพื่อคลายร้อนให้ตัวเอง หันไปมองทางหญิงชราที่กำลังเดินถือแก้วน้ำมาให้

“ขอบคุณค่ะแม่” รับแก้วน้ำจากผู้เป็นแม่มาแล้วดื่มจนหมด ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ตาป๊อกโตขึ้นทุกวันปีนี้ก็เข้าป.2 แล้ว วันสงสารลูกเหลือเกินค่ะแม่ที่ต้องมาอยู่ในที่แคบๆแบบนี้ อยากหาที่อยู่ใหม่ให้ลูกแต่ก็ไม่รู้จะพากันไปอยู่ที่ไหน ลำพังขายผักอย่างเดียวได้วันละร้อยบาทเอง จะเก็บออมเงินเท่าไรก็คงไม่พอค่าเช่าห้องอยู่ดี เฮ้อ นึกแล้วก็กลุ้มใจจริงๆ”

ระบายทุกสิ่งอย่างให้ผู้เป็นแม่ฟัง แววตาเศร้าหมองหม่นเหม่อมองออกไปยังแปลงผักเขียวขจีเบื้องหน้า ภายในใจสิ้นหวังกับโชคชะตาที่แสนทุกข์ยากลำบากเช่นนี้เหลือเกิน

“อย่าคิดมากเลยลูก ตาป๊อกแกเป็นเด็กฉลาดเข้าใจอะไรได้ดีเสมอ แกเป็นเด็กดี ไม่งอแงเรียกร้องขอของเล่นเหมือนลูกคนอื่น แม่ว่าตาป๊อกแกเข้าใจทุกสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้นะ วันควรภูมิใจที่ได้ลูกดีแบบนี้ ที่อยู่ถึงจะคับแคบแออัดแต่เราอยู่ด้วยความรักความเข้าใจเราก็มีได้ความสุขมิใช่หรือ”  ทุ้มเสียงอ่อนโยนของหญิงชราพูดปลอบและให้กำลังใจบุตรสาว

“จ้ะแม่”

“ก็เก็บออมเงินไปเรื่อยๆแบบนี้ละ มีพอเมื่อไหร่ค่อยคิดเรื่องนี้กัน”

“แต่ก็กลัวว่าจะถูกไล่ที่ก่อนนะสิจ้ะแม่ เรามาอาศัยที่เค้าอยู่ก็ไม่รู้เจ้าของที่จะมาไล่ตอนไหน วันก็หวั่นๆอยู่เหมือนกันค่ะ”

แล้วความหวาดหวั่นใจก็มาเร็วราวพายุร้าย นั่งคุยกันยังไม่ทันได้หายเหนื่อย พลันได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนโหวงเหวกอยู่หน้ากระต๊อบ ฟังจากน้ำเสียงรับรู้ได้ถึงความไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” วันนารีบเดินมาดูโดยมีแม่ชราเดินตามหลังมา เห็นชายวัยกลางคนสวมชุดสูทสีดำผูกเนคไทสีเดียวกับชุดสูท รองเท้าหนังขัดจนแวววาว ตาจ้องเขม็งมาที่สองแม่ลูกอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะเอ่ยขึ้นทุ้มเสียงแข็งกร้าว

“พวกเธออาศัยอยู่ที่เพิงนี้ใช่ไหม”

“ใช่จ้ะ” วันนาเป็นคนตอบ

ชายชุดสูทเมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้ว จึงพร้อมที่จะหาเรื่องสองแม่ลูกนี่ได้เต็มที่

“แอบมาอาศัยอยู่ในที่ดินคนอื่นแบบนี้ ผมจับพวกเธอทั้งสองส่งตำรวจได้เลยนะ แล้วนี่อะไร ปลูกผักไว้ด้วย เข้าข่ายบุกรุกที่ดิน ต้องจับดำเนินคดีอย่าให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”

“ฉันขอละนะพี่ชาย อย่าดำเนินคดีอะไรกับฉันเลย ฉันแค่มาอาศัยอยู่ไม่ได้จะสร้างความเสียหายอะไรให้ที่ดินผืนนี้ หากพี่ต้องการที่คืนฉันจะรีบย้ายออกทันทีเลยจ้ะ ขอเพียงพี่ชายอย่าดำเนินคดีอะไรกับฉันเลยนะจ้ะ”

วันนายกมือไหว้ขอร้องชายชุดสูทอย่างหมดจนหนทาง หากเธอถูกจับส่งตำรวจแล้วถูกดำเนินคดีใครจะดูแลสองชีวิตนี่เล่า เงินทองอะไรก็ไม่มีจ่ายให้เขาหรอก สุดท้ายคงต้องถูกจับเข้าคุกแน่ๆ

“อะไรกันแม่คุ๊ณ ทำผิดกฎหมายอยู่โทนโท่ ยังจะมาขอร้องอีก ไม่ได้ ไม่ได้หรอกนะ ถึงอย่างไรก็ต้องแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ที่ตรงนี้จะมีคนมาซื้อแล้ว ส่วนผมเป็นตัวแทนเจ้าของที่รายเก่า พอมาดูที่ดินแล้วเจอคนเข้ามาจับจองบุกรุกแบบนี้ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย เธอผิดไม่ผิดอย่างไรก็ต้องรอศาลตัดสิน จะมาขอร้องผมไม่ได้หรอกนะ”  น้ำเสียงแข็งดุดันของชายชุดสูท เรียกสายตาคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นให้หันมามองด้วยความสนใจ ทว่าผู้ถูกไล่ที่และกำลังจะถูกจับดำเนินคดีต่างพากันยืนตัวสั่นเทา

“ฉันจะย้ายออกวันนี้เลยจ้ะ ขอเพียงพี่ชายปล่อยฉันไปเถอะจ้ะ อย่าจับฉับกับแม่ส่งตำรวจเลย” เสียงสะอื้นไห้ของวันนาเอ่ยอ้อนวอน แต่ก็ไม่ได้รับความเห็นใจใดๆจากชายแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย

“ปล่อยๆสองแม่ลูกนี่ไปเถอะพ่อหนุ่ม จับไปส่งตำรวจยังไงสองคนนี้ก็ไม่มีเงินจ่ายให้เอ็งหรอกลำพังเงินจะซื้อข้าวกินยังไม่มีเลย เอ็งจะเอาอะไรกับพวกเขาล่ะ” ลุงแช่มที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ทนดูต่อไปไม่ไหวจำต้องเข้ามาช่วยพูดอีกแรง

“เอ่อๆ ให้สองแม่ลูกย้ายออกจากที่ก็สิ้นเรื่องแล้ว จะขู่เข็ญเอาอะไรจากคนจนหนักหนาล่ะพ่อหนุ่ม คิดซะว่าทำบุญทำทานเถอะนะ” ป้าสุหญิงสูงวัยที่มีบ้านอยู่ใกล้วัดและเป็นอดีตข้าราชการครู หลังจากเกษียณอายุราชาการครูมาสามปี จึงหันมาทำขนมไทยขาย เข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีก็ช่วยพูดอีกแรง

“ใช่ๆ นี่สองแม่ลูกก็ช่วยกันดูแลที่ดินให้ เมื่อก่อนมีแต่หญ้าขึ้นรกไปหมด ก็ได้สองแม่ลูกถางหญ้าจนโล้นเตียนน่าอยู่แบบนี้ไงล่ะ แล้วจะเอาอะไรกับพวกเขา ปล่อยๆไปเถอะนะ ให้ย้ายออกไปก็พอแล้วอย่าได้ดำเนินคดีอะไรเลย” ป้านวลภรรยาลุงแช่มรีบเสริมขึ้นทันควัน

ผู้มาหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเขามีรึจะกล้าพูดอะไรไปมากมาย ใจก็หวั่นๆว่าจะถูกชาวบ้านแถวนี้ไล่ตะเพิด ไปเหมือนหมูเหมือนหมา จึงทำท่าทางเป็นคนใจดีขึ้นมา

“ก็ได้ ผมจะไม่ดำเนินคดีกับสองแม่ลูกนี่ ก็เห็นใจคนยากคนจนอยู่หรอกนะ แต่พวกเธอต้องรีบย้ายออกไปโดยด่วน พรุ่งนี้กลับมาคงไม่เห็นเพิงทุเรศๆอยู่ตรงนี้แล้วนะ”

ชายชุดสูทพูดเสียงสะบัด ไม่ได้เต็มใจนักหรอกที่จะไม่เอาเรื่องสองแม่ลูก แต่นึกดูแล้วตนเองก็ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน เพียงเป็นตัวแทนเจ้าของที่ดินมาดูให้ก่อนที่ผู้ซื้อรายใหม่จะเข้ามาดู หากจะไปมีเรื่องกับชาวบ้านแถวนี้ก็กลัวว่าตนจะเข้าออกหมู่บ้านนี้ไม่สะดวก และคงถูกตราหน้าว่าเป็นคนใจร้ายรังแกคนจน เลยสวมบทเป็นพระเอกใจดีต่อหน้าชาวบ้านไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่



วันนี้เด็กชายป๊อกมีความสุขมากเป็นพิเศษ เพราะเพิ่งได้รับรางวัลประกวดวาดรูประดับอำเภอมาหมาดๆ ฝีมือถูกตาต้องใจกรรมกรหลายต่อหลายท่านจึงได้รับคำชมไม่ขาดสาย และยังได้รับเงินรางวัลจำนวนหนึ่งพันบาทมาเป็นทุนการศึกษาอีกด้วย นับเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดเท่าที่เคยหาได้มา

ขายผักได้วันละไม่กี่ร้อยบาท และเก็บของเก่าขายก็ได้วันละยี่สิบถึงสามสิบบาท หากวันไหนโชคดีเก็บเศษของเก่าได้เยอะหน่อยก็ได้ครั้งละเจ็ดสิบถึงแปดสิบบาทเพียงเท่านั้นเอง ไม่เคยได้แตะต้องเงินจำนวนมากมายเท่านี้มาก่อน ดีใจจนอยากรีบกลับบ้านเอาเงินมาให้แม่ไวๆ

เด็กชายเดินกลับบ้านพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม และระหว่างทางหากเห็นขวดน้ำพลาสติกหรือกระป๋องน้ำอัดลม ก็จะเก็บใส่ถุงเพื่อนำไปขายเศษ
ทันใดนั้นสายตาพลันเหลือบไปเห็นหญิงสูงวัยผู้หนึ่ง ท่าทางไม่ใช่คนแถวนี้ นั่งอยู่ริมทางใต้ต้นมะขามป้อม ใบหน้าขาวซีด กำลังโบกไม้มือพัดวีหัวเข่าตัวเองบริเวณที่มีเลือดไหลออกมา

ป๊อกเห็นเช่นนั้นก็ตกใจจึงรีบวิ่งไปดูใกล้ๆ

“คุณป้าเป็นอะไรหรือครับ ทำไมมีเลือดออกแบบนี้” ก้มดูบาดแผลใกล้ๆจึงเห็นว่าบาดแผลค่อยข้างลึกทีเดียว

“ไปโดนอะไรมาหรือครับ” ปากถามไถ่ มือหนึ่งก็ควานหาผ้าเช็ดหน้าในเป้

“ป้าเดินสะดุดก้อนหินเข้านะ ล้มลงตรงที่มีเศษแก้วเข้าพอดี ก็ได้แผลมาแบบนี้ละ” ทุ้มเสียงนุ่มอ่อนหวานของผู้สูงวัยเอ่ยบอก หน้าเหยเกเมื่อรู้สึกเจ็บบริเวณบาดแผล

“พันผ้าห้ามเลือดไว้ก่อนนะครับคุณป้า เดี๋ยวผมจะไปซื้อยามาล้างแผลให้” ป๊อกจัดการใช้ผ้าเช็ดหน้าพันหัวเข่าให้หญิงสูงวัย โดยไม่ฟังคำตอบจากฝ่ายนั้น

“ขอบใจหนูมากเลยนะจ้ะ”

“เดี๋ยวผมรีบไปรีบกลับครับ ร้านขายของชำปากซอยน่าจะมีน้ำยาล้างแผลอยู่นะ” พูดจบก็พรวดพราดลุกวิ่งอย่างเร็ว

ป๊อกหายไปเพียงไม่นานก็กลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลครบครันทั้งสำลี น้ำยาล้างแผล ผ้าก๊อซสำหรับผันแผล ยาแดง

เด็กน้อยจัดการทำแผลให้หญิงสูงวัยอย่างชำนิชำนาญการทั้งที่ไม่เคยทำให้ใครจริงๆมาก่อน แต่ด้วยความจำดีตอนเรียนลูกเสือคุณครูเคยสาธิตการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ดู เคยทดลองทำแผลมาครั้งหนึ่ง และยังเคยเป็นหุ่นให้เพื่อนๆทดลองทำแผลมาหลายครั้ง จึงจดจำขั้นตอนล้างทำความสะอาดบาดแผลสดได้ขึ้นใจ

“เสร็จเรียบร้อยแล้วครับคุณป้า” เอ่ยบอกทันทีที่พันผ้าก๊อซรอบหัวเข่าคนเจ็บเรียบร้อย

“โอ้โห หนูทำแผลได้มือเบามากๆเลย เก่งจริงๆตัวแค่นี้ ป้าต้องขอบใจหนูมากเลยนะ ที่ช่วยมาป้าถ้าไม่ได้หนูช่วยป้าคงแย่แน่ๆเลย”

เด็กน้อยยิ้มด้วยความขัดเขินกับคำชมที่ได้รับ

“ป้าชื่อแสงทิพย์นะ เรียกป้าทิพย์เฉยๆก็ได้นะ แล้วหนูชื่ออะไรจ้ะ”

“ผมชื่อป๊อกครับ”

หญิงสูงวัยมองสำรวจเด็กน้อยที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายอย่างเอ็นดูรักใคร่ เห็นแกแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนเก่าๆ เสื้อนักเรียนสีซีดจนจะไม่เหลือเค้าของสีขาวเลยด้วยซ้ำ กางเกงมีรอยปะชุนอยู่หลายจุด รองเท้าก็เก่ามากจนขาดวิ่น มีรูเล็กๆบริเวณด้านหน้าจนนิ้วเท้าโผล่ออกมาให้เห็น

จึงเกิดนึกสงสารเด็กคนนี้ขึ้นมา แต่แปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าเด็กคนนี้ไปเอาเงินที่ไหนซื้อของพวกนี้มาทำแผลให้เธอ  เด็กยากจนแบบนี้เงินจะซื้อขนมกินก็คงไม่มีเลยด้วยซ้ำกระมัง คิดแล้วก็ต้องถามไถ่ออกไป

“แล้วหนูไปได้เงินที่ไหนมาซื้อของพวกนี้ มาทำแผลให้ป้าล่ะ”

ป๊อกจึงเล่าเรื่องที่ตนได้เงินรางวัลจากการประกวดวาดรูปให้หญิงสูงวัยฟัง และเมื่อเธอได้ฟังแบบนั้นก็ยิ่งชื่นชม และนับถือในน้ำจิตน้ำใจเด็กน้อยคนนี้มากขึ้น

จึงล้วงหยิบเงินในกระเป๋ายื่นให้เด็กน้อย ใจอยากจะตอบแทนที่ช่วยตนไว้ ป๊อกรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธพัลวัน

“ผมรับเงินคุณป้าไว้ไม่ได้หรอกครับ แม่เคยสอนไว้ว่าหากช่วยใครก็ไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน ช่วยเหลือคนอื่นด้วยความเต็มใจและด้วยจิตใจที่มีเมตตาจะมีความสุขทั้งผู้รับและผู้ให้ครับ คุณป้าเก็บเงินไว้เถอะครับ ผมช่วยคุณป้าเพราะอยากช่วยจริงๆ”

แสงทิพย์ตื้นตันใจในน้ำใจเด็กน้อยจนพูดไม่ออก เด็กคนนี้เป็นคนดีจริงๆ แม้ยากจนแต่ก็มีศักดิ์ศรีและกล้าหาญยิ่ง จึงตระหนักแล้วว่าเงินคงไม่สามารถซื้อเด็กคนนี้ได้ แต่ก็อยากช่วยเหลือเด็กน้อยเป็นการตอบแทนที่ช่วยตน หญิงสูงวัยเก็บธนบัตรแบงค์พันไว้ในกระเป๋าตามเดิม

“อุปกรณ์ทำแผลพวกนี้ ป้าคงต้องใช้อีกหลายครั้ง ป๊อกซื้อมาเท่าไหร่ล่ะ ป้าต้องจ่ายค่าของพวกนี้นะ”

เมื่อเด็กน้อยไม่ยอมรับเงิน ก็ต้องใช้วิธีจ่ายเงินค่าของคืนให้ไป อย่างน้อยก็ให้ป๊อกได้นำเงินหนึ่งพันบาทไปให้แม่ได้เต็มจำนวน

“หกสิบบาทครับ” ป๊อกอ้อมๆแอ้มๆตอบรู้สึกดีใจเมื่อจะได้เงินส่วนที่ขาดไปมาเติมเต็ม

“ป้ามีแต่เงินแบงค์ใหญ่ๆ เอางี้ละกันป๊อกเอาเงินทอนทั้งหมดมาให้ป้าแล้วเอา แบงค์พันไป”

เมื่อผู้ใหญ่บอกอย่างนี้ป๊อกก็ยอมทำตามแต่โดยดี

“บ้านคุณป้าอยู่แถวไหนครับ เดี๋ยวผมเดินไปส่ง”

“ป้าไม่ได้อยู่แถวนี้หรอกนะ รอคนขับรถอยู่น่ะ เดี๋ยวก็คงมารับ”

“งั้นผมนั่งรอเป็นเพื่อนคุณป้านะครับ” เด็กชายขันอาสาอย่างอารมณ์ดีเพราะไม่อยากปล่อยให้ป้าแสงทิพย์นั่งอยู่ที่เปลี่ยวคนเดียว แถวนี้วัยรุ่นขี้ยาเยอะกลัวพวกนั้นจะมาปล้นเข้าให้

รอเพียงไม่นานรถยนต์บีเอ็มดับบลิวสีขาวก็เคลื่อนเข้าจอดริมทาง คนขับท่าทางใจดี ซื่อๆวิ่งลงจากรถเพื่อมาพยุงหญิงสูงวัย

    “ป้ากลับก่อนนะ แล้วคงจะได้มาแถวนี้ใหม่” ป้าทิพย์บอกเด็กน้อย

    ป๊อกยกมือไหว้ผู้สูงวัยอย่างนอบน้อม  

    คนขับรถเปิดประตูตอนหลังให้ป้าแสงทิพย์ และในระหว่างนั้นหญิงสูงวัยก็นึกขึ้นได้พอว่าตนซื้อส้มไว้ที่ท้ายรถ

    “สมหมายเอาถุงส้มที่ท้ายรถมาให้เด็กคนนี้หน่อยสิจ้ะ ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจจากป้านะหนู” ประโยคหลังหันมาพูดกับป๊อก


..
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่