ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง
30 ธันวาคม 2559 - 2 มกราคม 2560
เป็นทริปที่เกิดจากความห้าวของสองพี่น้องจึงเป็นที่มาของ #สองพี่น้องชีพจรลงเท้า #หลงรักเลย
เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลเราไม่มั่นใจว่าจะมีรถทัวร์หรือไม่เพราะไม่ได้จองล่วงหน้าแต่ได้โทรไปสอบถามพนักงานบอกมีรถแน่นอนรถเสริมเยอะมากจึงตัดสินใจว่าไปและได้เข้าเว็บไซต์ไปจองเต็นท์ของอุทยานปรากฎว่าเต็มหมดก็เลยแบกเต็นท์ไปเองและจองที่กางเต็นท์แทน
หลังจากเลิกงานเราก็ได้นั่งรถไปหมอชิตวันนั้นเป็นวันที่คนเดินทางกลับบ้านมีคนจำนวนมหาศาลแต่เราก็ได้ตั๋วรถมารอบ 21.30 น. ระหว่างรอก็หาอะไรทานไปพลางๆก่อน
รถไปถึงผานกเค้าเวลาประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ เราก็ปฏิบัติภาระกิจส่วนตัวล้างหน้า แปรงฟันที่ร้านเจ้กิม (บริการฟรี) และทานอาหารเช้าที่นั่นจากนั่นก็ขึ้นรถสองแถวเพื่อไปอุทยานถ้าคนเต็มรถก็คนละ 30 บาท พอดีเป็นวัยรุ่นใจร้อนมี 6 คน ก็เลยออกเลยจ้า คนละ 50 บาท
พอไปถึงอุทยานก็ไปชำระค่าที่กางเต็นท์ คิดเป็นต่อคนและต่อคืน คนละ 60 บาท 2 คืน จริงๆจะต้องเสียค่าเข้าอุทยานแต่เนื่องจากเราไปเป็นวันสิ้นปีและปีใหม่ก็เลยไม่เสียค่าเข้า
จากนั้นก็ไปจัดการเกี่ยวกับสัมภาระโดยการจ้างลูกหาบและซื้อแท็กติดกระเป๋าใบละ 5 บาท มีกระเป๋ากี่ใบต้องใช้จำนวนเท่านั้นและค่าจ้างลูกหาบก็กิโลกรัมละ 30 บาท ถ้าเกินก็ปัดขึ้นเป็นหนึ่งกิโลกรัม เรา 2 คน โดนไปเกือบ 500 ร้อยบาท
ลูกหาบต่อคนจะหาบไม่ต่ำกว่า 50 กิโลขึ้น สุดยอดมากๆ ยอมใจพวกพี่เค้า
เมื่อจัดการสัมภาระเสร็จก็ได้เวลาเดิน เดิน และก็เดิน แต่ก่อนจะเดินต้องให้ข้อมูลโดยการลงชื่อก่อนขึ้นนะคะ ซึ่งวันนั้นจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปประมาณสามพันกว่าคน (เจ้าหน้าที่บอกมา) เดินกันไม่เหงามีตั้งแต่เด็กๆ ยันลุงป้าอายุเยอะๆ เรานี่ถือว่าเป็นวัยรุ่น (รุ่นปลายๆ) เดินไปพักไป เพราะไม่ได้ฟิตร่างกายมายอมรับว่าเหนื่อยสุดๆ
น้องสาวถามว่าจะมีหมามั้ยบนภู นี่ไงจะละเจ้าหมานั่งหน้าง่วงอยู่ก็เลยขอถ่ายรูปซะหน่อย
ขอถ่ายรูปคู่คุณลุงกับคุณป้า สุดยอดมากๆ (เรานี่หอบแฮ่กๆ)
มันมีเรื่องเล่าอยู่ว่าจะมีคู่รักนักเดินทางจะต้องขึ้นมาบนภูกระดึงทุกๆ ปี เหตุผลเพราะว่าพวกเค้าทั้งสองได้มาพบรักกันบนนี้ เค้าจึงสัญญาว่าเค้าจะต้องขึ้นมาบนภูกระดึงในทุกๆปี ในวันที่ครบรอบ (โอ้ยยย เป็นไงคะฟังแล้วรู้สึกว่าอยากจะมีเหตุการณ์แบบนี้บ้าง 555++)
การเดินขึ้นภูกระดึงเป็นการสมัครใจในการเดินทางไกลนั่นเอง
เมื่อถึงซำแฮก ก็มีอาการเหนื่อยแฮก แฮ่กๆ (บอกแล้วให้ออกกำลังกายก่อน)
ระหว่างทางก็ชมทัศนียภาพ ความสวยงามของธรรมชาติกันไป (แวะพักกันตลอดทางที่มีที่นั่งพัก)
เดินมาเรื่อยๆ ก็แวะกินนั่นกินนี่เพื่อเติมพลังตลอดทาง อาหารหรือน้ำข้างบนก็จะแพงกว่าข้างล่างนิดหน่อย อาหารที่เราใช้เติมพลังส่วนใหญ่จะเป็นแตงโม เป็นอะไรที่ฟินมาก เดินมาเหนื่อยๆ ร้อนๆ ได้กินแตงโมเย็นๆ มีพลังเดินต่อได้ ส่วนข้าวก็ทั่วๆ ไปเลยค่ะ อาหารตามสั่ง จานนึงก็ประมาณ 50-60 บาท น้ำเปล่าขวดเล็กก็ 30 ขวดใหญ่ 50 ประมาณนี้นะคะ
เราใช้เวลาในการเดินค่อนข้างนานอย่างที่บอกคือพักตลอดทาง ไม่แวะกิน ก็แวะเข้าห้องน้ำ 555++
เราไปถึงหลังแปประมาณเกือบบ่าย 3 โมงเย็น เดินขึ้นมาตั้งแต่ 9 โมงเช้า ทางเดินขึ้นมาก็มีทางเรียบบ้าง ชันบ้าง ทางที่ชันๆก็จะมีการทำบันไดเหล็กและมีราวจับไว้ให้ไม่ต้องกลัวอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น บอกเลยว่าทุกอย่างอยู่ที่ร่างกาย และที่สำคัญคือหัวใจของเรานั่นเอง
ที่ขาดไม่ได้เลยเมื่อมาถึงก็ต้องถ่ายรูปกับป้ายนี้ค่ะ (ถ่ายไว้เป็นที่ระทึก)
จากนั้นเราก็ไปดูแผนที่ในการเดินต่อ และเราจะต้องเดินไปอีกประมาณ 3 กิโลกว่าๆ เพื่อที่จะไปถึงลานกางเต็นท์
ยอมรับว่าธรรมชาติสวยจริงๆ เดินไปถ่ายรูปไป ไปเจอต้นอะไรก็ถ่ายคู่กับต้นนั้น นี่ไปเจอต้นสนก็เลยถ่ายรูปชิคๆ ซะหน่อย
เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักสรุปไปถึงลานกางเต็นท์เกือบ 5 โมงเย็น นั่งรอสัมภาระจากลูกหาบต่อไป อากาศข้างบนดีมากๆ ค่ะ หนาวมากบอกเลย ระหว่างรอก็ไปทำการเช่าแผ่นปูรอง ถุงนอน
มีต่ออีกนะคะ....
[SR] ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง