. "ได้ครับคุณสุพจน์ อีกไม่เกิน 10 นาทีผมจะถึงร้านอาหารที่เรานัดกันไว้แล้วครับ"
"ดีครับคุณกานต์ ไว้เราเจอกันตามเวลาที่นัดหมาย"
กานต์กดปุ่มจบการสนทนาจากหูฟังบลูทูธที่อยู่ในหูของเขา รถสปอร์ตสีแดงเพลิงคันแพงวิ่งฝ่าอากาศไปด้วยความเร็วสูงออกนอกตัวเมือง เส้นทางรอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ไร้วี่แววที่จะพบเจอบ้านผู้คน ในวันนี้กานต์มีนัดพบกับลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทที่ทำพวกโฆษณา และลูกค้ารายนี้ก็เฉพาะเจาะจงให้เป็นกานต์คนเดียวเท่านั้น ที่จะมารับงานชิ้นนี้
แสงตะวันใกล้ไต่เส้นขอบฟ้า ขอบภูเขาเริ่มแตะขอบดวงอาทิตย์ แสงสว่างเริ่มจางลงบนถนนที่ไร้แสงไฟส่องสว่าง แต่นั่นไม่สามารถทำให้ความเร็วของยานพาหนะสีแดงเพลิงลดลงไปได้ และในที่สุดกานต์ก็มองเห็นถึงจุดหมายที่เขามองหาตามพิกัด GPS ที่ได้มาจากลูกค้า
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตากานต์คือ ร้านอาหารสวยหรูขนาดกะทัดรัดท่ามกลางธรรมชาติแสนสวยงามและความสงบ เขาจอดรถและพยายามมองเข้าไป แต่ดูเหมือนกานต์จะมองไม่เห็นใครเลย ไม่มีพนักงาน ไม่มีลูกค้าเดินเข้าออก สิ่งที่ทำให้เขาอุ่นใจก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ส่องสว่าง และรถยนต์คันงามสีขาวที่จอดในที่จอด กานต์คาดว่ารถคันนี้คงเป็นของลูกค้าที่มาทานอาหารที่นี่
กานต์เปิดประตูเข้าไปในร้านอาหาร แต่ก็ยังไม่เห็นพนักงานต้อนรับ ไม่มีลูกค้าสักโต๊ะที่นั่งในร้าน เขาเหลือบมองไปรอบๆก็เห็นทั้งร้านมีโต๊ะเพียงแค่ 5 ชุด มีแค่โต๊ะชุดเดียวที่ดูเหมือนจะมีลูกค้านั่งอยู่ก่อนแล้ว เพราะเก้าอี้ถูกดึงออกมาจากใต้โต๊ะ 1 ตัว มีชุดจานและแก้ว 2 ชุดบนโต๊ะอาหาร
กานต์ตัดสินใจนั่งโต๊ะติดประตู ซึ่งเป็นโต๊ะที่อยู่ติดกันกับโต๊ะที่มีชุดจานและแก้ว เขามองสำรวจรอบๆร้าน ห้องอาหารนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่สิ่งที่โดดเด่นจริงๆคงจะเป็นภาพวาดสีน้ำมันที่แขวนบนผนัง ภาพนั้นเป็นภาพที่แสดงรอยยิ้มของหญิงสาวคนหนึ่ง รอยยิ้มที่สวยงามและบ่งบอกถึงความร่าเริงแจ่มใส แต่ทว่าหากสังเกตที่ดวงตาของเธอ จะพบกับความโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
บริกรหญิงหน้าตาสะสวยในชุดประโปรงยาวสีขาว เธอโพกหัวด้วยผ้าสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับชุด บริกรหญิงถือเหยือกน้ำดื่มและแก้วมาวางไว้บนโต๊ะที่กานต์นั่ง
"สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับสู่ร้านอาหารเฟรนด์ชิพค่ะ ไม่ทราบว่าจองไว้กี่ที่คะ"
เสียงใสต้อนรับแขกผู้มาเยือนได้ดียิ่งนัก กานต์หันมายิ้มด้วยท่าทีที่โล่งใจ เขาจ้องใบหน้าขาวนวลด้วยเครื่องแป้งบนใบหน้าของเธอเนิ่นนาน ก่อนจะคลายยิ้มแสดงความเป็นมิตรกับเธอ
"ครับ พอดีว่าผมจองไว้ 2 ที่ แต่อีกสักพักแขกของผมจะมาถึง"
"ได้ค่ะ ระหว่างรอจะสั่งอะไรมาดื่มหรือรองท้องไว้ก่อนมั้ยคะ"
"ผมขอน้ำเปล่า 1 แก้วครับ ขอบคุณ อ้อ ผมรู้สึกทึ่งกับร้านอาหารแห่งนี้มากเลยครับ ทั้งสวยงามและบรรยากาศเงียบสงบ หากลูกค้าของผมไม่บอก นี่ผมไม่มีทางที่จะได้มายังสถานที่แห่งนี้แน่ๆเลยครับ"
"ทางร้านของเราเป็นร้านไพรเวทค่ะ แขกที่มาจะเป็นคนที่ถูกรับเชิญเท่านั้น เราไม่ต้อนรับลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญค่ะ"
กานต์ทำสีหน้าแปลกใจกับสิ่งที่เขาได้ยิน
"มีร้านแบบนี้ด้วยเหรอครับ ผมไม่เคยเจอมาก่อนเลย แล้วอาหารล่ะ"
"เจ้าของร้านทำร้านนี้ขึ้นมาเพื่อต้อนรับแขกส่วนตัวค่ะ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เชิญแขกส่วนตัวมาทานที่ร้านของเราได้ ส่วนเรื่องอาหารนั้นจะถูกจัดเตรียมเมนูไว้แล้วตามจำนวนคนที่มา เครื่องดื่มก็เช่นกัน"
บริกรหญิงวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะก่อนจะค่อยๆรินน้ำจนเต็มแก้ว จากนั้นเธอขยับแก้วไปไว้เบื้องหน้าของกานต์
"เมื่อแขกอีกท่านมา เราจะยกอาหารและเครื่องดื่มออกมาค่ะ ระหว่างนี้คุณลูกค้าสามารถนั่งชมบรรยากาศรอบข้างไปก่อนได้นะคะ"
หญิงสาวโค้งศีรษะก่อนเดินจากไป บรรยากาศภายนอกร้านยามเย็นจวนค่ำ แสงอาทิตย์ที่เคยโลมเลียทุ่งหญ้าเขียวพร้อมใจกันลาจาก ในทุ่งหญ้าเมื่อไร้แสงอาทิตย์เป็นเหมือนกับสัญญาณแห่งความสงบกำลังจะเริ่มต้น เป็นความรู้สึกที่แตกต่างสำหรับคนเมืองเช่นกานต์ ที่ในเมืองใหญ่นั้นหากแสงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า นั่นหมายถึงความวุ่นวายในถนนหลายสายกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ภาพความสวยงามนั้นดึงดูดสายตาคู่นั้นจนกานต์ไม่ทันสังเกตว่าเจ้าของโต๊ะที่ว่างนั้นกลับมาแล้ว
หญิงสาววัยไล่เลี่ยกันกับกานต์กลับมานั่งที่โต๊ะ เธอเช็ดไม้เช็ดมือด้วยผ้าที่บริกรหญิงเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ ท่าทางเธอสะดุดตากลับชายหนุ่มที่ได้แต่จ้องมองทุ่งหญ้าภายนอกร้าน เหมือนเธอจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
"นั่นกานต์หรือเปล่า ?"
หญิงสาวพูดขึ้นเมื่อเธอไม่สามารถเก็บความสงสัยนั้นไว้ได้ กานต์หันหน้ามามองและยิ้มออกมาทันที
"ใช่ครับ เอ่อ แล้วนั่นใช่มลหรือเปล่า ?"
"ใช่ๆ นี่มลเอง"
ทั้งคู่ทำท่าทางประหลาดใจ ต่างคนต่างไม่คิดว่าจะมาเจอกันในสถานที่อันลึกลับแบบนี้
"เป็นยังไงบ้างกานต์ เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ หลังจากเราเรียนจบก็ได้เจอกันไม่กี่ครั้งเอง ตอนนั้นแต่ละคนก็งานยุ่งๆกันไม่มีเวลานัดมาเจอกันเลย"
"นี่มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆที่เรามาเจอกันที่นี่ ว่าแต่มลมาที่นี่ได้ยังไงล่ะ"
"วันนี้เป็นวันครบรอบวันแต่งงานของฉันกับสามี เขาอยากให้คืนนี้เป็นคืนที่พิเศษสำหรับฉัน"
กานต์คิดว่าสามีของมลคงเป็นผู้ที่มีสิทธิ์เชิญแขกส่วนตัวมาร้านแห่งนี้ได้ เขารู้สึกทึ่งกับความโรแมนติกครั้งนี้ยิ่งนัก
"แล้วเธอล่ะกานต์ มาที่นี่ได้ยังไง"
"คือว่าลูกค้าของเรานัดมาน่ะ เขาเฉพาะเจาะจงต้องให้มาที่นี่เท่านั้นเลยนะ"
"จริงเหรอกานต์ แสดงว่าลูกค้าของกานต์ต้องรู้จักกับเจ้าของร้านนี้แน่ๆเลย เห็นเขาว่าที่นี่เป็นร้านแบบไพรเวท"
"เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงก็ต้องแล้วแต่ลูกค้าล่ะ" กานต์พูด
ทั้งคู่มองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง
"อีก 5 นาทีจะถึงเวลานัดกับลูกค้า ว่าแต่มลนัดกับสามีไว้กี่โมงล่ะ"
"ฉันไม่ได้ระบุเวลา แต่อีกสักพักเดี๋ยวอาจจะลองโทรไปถามว่าถึงไหนแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นเราก็พอมีเวลาคุยกันสักนิดล่ะนะ ว่าแต่ช่วงนี้เรื่องการงานของมลเป็นยังไงบ้าง"
"งานของฉันก็เรื่อยๆน่ะ บางครั้งก็เหนื่อยบ้างแต่ก็สนุกดี แต่ฉันก็คิดนะเรื่องความวุ่นวายที่เราเจอในชีวิต นั่นทำให้ฉันย้อนนึกถึงสมัยที่เราเรียนกันอยู่ในมหาลัย รู้มั้ยว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยนะ”
“ช่วงเวลานั้นเหรอ ใช่แล้วล่ะ ช่วงเวลานั้นสำหรับเราก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเหมือนกัน ในช่วงนั้นเวลาที่เครียดที่สุดสำหรับพวกเราก็คือช่วงเตรียมตัวสอบ ช่วงนั้นน่ะนะแต่ละคนไม่ยอมกินยอมนอนเลยจริงๆ”
“ใช่ๆ ฉันจำได้ ตอนนั้นก็มีกานต์นี่แหละที่ช่วยติวข้อสอบให้พวกเรา ช่วงนั้นถ้าไม่มีกานต์สักคน คงมีเพื่อนๆของเราหลายคนที่เรียนไม่จบจากที่นั่นแน่ๆเลย”
มลหัวเราะชอบใจกับสิ่งที่เธอพูด แต่กานต์รู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับคำพูดนี้
“แหม มลก็พูดไป คนที่ติวหนังสือให้ไม่ใช่มีเราคนเดียว คนอื่นๆที่ถนัดวิชาไหนก็มาช่วยติววิชานั้นให้พวกเราเหมือนกันไง ดูอย่างเจนสิ ขานั้นติวหลายวิชาเลยนะ ถ้าหากไม่มีเจนสิพวกเราก็อาจจะไม่รอดกัน”
มลยังหัวเราะชอบใจกับเรื่องนี้
“พูดถึงเจนก็ไม่ได้เจอกับมันนานแล้วเหมือนกันนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่กลุ่มเราจะได้มีโอกาสกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เฮ่อ ! คิดถึงเพื่อนๆเราจังเลย” มลพูด
“เอาน่าๆ แต่ละคนก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ ขอเพียงแค่เรายังไม่เลิกติดต่อกันมันก็ต้องมีโอกาสสักวันที่พวกเราจะได้มานัดพบกัน”
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าลงไปแล้ว ในตอนนี้ภายนอกร้านถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ป่าแถบนี้ไร้บ้านผู้คน ไร้เสาหลอดไฟจากถนนที่จะส่องสว่างต่อสู้กับแสงดาวบนท้องฟ้า ทำให้ใครก็ตามที่แหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาจะพบเห็นแสงดาวที่พร่างพราวสวยในคืนเดือนมืด หมู่มวลดารานับล้านแข่งกันสะท้อนแสงกลับมายังพื้นโลก แต่มีดาวเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่จะทำสำเร็จ เสียดายแทนกานต์และมลที่เขาทั้งสองพลาดโอกาสในการมองเห็นความสวยงามนี้ เพราะทั้งคู่ต่างกำลังเพลิดเพลินกับการนั่งคุยกันจนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เพราะทั้งคู่ไม่ได้สังเกต
“อ๊ะ ! กานต์ นี่ถึงเวลานัดของลูกค้าหรือยัง เขายังไม่มาอีกหรือนี่”
“จริงด้วย นี่เลยเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะ เดี๋ยวเราโทรไปถามลูกค้าก่อนว่าถึงไหน”
กานต์ต่อสายถึงเบอร์โทรล่าสุดที่เขาเพิ่งจะสนทนาเมื่อตอนเย็น แต่ปรากฏว่าเขาไม่สามารถต่อสายไปถึงลูกค้าได้ เพราะเสียงสัญญาณตอบกลับแสดงว่าเครื่องปลายทางไม่ได้ถูกเปิด
“แปลกมากเลย ไม่รู้ว่าสัญญาณไม่มีหรือเครื่องของลูกค้าแบตหมด เราติดต่อลูกค้าไม่ได้น่ะ”
กานต์ทำท่าหงุดหงิด ทำให้มลหัวเราะเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันขอโทรหาสามีก่อนนะ ไม่รู้ว่าเขาขับรถมาถึงไหนแล้ว”
มลต่อสายถึงเบอร์โทรล่าสุดเช่นกัน แต่ก็เป็นเช่นเดียวกันกับกานต์ที่ไม่สามารถต่อสัญญาณถึงปลายสายได้
“โทรศัพท์ของสามีฉันก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้เป็นอะไร”
ถึงคราวที่มลจะทำท่าร้อนรนบ้าง จนกานต์ต้องรีบพูดปลอบ
“คงจะไม่มีอะไรมั้ง เส้นทางที่พวกเขาผ่านอาจจะไม่มีสัญญาณ ใจเย็นๆนั่งรอไปก่อน อย่าคิดมากน่า”
“โอเคจ้ะ” มลตอบรับ เธอดูคลายความกังวลลงไปเล็กน้อย
เหมือนบริกรหญิงจะรู้ใจทั้งกานต์และมล เธอนำอาหารว่างมาให้ทั้งคู่รองท้องกันก่อน ซึ่งในขณะนี้ทั้งคู่ได้มานั่งรวมที่โต๊ะเดียวกันแล้ว
“ดูเหมือนว่าแขกของคุณลูกค้าจะยังมาไม่ถึงทั้งคู่ ทางเราจึงนำอาหารว่างมาให้รองท้องกันก่อนค่ะ”
รอยยิ้มบนหน้าของบริการหญิงแสดงออกถึงความร่าเริงแจ่มใส เมื่อรวมกับน้ำเสียงที่หวานใสนั่นทำให้กานต์และมลต่างหันมาขอบคุณ เพียงแต่ว่าหากทั้งคู่ลองสังเกตแววตาของบริกรหญิงสักนิด พวกเขาอาจจะรู้สึกได้ถึงความเศร้าที่ฉายแววออกมาจากดวงตาคู่นั้น บริกรหญิงเดินกลับเข้าไปในครัว
เฟรนด์ชิป
"ดีครับคุณกานต์ ไว้เราเจอกันตามเวลาที่นัดหมาย"
กานต์กดปุ่มจบการสนทนาจากหูฟังบลูทูธที่อยู่ในหูของเขา รถสปอร์ตสีแดงเพลิงคันแพงวิ่งฝ่าอากาศไปด้วยความเร็วสูงออกนอกตัวเมือง เส้นทางรอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ไร้วี่แววที่จะพบเจอบ้านผู้คน ในวันนี้กานต์มีนัดพบกับลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทที่ทำพวกโฆษณา และลูกค้ารายนี้ก็เฉพาะเจาะจงให้เป็นกานต์คนเดียวเท่านั้น ที่จะมารับงานชิ้นนี้
แสงตะวันใกล้ไต่เส้นขอบฟ้า ขอบภูเขาเริ่มแตะขอบดวงอาทิตย์ แสงสว่างเริ่มจางลงบนถนนที่ไร้แสงไฟส่องสว่าง แต่นั่นไม่สามารถทำให้ความเร็วของยานพาหนะสีแดงเพลิงลดลงไปได้ และในที่สุดกานต์ก็มองเห็นถึงจุดหมายที่เขามองหาตามพิกัด GPS ที่ได้มาจากลูกค้า
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตากานต์คือ ร้านอาหารสวยหรูขนาดกะทัดรัดท่ามกลางธรรมชาติแสนสวยงามและความสงบ เขาจอดรถและพยายามมองเข้าไป แต่ดูเหมือนกานต์จะมองไม่เห็นใครเลย ไม่มีพนักงาน ไม่มีลูกค้าเดินเข้าออก สิ่งที่ทำให้เขาอุ่นใจก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ส่องสว่าง และรถยนต์คันงามสีขาวที่จอดในที่จอด กานต์คาดว่ารถคันนี้คงเป็นของลูกค้าที่มาทานอาหารที่นี่
กานต์เปิดประตูเข้าไปในร้านอาหาร แต่ก็ยังไม่เห็นพนักงานต้อนรับ ไม่มีลูกค้าสักโต๊ะที่นั่งในร้าน เขาเหลือบมองไปรอบๆก็เห็นทั้งร้านมีโต๊ะเพียงแค่ 5 ชุด มีแค่โต๊ะชุดเดียวที่ดูเหมือนจะมีลูกค้านั่งอยู่ก่อนแล้ว เพราะเก้าอี้ถูกดึงออกมาจากใต้โต๊ะ 1 ตัว มีชุดจานและแก้ว 2 ชุดบนโต๊ะอาหาร
กานต์ตัดสินใจนั่งโต๊ะติดประตู ซึ่งเป็นโต๊ะที่อยู่ติดกันกับโต๊ะที่มีชุดจานและแก้ว เขามองสำรวจรอบๆร้าน ห้องอาหารนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่สิ่งที่โดดเด่นจริงๆคงจะเป็นภาพวาดสีน้ำมันที่แขวนบนผนัง ภาพนั้นเป็นภาพที่แสดงรอยยิ้มของหญิงสาวคนหนึ่ง รอยยิ้มที่สวยงามและบ่งบอกถึงความร่าเริงแจ่มใส แต่ทว่าหากสังเกตที่ดวงตาของเธอ จะพบกับความโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
บริกรหญิงหน้าตาสะสวยในชุดประโปรงยาวสีขาว เธอโพกหัวด้วยผ้าสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับชุด บริกรหญิงถือเหยือกน้ำดื่มและแก้วมาวางไว้บนโต๊ะที่กานต์นั่ง
"สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับสู่ร้านอาหารเฟรนด์ชิพค่ะ ไม่ทราบว่าจองไว้กี่ที่คะ"
เสียงใสต้อนรับแขกผู้มาเยือนได้ดียิ่งนัก กานต์หันมายิ้มด้วยท่าทีที่โล่งใจ เขาจ้องใบหน้าขาวนวลด้วยเครื่องแป้งบนใบหน้าของเธอเนิ่นนาน ก่อนจะคลายยิ้มแสดงความเป็นมิตรกับเธอ
"ครับ พอดีว่าผมจองไว้ 2 ที่ แต่อีกสักพักแขกของผมจะมาถึง"
"ได้ค่ะ ระหว่างรอจะสั่งอะไรมาดื่มหรือรองท้องไว้ก่อนมั้ยคะ"
"ผมขอน้ำเปล่า 1 แก้วครับ ขอบคุณ อ้อ ผมรู้สึกทึ่งกับร้านอาหารแห่งนี้มากเลยครับ ทั้งสวยงามและบรรยากาศเงียบสงบ หากลูกค้าของผมไม่บอก นี่ผมไม่มีทางที่จะได้มายังสถานที่แห่งนี้แน่ๆเลยครับ"
"ทางร้านของเราเป็นร้านไพรเวทค่ะ แขกที่มาจะเป็นคนที่ถูกรับเชิญเท่านั้น เราไม่ต้อนรับลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญค่ะ"
กานต์ทำสีหน้าแปลกใจกับสิ่งที่เขาได้ยิน
"มีร้านแบบนี้ด้วยเหรอครับ ผมไม่เคยเจอมาก่อนเลย แล้วอาหารล่ะ"
"เจ้าของร้านทำร้านนี้ขึ้นมาเพื่อต้อนรับแขกส่วนตัวค่ะ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เชิญแขกส่วนตัวมาทานที่ร้านของเราได้ ส่วนเรื่องอาหารนั้นจะถูกจัดเตรียมเมนูไว้แล้วตามจำนวนคนที่มา เครื่องดื่มก็เช่นกัน"
บริกรหญิงวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะก่อนจะค่อยๆรินน้ำจนเต็มแก้ว จากนั้นเธอขยับแก้วไปไว้เบื้องหน้าของกานต์
"เมื่อแขกอีกท่านมา เราจะยกอาหารและเครื่องดื่มออกมาค่ะ ระหว่างนี้คุณลูกค้าสามารถนั่งชมบรรยากาศรอบข้างไปก่อนได้นะคะ"
หญิงสาวโค้งศีรษะก่อนเดินจากไป บรรยากาศภายนอกร้านยามเย็นจวนค่ำ แสงอาทิตย์ที่เคยโลมเลียทุ่งหญ้าเขียวพร้อมใจกันลาจาก ในทุ่งหญ้าเมื่อไร้แสงอาทิตย์เป็นเหมือนกับสัญญาณแห่งความสงบกำลังจะเริ่มต้น เป็นความรู้สึกที่แตกต่างสำหรับคนเมืองเช่นกานต์ ที่ในเมืองใหญ่นั้นหากแสงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า นั่นหมายถึงความวุ่นวายในถนนหลายสายกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ภาพความสวยงามนั้นดึงดูดสายตาคู่นั้นจนกานต์ไม่ทันสังเกตว่าเจ้าของโต๊ะที่ว่างนั้นกลับมาแล้ว
หญิงสาววัยไล่เลี่ยกันกับกานต์กลับมานั่งที่โต๊ะ เธอเช็ดไม้เช็ดมือด้วยผ้าที่บริกรหญิงเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ ท่าทางเธอสะดุดตากลับชายหนุ่มที่ได้แต่จ้องมองทุ่งหญ้าภายนอกร้าน เหมือนเธอจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
"นั่นกานต์หรือเปล่า ?"
หญิงสาวพูดขึ้นเมื่อเธอไม่สามารถเก็บความสงสัยนั้นไว้ได้ กานต์หันหน้ามามองและยิ้มออกมาทันที
"ใช่ครับ เอ่อ แล้วนั่นใช่มลหรือเปล่า ?"
"ใช่ๆ นี่มลเอง"
ทั้งคู่ทำท่าทางประหลาดใจ ต่างคนต่างไม่คิดว่าจะมาเจอกันในสถานที่อันลึกลับแบบนี้
"เป็นยังไงบ้างกานต์ เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ หลังจากเราเรียนจบก็ได้เจอกันไม่กี่ครั้งเอง ตอนนั้นแต่ละคนก็งานยุ่งๆกันไม่มีเวลานัดมาเจอกันเลย"
"นี่มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆที่เรามาเจอกันที่นี่ ว่าแต่มลมาที่นี่ได้ยังไงล่ะ"
"วันนี้เป็นวันครบรอบวันแต่งงานของฉันกับสามี เขาอยากให้คืนนี้เป็นคืนที่พิเศษสำหรับฉัน"
กานต์คิดว่าสามีของมลคงเป็นผู้ที่มีสิทธิ์เชิญแขกส่วนตัวมาร้านแห่งนี้ได้ เขารู้สึกทึ่งกับความโรแมนติกครั้งนี้ยิ่งนัก
"แล้วเธอล่ะกานต์ มาที่นี่ได้ยังไง"
"คือว่าลูกค้าของเรานัดมาน่ะ เขาเฉพาะเจาะจงต้องให้มาที่นี่เท่านั้นเลยนะ"
"จริงเหรอกานต์ แสดงว่าลูกค้าของกานต์ต้องรู้จักกับเจ้าของร้านนี้แน่ๆเลย เห็นเขาว่าที่นี่เป็นร้านแบบไพรเวท"
"เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงก็ต้องแล้วแต่ลูกค้าล่ะ" กานต์พูด
ทั้งคู่มองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง
"อีก 5 นาทีจะถึงเวลานัดกับลูกค้า ว่าแต่มลนัดกับสามีไว้กี่โมงล่ะ"
"ฉันไม่ได้ระบุเวลา แต่อีกสักพักเดี๋ยวอาจจะลองโทรไปถามว่าถึงไหนแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นเราก็พอมีเวลาคุยกันสักนิดล่ะนะ ว่าแต่ช่วงนี้เรื่องการงานของมลเป็นยังไงบ้าง"
"งานของฉันก็เรื่อยๆน่ะ บางครั้งก็เหนื่อยบ้างแต่ก็สนุกดี แต่ฉันก็คิดนะเรื่องความวุ่นวายที่เราเจอในชีวิต นั่นทำให้ฉันย้อนนึกถึงสมัยที่เราเรียนกันอยู่ในมหาลัย รู้มั้ยว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยนะ”
“ช่วงเวลานั้นเหรอ ใช่แล้วล่ะ ช่วงเวลานั้นสำหรับเราก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเหมือนกัน ในช่วงนั้นเวลาที่เครียดที่สุดสำหรับพวกเราก็คือช่วงเตรียมตัวสอบ ช่วงนั้นน่ะนะแต่ละคนไม่ยอมกินยอมนอนเลยจริงๆ”
“ใช่ๆ ฉันจำได้ ตอนนั้นก็มีกานต์นี่แหละที่ช่วยติวข้อสอบให้พวกเรา ช่วงนั้นถ้าไม่มีกานต์สักคน คงมีเพื่อนๆของเราหลายคนที่เรียนไม่จบจากที่นั่นแน่ๆเลย”
มลหัวเราะชอบใจกับสิ่งที่เธอพูด แต่กานต์รู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับคำพูดนี้
“แหม มลก็พูดไป คนที่ติวหนังสือให้ไม่ใช่มีเราคนเดียว คนอื่นๆที่ถนัดวิชาไหนก็มาช่วยติววิชานั้นให้พวกเราเหมือนกันไง ดูอย่างเจนสิ ขานั้นติวหลายวิชาเลยนะ ถ้าหากไม่มีเจนสิพวกเราก็อาจจะไม่รอดกัน”
มลยังหัวเราะชอบใจกับเรื่องนี้
“พูดถึงเจนก็ไม่ได้เจอกับมันนานแล้วเหมือนกันนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่กลุ่มเราจะได้มีโอกาสกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เฮ่อ ! คิดถึงเพื่อนๆเราจังเลย” มลพูด
“เอาน่าๆ แต่ละคนก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ ขอเพียงแค่เรายังไม่เลิกติดต่อกันมันก็ต้องมีโอกาสสักวันที่พวกเราจะได้มานัดพบกัน”
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าลงไปแล้ว ในตอนนี้ภายนอกร้านถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ป่าแถบนี้ไร้บ้านผู้คน ไร้เสาหลอดไฟจากถนนที่จะส่องสว่างต่อสู้กับแสงดาวบนท้องฟ้า ทำให้ใครก็ตามที่แหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาจะพบเห็นแสงดาวที่พร่างพราวสวยในคืนเดือนมืด หมู่มวลดารานับล้านแข่งกันสะท้อนแสงกลับมายังพื้นโลก แต่มีดาวเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่จะทำสำเร็จ เสียดายแทนกานต์และมลที่เขาทั้งสองพลาดโอกาสในการมองเห็นความสวยงามนี้ เพราะทั้งคู่ต่างกำลังเพลิดเพลินกับการนั่งคุยกันจนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เพราะทั้งคู่ไม่ได้สังเกต
“อ๊ะ ! กานต์ นี่ถึงเวลานัดของลูกค้าหรือยัง เขายังไม่มาอีกหรือนี่”
“จริงด้วย นี่เลยเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะ เดี๋ยวเราโทรไปถามลูกค้าก่อนว่าถึงไหน”
กานต์ต่อสายถึงเบอร์โทรล่าสุดที่เขาเพิ่งจะสนทนาเมื่อตอนเย็น แต่ปรากฏว่าเขาไม่สามารถต่อสายไปถึงลูกค้าได้ เพราะเสียงสัญญาณตอบกลับแสดงว่าเครื่องปลายทางไม่ได้ถูกเปิด
“แปลกมากเลย ไม่รู้ว่าสัญญาณไม่มีหรือเครื่องของลูกค้าแบตหมด เราติดต่อลูกค้าไม่ได้น่ะ”
กานต์ทำท่าหงุดหงิด ทำให้มลหัวเราะเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันขอโทรหาสามีก่อนนะ ไม่รู้ว่าเขาขับรถมาถึงไหนแล้ว”
มลต่อสายถึงเบอร์โทรล่าสุดเช่นกัน แต่ก็เป็นเช่นเดียวกันกับกานต์ที่ไม่สามารถต่อสัญญาณถึงปลายสายได้
“โทรศัพท์ของสามีฉันก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้เป็นอะไร”
ถึงคราวที่มลจะทำท่าร้อนรนบ้าง จนกานต์ต้องรีบพูดปลอบ
“คงจะไม่มีอะไรมั้ง เส้นทางที่พวกเขาผ่านอาจจะไม่มีสัญญาณ ใจเย็นๆนั่งรอไปก่อน อย่าคิดมากน่า”
“โอเคจ้ะ” มลตอบรับ เธอดูคลายความกังวลลงไปเล็กน้อย
เหมือนบริกรหญิงจะรู้ใจทั้งกานต์และมล เธอนำอาหารว่างมาให้ทั้งคู่รองท้องกันก่อน ซึ่งในขณะนี้ทั้งคู่ได้มานั่งรวมที่โต๊ะเดียวกันแล้ว
“ดูเหมือนว่าแขกของคุณลูกค้าจะยังมาไม่ถึงทั้งคู่ ทางเราจึงนำอาหารว่างมาให้รองท้องกันก่อนค่ะ”
รอยยิ้มบนหน้าของบริการหญิงแสดงออกถึงความร่าเริงแจ่มใส เมื่อรวมกับน้ำเสียงที่หวานใสนั่นทำให้กานต์และมลต่างหันมาขอบคุณ เพียงแต่ว่าหากทั้งคู่ลองสังเกตแววตาของบริกรหญิงสักนิด พวกเขาอาจจะรู้สึกได้ถึงความเศร้าที่ฉายแววออกมาจากดวงตาคู่นั้น บริกรหญิงเดินกลับเข้าไปในครัว