(10 วันที่ว่า คือ ตั้งแต่ 17 – 26 กรกฎาคม 2559) เกริ่นก่อนว่าพวกเราเล็งเวลาว่างช่วงปิดเทอมใหญ่ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ขอเป็นแบบเข้าป่า ผมจึงเสนอก๊วนว่าไปอุ้มผางไหม เข้าไปถึงยาก สงบ ธรรมชาติสวยงาม มีทีลอซู (พูดถึงตรงนี้ทุกคนอ๋อเลย) มีน้ำตกรูปหัวใจด้วยนะเออ แล้วน้ำตกเนี่ยนะ ต้องไปหน้าฝนถึงจะสวย เราก็ช่วยกันปั่นกระแสความสวย ขายฝันว่าใช้เงินไม่เกินสองพัน ไปไม่เกิน 5 วัน ปรากฏว่าการตลาดพวกเราดีมาก หาก๊วนได้กว่า 10 คน พอความจริงเริ่มปรากฏ ต้องไปอย่างน้อย ๆ 8 วัน ต้องแบกของเอง เดินเท้าอย่างต่ำ 50 กว่ากิโลเมตร แล้วก็ขอไปแบบประหยัดสุด ๆ ต้องโบกรถกัน ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย (คือคิดไว้ว่านอนศาลาริมทาง วัด โรงเรียน อะไรแบบนั้น) อาจไม่ได้อาบน้ำด้วย (ตรงนี้สำคัญทำให้คนหายหมด เหลือแต่พวกไม่ใช่คน5555) สุดท้ายมีกันแค่ 4 คนที่ยอมสกปรกไปด้วยกัน (ความจริงมีทัวร์ให้ซื้อนะครับ ทั้งทัวร์จากในเมือง แล้วก็ทัวร์ท้องถิ่น เผื่อใครสนใจ ลองหาข้อมูลดูนะฮะ)
จากนั้นทำการวางแผนคร่าว ๆ คือเราจะเดินทางไป 1 วันเต็ม จากกรุงเทพฯถึงอุ้มผาง อยู่ทีลอซู 2 วัน 1 คืนรวมเดินทาง อยู่น้ำตกรูปหัวใจ (ปิตุ๊โกร) และดอยมะม่วงสามหมื่น 3 วัน 2 คืน เดินทางกลับกรุงเทพฯอีก 1 วันเต็ม รวมเวลา 7 วันเนอะ บอกก๊วนไปแบบนี้ แต่ความจริงทุกอย่างมันมั่วไปหมด (สุดท้ายโผล่เป็น 10 วันเฉยเลย) เดี๋ยวจะเล่าต่อไปเรื่อย ๆ
พอมาถึงวันที่ต้องเดินทาง(17 กรกฎาคม) ก่อนไปเราก็เตะบอลเล่นกันที่มหาลัยตอนเย็น(กลัวนอนไม่หลับบนรถไฟ5555) พอสามทุ่มกว่าพวกเราออกเดินทางไปหัวลำโพงต้องขึ้นให้ทันรอบ 4 ทุ่ม (ขบวน 51 กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ชั้น 3 ไปลงพิษณุโลก ราคา 219 บาทต่อคน) ปรากฏว่าเกือบจะล่มตั้งแต่แรก เพราะความชะล่าใจ(ประมาณว่ารถออกสี่ทุ่มใช่ไหม งั้นไปสามทุ่มครึ่งแล้วกัน หัวลำโพงใกล้นิดเดียว เดินไปก็ทัน) จึงรีบขึ้นรถไฟอย่างทุลักทุเล
ประมาณตีห้าของอีกวัน (18 กรกฎาคม) พวกเรามาถึงเมืองพิษณุโลกโดยสวัสดิภาพแอบแวะกินโจ๊กหน้าตลาดข้างสถานีรถไฟ (อร่อยแต่ไม่อิ่ม) เสร็จแล้วจึงไปมินิมาร์ทตุนของที่จำเป็นในการเดินทางจากพิษณุโลก – แม่สอด – อุ้มผาง โดยแผนเราจะโบกรถกันไปต่อให้ถึงอุ้มผางเลย เย้!! (เป็นแผนที่กากมาก ผมยอมรับเลย แนะนำผู้อ่านให้ขึ้นรถ กรุงเทพฯ – แม่สอด ป.2 ที่หมอชิต 2 จะดีกว่าเยอะ แค่ 290 บาทต่อคน) ปรากฏว่าโบกไม่ได้สักคัน (ใครเค้าโบกในใจกลางเมืองกัน) น้องร่วมทริปจึงตัดใจพากันขึ้นรถตู้พิษณุโลก – แม่สอดดีกว่า(172 บาท) พอถึงแม่สอดจะมีรถสองแถว (130 บาท) ต่อไปอุ้มผาง เมื่อมาถึงอุ้มผางก็เย็นพอดี (รวมเดินทางกว่า 15 ชั่วโมง เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก ปวดตูดกันทุกคน เหมือนนั่งเครื่องบินข้ามทวีปกันเลยทีเดียว) สรุปอย่าทำตามพวกเรานะครับ5555
เส้นทางตาก – แม่สอด, แม่สอด – อุ้มผาง จะมีการตรวจบัตรประชาชนเป็นระยะ บางคนไม่ผ่าน (โดยมากเป็นพวกถือพาสปอร์ตหมดอายุ) โดนเรียกลงจากรถไม่ได้ไปต่อเลย ทีนี้น้องร่วมทริปคนนึงดันลืมบัตรประชาชน (โคตรซวย) แต่ด้วยอานุภาพของบัตรนิสิตจึงรอดมาได้ (ทริปเกือบล่มตรงนี้อีกครั้ง) ขอเตือนห้ามลืมบัตรประชาชนเด็ดขาด!!!
เส้นทางแม่สอด – อุ้มผางเป็นเส้นที่สวยมากและอันตรายด้วย ถ้าขับรถไปเองต้องระมัดระวังอย่างดี (แต่คนในพื้นที่บอกสบาย ๆ ) แต่ถ้าขึ้นสองแถวไปจะสบายใจกว่า (พี่คนขับชำนาญทางมากกก) ต่อแต่นี้ไปพวกเราก็มีรูปมาอวด โดยรูปทั้งหมดน้องร่วมทริปเป็นคนถ่าย และแต่งโดยมิตรสหายที่อยู่ชมรมถ่ายภาพอีกที ขอยืมมาเขียนรีวิวหน่อยนะครับ (จะบางส่วนผมถ่ายเองแต่งเอง สงสัยไหมว่ารูปไหน รูปไหนกากอันนั้นแหละ)
**คำเตือนรูปมันออกมาสวยกว่าของจริงครับ555 อันนี้แซวน้องตากล้องอยู่บ่อย ๆ ถ้าไม่เชื่อต้องลองไปดูของจริงด้วยตาตัวเองนะเออ แล้วจะรู้เลย
**เล่าเรื่องเยอะนิดนึง ตัวหนังสือจะดูยุบยับ ขี้เกียจอ่านก็ข้ามดูรูปไปนะครับ แต่อยากให้อ่านเรื่องราวประกอบด้วย (เพราะรูปไม่ค่อยสวย5555) พวกเราตั้งใจแบ่งปันมาก
แม่สอด – อุ้มผาง ฉายาถนนลอยฟ้าพันสองร้อยกว่าโค้ง เส้นนี้สวยมากกก นั่งสองแถวต้องปีนหลังคา น้องในพื้นที่ (ซ้ายมือ) สอนพวกเรา ทีแรกก็กลัวกัน ตอนนี้สบายมาก
ช่วงไต่เขาด้านข้างเป็นเหวมองไกลจะเห็นแบบนี้
พอพ้นช่วงที่เป็นเขาจะเห็นแบบนี้ครับ เหมือนสวิสเซอร์แลนด์เลย คล้ายอยู่ละมั้ง (ไม่เคยไปสวิสเซอร์แลนด์หรอก พูดซี้ซั้วไปงั้น)
พอถึงอุ้มผาง ต้องไปหาที่ซุกหัวนอนคืนแรกกันก่อน พวกเราเดินเท้าไปหามูลนิธิสืบนาคะเสถียร จะไปขออนุญาติกางเต็นท์นอนในมูลนิธิ (อันนี้พี่กะเหรี่ยงที่มากับพวกเราบนสองแถวแนะนำมาอีกที ไม่ได้อยู่ในแผนเดิมครับ) ซึ่งแผนเดิมคือนอนวัด นอนโรงเรียน ศาลาริมทาง ประมาณนั้น กว่าจะถึงมูลนิธิก็เดินไกลพอสมควร (ไปผิดที่ด้วย เพราะมูลนิธิเพิ่งย้าย) ไปพบกับพี่ขุน ผู้ซึ่งประจำการอยู่ที่มูลนิธิ แกก็อนุญาติให้พักได้ (ขอบคุณมากครับ) พร้อมกินมื้อเย็นเป็นปลากระป๋อง ปลาดุกย่าง แล้วก็ไก่ย่าง (ซื้อมาจากแม่สอด) หุงข้าวด้วยหม้อสนาม แต่มือใหม่ทั้งนั้นเกือบไม่ได้แดรกกัน (พี่ขุนก็แซวว่าเอาหม้อหุงข้าวไฟฟ้าไหม พี่มีนะ5555)
สรุปค่าใช้จ่ายของวันที่ 17 – 18 กรกฎาคม
ค่ารถไฟ 219 บาท ค่ารถตู้พิษณุโลก – แม่สอด 172 บาท ค่ารถสองแถวแม่สอด – อุ้มผาง 130 บาท ค่ารถสามล้อไปส่งสถานีขนส่งพิษณุโลก 60 บาท (คนละ 15 บาท) ค่าอาหารและน้ำดื่มรวม 119 บาท รวมเป็น 655 บาทต่อคน
พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้น (19 กรกฎาคม) จัดเตรียมสัมภาระเพื่อเข้าทีลอซู เป็นพวกข้าวสาร ปลากระป๋อง มาม่า น้ำดื่ม เป็นต้น แผนคือต้องเดินเท้าเข้าน้ำตกทีลอซู 25 กิโลเมตร พร้อมสัมภาระให้พอดีกับ 2 วัน 1 คืน และเดินเท้าออกจากน้ำตกอีก 25 กิโลเมตร โดยมื้อเช้ากับกลางวันระหว่างเดินเท้าจะกินข้าวเหนียวหมูปิ้ง (20 บาท ซื้อในตลาดอุ้มผาง) มื้อเย็นจะหุงข้าวกินกับมาม่าและปลากระป๋อง สำหรับเช้ากับกลางวันของวันที่สอง (วันเดินเท้าออกจากน้ำตก) จะหุงข้าวกินเองเช่นกัน (จึงเตรียมเสบียงให้พอดีสามมื้อ จะได้ไม่ต้องแบกหนัก) ทุกคนตื่นเต้นกันมากที่ต้องเดินกว่า 50 กิโลเมตร พอเล่าแผนให้พี่ขุนฟัง แกบอกจะเดินไหวเหรอ (แล้วก็ไม่ไหวจริง ๆ 555) และแล้วการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น พี่ขุนอาสาไปส่งพวกเรานอกเมืองอุ้มผางนิดนึง (ขอบคุณครับ) จากนั้นเราจะโบกรถไปเรื่อย ๆ ให้ถึงปากทางเข้าน้ำตกทีลอซู (หน้าฝนไม่อนุญาติให้รถเข้า จึงต้องเดินเท้า 25 กิโลเมตร) คนอุ้มผางใจกว้างเราโบกคันเดียวได้เลย มาส่งถึงทางเข้าเลย ขอบคุณมากครับบ (ถ้าซื้อทัวร์จะเป็นการล่องเรือไปค่อนทาง แล้วค่อยเดินเท้าต่อ)
ขอบคุณที่รับพวกเรานะครับ (พออัพรูปนี้ลงโซเชียล โดนแซวว่า “พวกเมิงไปเที่ยวกันหรือไปรับเหมาก่อสร้าง” 5555)
ปากทางเข้าทีลอซู รถไม่สามารถเข้าได้ในช่วงฤดูฝน (ปิดเส้นทาง ฟื้นฟูธรรมชาติ) เดินเท้าอีก 25 กิโลเมตร
และแล้วการเดินเท้าก็เริ่มต้นขึ้น
เป็นทางลูกรังเดินสบายมาก
สักพักก็เริ่มไม่สบายแล้วครับ หน้าฝนก็แบบนี้ (ขอเตือน ไม่ควรนำรองเท้า รด. มาเดินป่า หนักฉิบโหง พวกเราโง่เอง โง่แค่สองคนนะ5555)
เห็นป้ายนี้นี้แสดงว่ามาถึงครึ่งทางแล้วครับ (โคตรเหนื่อย เราพักกันบ่อยมาก แซวตลอดเมิงเดินกันแบบนี้ถึงสองทุ่มแน่นอน5555)
ตรงผาเลือดจะมีคุณลุงขายของอยู่ครับ ใจดีมาก คุยกันถูกคอเลยคุยยาวหน่อย (ความจริงขี้เกียจเดินกันต่อ หาเรื่องอู้555) ลุงแกก็เล่าว่ามันมีน้ำสีแดงไหลออกมาบนผาตรงนี้ ก็เลยเรียกผาเลือด
ลุงชวนคุยยาวมากหลายเรื่อง ทั้งเรื่องวิถีชีวิตกะเหรี่ยง ชาวบ้าน ป่าแถวนี้ น้ำตก (ทีลอซู) ก่อนจะดังเป็นแบบไหน พอดังแล้วเป็นแบบไหน นักท่องเที่ยวมาเยอะมีผลอย่างไร การสร้างถนนเข้าอุ้มผางแกบอกเมื่อก่อนมันจะมีอีกสายสร้างมาทางคลองลาน แม่วงก์ แต่ยกเลิกไปก่อนจะเสร็จถึงอุ้มผาง ที่พีคสุดคือลุงเรียกพวกเราว่าพี่ (น้อง ๆ บอกหน้าผมดึงมีนขึ้น ผมก็พยายามเบี่ยงประเด็นลุงเค้าหมายถึงพวกเมิงทุกคนแหละไม่ใช่แค่กรู5555) พอสักพักรู้ว่าเรายังเรียนอยู่เรียกเราน้อง ๆ แทน โถ่วว ลุง!!! (และคุยอีกหลายเรื่องแต่จำไม่ได้แล้ว) พอถามหากำลังใจจากลุงว่าพวกเราจะเดินกันต่อถึงไหม ลุงตอบแบบไม่คิดเลย..ไม่ถึงหรอกน้อง (บั่นทอนกำลังใจมาก) ลุงแกแนะนำให้รอรถผู้ใหญ่บ้านที่ปรกติขึ้นลงทุกวัน (ซึ่งต้องรอพรุ่งนี้) จนพวกเรากะจะกางเต็นท์นอนรอตรงนี้อีกคืน แต่ด้วยความรู้สึกที่จะทำให้ลุงได้เห็นว่าเราทำได้ จึงออกเดินเท้ากันต่อ…
ยืนฟังลุงโม้อย่างตั้งใจ
ที่มาของชื่อผาเลือด ด้านล่างจะเป็นลำธาร (จำชื่อไม่ได้) ถ้าล่องแพยางมาจะผ่านตรงนี้ด้วย
ลงไปถ่ายรูปหมู่กันหน่อย (แอบแซวสาวข้างหลังกันนิดนึง) ถ้าใครนั่งเรือมาเค้าจะแวะจุดนี้ (แวะหาลุง5555) แต่จุดลงเรือจริงที่ต้องเดินเท้าต่อ (หรือขึ้นรถ) จะต้องเลยไปอีก
หลังเดินออกมาจากผาเลือดสักพัก พวกเรารู้เลยว่าสองทุ่มไม่มีทางถึงแน่นอน (สมพรปาก) เที่ยงคืนไม่รู้จะถึงรึเปล่า มันล้ามากอยากจะนอนอยู่ตรงนั้น ได้แต่หวังว่าขอให้ผู้ใหญ่บ้านนึกอุตริขับรถผ่านมาตอนนี้ตามที่ลุงบอก ขณะนั้นไม่รู้จะเอายังไงกันต่อจริง ๆ มันผิดแผนมาก (น้องก็แซวไหนบอกว่าเดินได้ไงพี่ 25 กิโลเมตร วันเดียว5555) ได้แต่เดินไปเรื่อย ๆ หวังว่าจะถึง แต่แล้วเสมือนฟ้ามีตา สวรรค์มาโปรด มีรถผ่าน!!! แต่เป็นขาลงจากทีลอซู (โคตรเศร้าา ตอนนั่งพักนี่ไม่ทำอะไรกันเลย นั่งฟังเสียงรถกันอย่างเดียว5555) เราจึงตัดใจเดินต่อ พอได้สักระยะเริ่มหูไว “ผมว่ามีรถมาว่ะ” น้องพูดขึ้นมา คุณพระ!!! รถจริง ๆ แถมเป็นรถขาขึ้นไปน้ำตกเสียด้วย จึงจัดการโบกอย่างรวดเร็ว (แทบนอนขวางถนนกันเลยทีเดียว) สอบถามได้ความว่าเป็นคณะนายช่างจะเข้าไปซ่อมโซล่าร์เซลล์ให้หมู่บ้านในนู้นนน (เลยน้ำตกไปอีก) ซึ่งผ่านทีลอซูด้วย “ไปกับพวกพี่” นายช่างพูด (พวกเรานี่น้ำหูน้ำตาแทบไหล) รถบรรทุกอุปกรณ์ที่จะซ่อมอยู่หลังกระบะมาด้วย พวกเราจึงเบียดกันอยู่ (แทบไม่มีที่อยู่ที่ยืน ขอบ่นพี่นายช่างหน่อย5555)และก็มาถึงทีลอซูโดยสวัสดิภาพ (ขนาดนั่งรถยังใช้เวลาเกือบชั่วโมง)
กางเต็นท์กันในศาลาแปดเหลี่ยม ความจริงไม่ต้องเอาเต็นท์ไปเองก็ได้ สอบถามคุณยายที่ขายข้าว แกบอกจะขึ้นมาให้ติดต่อก่อน เดี๋ยวแกจะกางรอ (น่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) แต่พวกเราเน้นประหยัดแบกมาเอง (ความจริงโง่ โคตรหนักเลยเต็นท์)
ยืมเตาถ่านคุณยายขายอาหารมาหุงข้าว
คืนนั้นนอนหลับสบาย (สงสัยจะเหนื่อยกัน) ก่อนนอนจิบเหล้าของพี่กะเหรี่ยงที่นำอีกก๊วนมาเที่ยว อร่อยมากก เช้าพรุ่งนี้แผนคือเดินเข้าน้ำตก 1.5 กิโลเมตร ชมธรรมชาติให้จุใจ แล้วก็จะเดินเท้าอีก 25 กิโลเมตรกลับออกมา
[CR] แบกเป้ 10 วัน ลุยอุ้มผาง ทีลอซู ปิตุ๊โกร ฯลฯ ด้วยงบ 3000 บาท
จากนั้นทำการวางแผนคร่าว ๆ คือเราจะเดินทางไป 1 วันเต็ม จากกรุงเทพฯถึงอุ้มผาง อยู่ทีลอซู 2 วัน 1 คืนรวมเดินทาง อยู่น้ำตกรูปหัวใจ (ปิตุ๊โกร) และดอยมะม่วงสามหมื่น 3 วัน 2 คืน เดินทางกลับกรุงเทพฯอีก 1 วันเต็ม รวมเวลา 7 วันเนอะ บอกก๊วนไปแบบนี้ แต่ความจริงทุกอย่างมันมั่วไปหมด (สุดท้ายโผล่เป็น 10 วันเฉยเลย) เดี๋ยวจะเล่าต่อไปเรื่อย ๆ
พอมาถึงวันที่ต้องเดินทาง(17 กรกฎาคม) ก่อนไปเราก็เตะบอลเล่นกันที่มหาลัยตอนเย็น(กลัวนอนไม่หลับบนรถไฟ5555) พอสามทุ่มกว่าพวกเราออกเดินทางไปหัวลำโพงต้องขึ้นให้ทันรอบ 4 ทุ่ม (ขบวน 51 กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ชั้น 3 ไปลงพิษณุโลก ราคา 219 บาทต่อคน) ปรากฏว่าเกือบจะล่มตั้งแต่แรก เพราะความชะล่าใจ(ประมาณว่ารถออกสี่ทุ่มใช่ไหม งั้นไปสามทุ่มครึ่งแล้วกัน หัวลำโพงใกล้นิดเดียว เดินไปก็ทัน) จึงรีบขึ้นรถไฟอย่างทุลักทุเล
ประมาณตีห้าของอีกวัน (18 กรกฎาคม) พวกเรามาถึงเมืองพิษณุโลกโดยสวัสดิภาพแอบแวะกินโจ๊กหน้าตลาดข้างสถานีรถไฟ (อร่อยแต่ไม่อิ่ม) เสร็จแล้วจึงไปมินิมาร์ทตุนของที่จำเป็นในการเดินทางจากพิษณุโลก – แม่สอด – อุ้มผาง โดยแผนเราจะโบกรถกันไปต่อให้ถึงอุ้มผางเลย เย้!! (เป็นแผนที่กากมาก ผมยอมรับเลย แนะนำผู้อ่านให้ขึ้นรถ กรุงเทพฯ – แม่สอด ป.2 ที่หมอชิต 2 จะดีกว่าเยอะ แค่ 290 บาทต่อคน) ปรากฏว่าโบกไม่ได้สักคัน (ใครเค้าโบกในใจกลางเมืองกัน) น้องร่วมทริปจึงตัดใจพากันขึ้นรถตู้พิษณุโลก – แม่สอดดีกว่า(172 บาท) พอถึงแม่สอดจะมีรถสองแถว (130 บาท) ต่อไปอุ้มผาง เมื่อมาถึงอุ้มผางก็เย็นพอดี (รวมเดินทางกว่า 15 ชั่วโมง เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก ปวดตูดกันทุกคน เหมือนนั่งเครื่องบินข้ามทวีปกันเลยทีเดียว) สรุปอย่าทำตามพวกเรานะครับ5555
เส้นทางตาก – แม่สอด, แม่สอด – อุ้มผาง จะมีการตรวจบัตรประชาชนเป็นระยะ บางคนไม่ผ่าน (โดยมากเป็นพวกถือพาสปอร์ตหมดอายุ) โดนเรียกลงจากรถไม่ได้ไปต่อเลย ทีนี้น้องร่วมทริปคนนึงดันลืมบัตรประชาชน (โคตรซวย) แต่ด้วยอานุภาพของบัตรนิสิตจึงรอดมาได้ (ทริปเกือบล่มตรงนี้อีกครั้ง) ขอเตือนห้ามลืมบัตรประชาชนเด็ดขาด!!!
เส้นทางแม่สอด – อุ้มผางเป็นเส้นที่สวยมากและอันตรายด้วย ถ้าขับรถไปเองต้องระมัดระวังอย่างดี (แต่คนในพื้นที่บอกสบาย ๆ ) แต่ถ้าขึ้นสองแถวไปจะสบายใจกว่า (พี่คนขับชำนาญทางมากกก) ต่อแต่นี้ไปพวกเราก็มีรูปมาอวด โดยรูปทั้งหมดน้องร่วมทริปเป็นคนถ่าย และแต่งโดยมิตรสหายที่อยู่ชมรมถ่ายภาพอีกที ขอยืมมาเขียนรีวิวหน่อยนะครับ (จะบางส่วนผมถ่ายเองแต่งเอง สงสัยไหมว่ารูปไหน รูปไหนกากอันนั้นแหละ)
**คำเตือนรูปมันออกมาสวยกว่าของจริงครับ555 อันนี้แซวน้องตากล้องอยู่บ่อย ๆ ถ้าไม่เชื่อต้องลองไปดูของจริงด้วยตาตัวเองนะเออ แล้วจะรู้เลย
**เล่าเรื่องเยอะนิดนึง ตัวหนังสือจะดูยุบยับ ขี้เกียจอ่านก็ข้ามดูรูปไปนะครับ แต่อยากให้อ่านเรื่องราวประกอบด้วย (เพราะรูปไม่ค่อยสวย5555) พวกเราตั้งใจแบ่งปันมาก
แม่สอด – อุ้มผาง ฉายาถนนลอยฟ้าพันสองร้อยกว่าโค้ง เส้นนี้สวยมากกก นั่งสองแถวต้องปีนหลังคา น้องในพื้นที่ (ซ้ายมือ) สอนพวกเรา ทีแรกก็กลัวกัน ตอนนี้สบายมาก
ช่วงไต่เขาด้านข้างเป็นเหวมองไกลจะเห็นแบบนี้
พอพ้นช่วงที่เป็นเขาจะเห็นแบบนี้ครับ เหมือนสวิสเซอร์แลนด์เลย คล้ายอยู่ละมั้ง (ไม่เคยไปสวิสเซอร์แลนด์หรอก พูดซี้ซั้วไปงั้น)
พอถึงอุ้มผาง ต้องไปหาที่ซุกหัวนอนคืนแรกกันก่อน พวกเราเดินเท้าไปหามูลนิธิสืบนาคะเสถียร จะไปขออนุญาติกางเต็นท์นอนในมูลนิธิ (อันนี้พี่กะเหรี่ยงที่มากับพวกเราบนสองแถวแนะนำมาอีกที ไม่ได้อยู่ในแผนเดิมครับ) ซึ่งแผนเดิมคือนอนวัด นอนโรงเรียน ศาลาริมทาง ประมาณนั้น กว่าจะถึงมูลนิธิก็เดินไกลพอสมควร (ไปผิดที่ด้วย เพราะมูลนิธิเพิ่งย้าย) ไปพบกับพี่ขุน ผู้ซึ่งประจำการอยู่ที่มูลนิธิ แกก็อนุญาติให้พักได้ (ขอบคุณมากครับ) พร้อมกินมื้อเย็นเป็นปลากระป๋อง ปลาดุกย่าง แล้วก็ไก่ย่าง (ซื้อมาจากแม่สอด) หุงข้าวด้วยหม้อสนาม แต่มือใหม่ทั้งนั้นเกือบไม่ได้แดรกกัน (พี่ขุนก็แซวว่าเอาหม้อหุงข้าวไฟฟ้าไหม พี่มีนะ5555)
สรุปค่าใช้จ่ายของวันที่ 17 – 18 กรกฎาคม
ค่ารถไฟ 219 บาท ค่ารถตู้พิษณุโลก – แม่สอด 172 บาท ค่ารถสองแถวแม่สอด – อุ้มผาง 130 บาท ค่ารถสามล้อไปส่งสถานีขนส่งพิษณุโลก 60 บาท (คนละ 15 บาท) ค่าอาหารและน้ำดื่มรวม 119 บาท รวมเป็น 655 บาทต่อคน
พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้น (19 กรกฎาคม) จัดเตรียมสัมภาระเพื่อเข้าทีลอซู เป็นพวกข้าวสาร ปลากระป๋อง มาม่า น้ำดื่ม เป็นต้น แผนคือต้องเดินเท้าเข้าน้ำตกทีลอซู 25 กิโลเมตร พร้อมสัมภาระให้พอดีกับ 2 วัน 1 คืน และเดินเท้าออกจากน้ำตกอีก 25 กิโลเมตร โดยมื้อเช้ากับกลางวันระหว่างเดินเท้าจะกินข้าวเหนียวหมูปิ้ง (20 บาท ซื้อในตลาดอุ้มผาง) มื้อเย็นจะหุงข้าวกินกับมาม่าและปลากระป๋อง สำหรับเช้ากับกลางวันของวันที่สอง (วันเดินเท้าออกจากน้ำตก) จะหุงข้าวกินเองเช่นกัน (จึงเตรียมเสบียงให้พอดีสามมื้อ จะได้ไม่ต้องแบกหนัก) ทุกคนตื่นเต้นกันมากที่ต้องเดินกว่า 50 กิโลเมตร พอเล่าแผนให้พี่ขุนฟัง แกบอกจะเดินไหวเหรอ (แล้วก็ไม่ไหวจริง ๆ 555) และแล้วการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น พี่ขุนอาสาไปส่งพวกเรานอกเมืองอุ้มผางนิดนึง (ขอบคุณครับ) จากนั้นเราจะโบกรถไปเรื่อย ๆ ให้ถึงปากทางเข้าน้ำตกทีลอซู (หน้าฝนไม่อนุญาติให้รถเข้า จึงต้องเดินเท้า 25 กิโลเมตร) คนอุ้มผางใจกว้างเราโบกคันเดียวได้เลย มาส่งถึงทางเข้าเลย ขอบคุณมากครับบ (ถ้าซื้อทัวร์จะเป็นการล่องเรือไปค่อนทาง แล้วค่อยเดินเท้าต่อ)
ขอบคุณที่รับพวกเรานะครับ (พออัพรูปนี้ลงโซเชียล โดนแซวว่า “พวกเมิงไปเที่ยวกันหรือไปรับเหมาก่อสร้าง” 5555)
ปากทางเข้าทีลอซู รถไม่สามารถเข้าได้ในช่วงฤดูฝน (ปิดเส้นทาง ฟื้นฟูธรรมชาติ) เดินเท้าอีก 25 กิโลเมตร
และแล้วการเดินเท้าก็เริ่มต้นขึ้น
เป็นทางลูกรังเดินสบายมาก
สักพักก็เริ่มไม่สบายแล้วครับ หน้าฝนก็แบบนี้ (ขอเตือน ไม่ควรนำรองเท้า รด. มาเดินป่า หนักฉิบโหง พวกเราโง่เอง โง่แค่สองคนนะ5555)
เห็นป้ายนี้นี้แสดงว่ามาถึงครึ่งทางแล้วครับ (โคตรเหนื่อย เราพักกันบ่อยมาก แซวตลอดเมิงเดินกันแบบนี้ถึงสองทุ่มแน่นอน5555)
ตรงผาเลือดจะมีคุณลุงขายของอยู่ครับ ใจดีมาก คุยกันถูกคอเลยคุยยาวหน่อย (ความจริงขี้เกียจเดินกันต่อ หาเรื่องอู้555) ลุงแกก็เล่าว่ามันมีน้ำสีแดงไหลออกมาบนผาตรงนี้ ก็เลยเรียกผาเลือด
ลุงชวนคุยยาวมากหลายเรื่อง ทั้งเรื่องวิถีชีวิตกะเหรี่ยง ชาวบ้าน ป่าแถวนี้ น้ำตก (ทีลอซู) ก่อนจะดังเป็นแบบไหน พอดังแล้วเป็นแบบไหน นักท่องเที่ยวมาเยอะมีผลอย่างไร การสร้างถนนเข้าอุ้มผางแกบอกเมื่อก่อนมันจะมีอีกสายสร้างมาทางคลองลาน แม่วงก์ แต่ยกเลิกไปก่อนจะเสร็จถึงอุ้มผาง ที่พีคสุดคือลุงเรียกพวกเราว่าพี่ (น้อง ๆ บอกหน้าผมดึงมีนขึ้น ผมก็พยายามเบี่ยงประเด็นลุงเค้าหมายถึงพวกเมิงทุกคนแหละไม่ใช่แค่กรู5555) พอสักพักรู้ว่าเรายังเรียนอยู่เรียกเราน้อง ๆ แทน โถ่วว ลุง!!! (และคุยอีกหลายเรื่องแต่จำไม่ได้แล้ว) พอถามหากำลังใจจากลุงว่าพวกเราจะเดินกันต่อถึงไหม ลุงตอบแบบไม่คิดเลย..ไม่ถึงหรอกน้อง (บั่นทอนกำลังใจมาก) ลุงแกแนะนำให้รอรถผู้ใหญ่บ้านที่ปรกติขึ้นลงทุกวัน (ซึ่งต้องรอพรุ่งนี้) จนพวกเรากะจะกางเต็นท์นอนรอตรงนี้อีกคืน แต่ด้วยความรู้สึกที่จะทำให้ลุงได้เห็นว่าเราทำได้ จึงออกเดินเท้ากันต่อ…
ยืนฟังลุงโม้อย่างตั้งใจ
ที่มาของชื่อผาเลือด ด้านล่างจะเป็นลำธาร (จำชื่อไม่ได้) ถ้าล่องแพยางมาจะผ่านตรงนี้ด้วย
ลงไปถ่ายรูปหมู่กันหน่อย (แอบแซวสาวข้างหลังกันนิดนึง) ถ้าใครนั่งเรือมาเค้าจะแวะจุดนี้ (แวะหาลุง5555) แต่จุดลงเรือจริงที่ต้องเดินเท้าต่อ (หรือขึ้นรถ) จะต้องเลยไปอีก
หลังเดินออกมาจากผาเลือดสักพัก พวกเรารู้เลยว่าสองทุ่มไม่มีทางถึงแน่นอน (สมพรปาก) เที่ยงคืนไม่รู้จะถึงรึเปล่า มันล้ามากอยากจะนอนอยู่ตรงนั้น ได้แต่หวังว่าขอให้ผู้ใหญ่บ้านนึกอุตริขับรถผ่านมาตอนนี้ตามที่ลุงบอก ขณะนั้นไม่รู้จะเอายังไงกันต่อจริง ๆ มันผิดแผนมาก (น้องก็แซวไหนบอกว่าเดินได้ไงพี่ 25 กิโลเมตร วันเดียว5555) ได้แต่เดินไปเรื่อย ๆ หวังว่าจะถึง แต่แล้วเสมือนฟ้ามีตา สวรรค์มาโปรด มีรถผ่าน!!! แต่เป็นขาลงจากทีลอซู (โคตรเศร้าา ตอนนั่งพักนี่ไม่ทำอะไรกันเลย นั่งฟังเสียงรถกันอย่างเดียว5555) เราจึงตัดใจเดินต่อ พอได้สักระยะเริ่มหูไว “ผมว่ามีรถมาว่ะ” น้องพูดขึ้นมา คุณพระ!!! รถจริง ๆ แถมเป็นรถขาขึ้นไปน้ำตกเสียด้วย จึงจัดการโบกอย่างรวดเร็ว (แทบนอนขวางถนนกันเลยทีเดียว) สอบถามได้ความว่าเป็นคณะนายช่างจะเข้าไปซ่อมโซล่าร์เซลล์ให้หมู่บ้านในนู้นนน (เลยน้ำตกไปอีก) ซึ่งผ่านทีลอซูด้วย “ไปกับพวกพี่” นายช่างพูด (พวกเรานี่น้ำหูน้ำตาแทบไหล) รถบรรทุกอุปกรณ์ที่จะซ่อมอยู่หลังกระบะมาด้วย พวกเราจึงเบียดกันอยู่ (แทบไม่มีที่อยู่ที่ยืน ขอบ่นพี่นายช่างหน่อย5555)และก็มาถึงทีลอซูโดยสวัสดิภาพ (ขนาดนั่งรถยังใช้เวลาเกือบชั่วโมง)
กางเต็นท์กันในศาลาแปดเหลี่ยม ความจริงไม่ต้องเอาเต็นท์ไปเองก็ได้ สอบถามคุณยายที่ขายข้าว แกบอกจะขึ้นมาให้ติดต่อก่อน เดี๋ยวแกจะกางรอ (น่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) แต่พวกเราเน้นประหยัดแบกมาเอง (ความจริงโง่ โคตรหนักเลยเต็นท์)
ยืมเตาถ่านคุณยายขายอาหารมาหุงข้าว
คืนนั้นนอนหลับสบาย (สงสัยจะเหนื่อยกัน) ก่อนนอนจิบเหล้าของพี่กะเหรี่ยงที่นำอีกก๊วนมาเที่ยว อร่อยมากก เช้าพรุ่งนี้แผนคือเดินเข้าน้ำตก 1.5 กิโลเมตร ชมธรรมชาติให้จุใจ แล้วก็จะเดินเท้าอีก 25 กิโลเมตรกลับออกมา