ขอออกตัวก่อนเลยนะคะว่าเป็นมือใหม่หัดเที่ยวแบบกางเต๊นท์ เราเลยไม่แน่ใจว่าวิถีของชาวแค้มปิ้งที่ถูกต้องคืออะไรบ้าง
หลังจากไปเที่ยวมาสี่ห้าครั้งตามอุทยานแห่งชาติ สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกคาใจมาก คือ เรื่องของการใช้เสียงดังก่อนเวลาสี่ทุ่ม เราหนวกหูและรำคาญมาก เราอยากรู้ว่าลิมิตมันคือระดับไหน ที่เราเจอมาจากหลายๆที่ และรู้สึกอึดอัดใจก็เช่น
- ตะโกนโหวกเหวกกันตั้งแต่ตีสี่ (เขาตื่นมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ) เขาคุยกันโดยใช้วิธีตะโกนคุยเลย คนนึงอยู่หน้าห้องน้ำ อีกคนอยู่สุดลาน (ใครเคยไปอ่างขางลองนึกภาพดูค่ะ)
- โชว์เก๋ากับเพื่อนด้วยการคุยเสียงดังตลอดเวลาแม้ว่าตั้งเต๊นท์ติดกัน ที่เจอมาบ่อยๆคือ ในกลุ่มจะมีหัวโจกเสียงดังคนนึง พอไอ้นี่ดังคนอื่นก็ดังตาม และไอ้คนนี้แหละที่ต่อให้เลยสี่ทุ่มแล้วมันก็ยังเสียงดังอยู่ คือไม่มีใครคุยมันก็ยังพูดคนเดียวได้ แม้แต่ปวดอึมันยังประกาศให้โลกรู้
- เปิดเพลงจากรถยนต์เสียงดังมากกกก คือได้ยินชัดทั่วทั้งลานกางเต๊นท์ (ที่เราเจอมาเขาเปิดเพลงประมาณ ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป, ผู้ปิดทองหลังพระ เราพอทนฟังได้เลยไม่อยากมีเรื่อง แต่เราก็อยากฟังเสียงป่ามากกว่านะ)
- สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ทิ้งไว้และตะโกนคุยในเวลาเดียวกัน เต๊นท์เราห่างออกไปไกลยังได้ยินว่าเขาจะนัดเดทกันที่ไหน (ในทางกลับกัน Big Bike ที่เครื่องเสียงดังกลับน่ารักกว่า สตาร์ทแล้วรีบเผ่น จอดแล้วรีบดับเครื่อง)
ทั้งสี่ตัวอย่าง มองมุมนึงมันก็ไม่ผิด (มั้ง) เพราะมันก่อนสี่ทุ่มยังใช้เสียงดังได้ แต่ในมุมมองเรา มันหนวกหูระดับมลพิษ เราอยากฟังเสียงนก เสียงลม เสียงป่ามากกว่า เราก็ไม่ได้จะบ้าถึงขั้นห้ามมีเสียงอะไรแบบนั้นนะ อย่างพวกเล่นกีตาร์ร้องเพลง พวกนั่งคุยกันหัวเราะเสียงดังในระดับปกติ พวกเปิดเพลงคลอๆ เราว่ามันโอเคนะตราบใดที่ไม่ดังจนเกินไป
เพื่อนๆล่ะคะ คิดเหมือนเรามั้ยว่าการมาเที่ยวป่ามันน่าจะเงียบๆชิวๆ หรือจริงๆวิถีแค้มปิ้งคือความอิสระ สามารถใช้เสียง ถึงขั้นตื้ดๆ ตึ่งโป๊ะๆ กันได้เลย เพราะก็มีคนบอกเราว่า สำหรับบางคนการไปแค้มปิ้งของเขา คือการออกไปโหวกเหวกและทำในสิ่งที่ทำที่อื่นไม่ได้
ถ้าไปเที่ยวแบบกางเต๊นท์นอน ในช่วงเวลาก่อนสี่ทุ่ม เพื่อนๆคิดว่าควรใช้เสียงดังได้ในระดับไหนคะ
หลังจากไปเที่ยวมาสี่ห้าครั้งตามอุทยานแห่งชาติ สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกคาใจมาก คือ เรื่องของการใช้เสียงดังก่อนเวลาสี่ทุ่ม เราหนวกหูและรำคาญมาก เราอยากรู้ว่าลิมิตมันคือระดับไหน ที่เราเจอมาจากหลายๆที่ และรู้สึกอึดอัดใจก็เช่น
- ตะโกนโหวกเหวกกันตั้งแต่ตีสี่ (เขาตื่นมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ) เขาคุยกันโดยใช้วิธีตะโกนคุยเลย คนนึงอยู่หน้าห้องน้ำ อีกคนอยู่สุดลาน (ใครเคยไปอ่างขางลองนึกภาพดูค่ะ)
- โชว์เก๋ากับเพื่อนด้วยการคุยเสียงดังตลอดเวลาแม้ว่าตั้งเต๊นท์ติดกัน ที่เจอมาบ่อยๆคือ ในกลุ่มจะมีหัวโจกเสียงดังคนนึง พอไอ้นี่ดังคนอื่นก็ดังตาม และไอ้คนนี้แหละที่ต่อให้เลยสี่ทุ่มแล้วมันก็ยังเสียงดังอยู่ คือไม่มีใครคุยมันก็ยังพูดคนเดียวได้ แม้แต่ปวดอึมันยังประกาศให้โลกรู้
- เปิดเพลงจากรถยนต์เสียงดังมากกกก คือได้ยินชัดทั่วทั้งลานกางเต๊นท์ (ที่เราเจอมาเขาเปิดเพลงประมาณ ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป, ผู้ปิดทองหลังพระ เราพอทนฟังได้เลยไม่อยากมีเรื่อง แต่เราก็อยากฟังเสียงป่ามากกว่านะ)
- สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ทิ้งไว้และตะโกนคุยในเวลาเดียวกัน เต๊นท์เราห่างออกไปไกลยังได้ยินว่าเขาจะนัดเดทกันที่ไหน (ในทางกลับกัน Big Bike ที่เครื่องเสียงดังกลับน่ารักกว่า สตาร์ทแล้วรีบเผ่น จอดแล้วรีบดับเครื่อง)
ทั้งสี่ตัวอย่าง มองมุมนึงมันก็ไม่ผิด (มั้ง) เพราะมันก่อนสี่ทุ่มยังใช้เสียงดังได้ แต่ในมุมมองเรา มันหนวกหูระดับมลพิษ เราอยากฟังเสียงนก เสียงลม เสียงป่ามากกว่า เราก็ไม่ได้จะบ้าถึงขั้นห้ามมีเสียงอะไรแบบนั้นนะ อย่างพวกเล่นกีตาร์ร้องเพลง พวกนั่งคุยกันหัวเราะเสียงดังในระดับปกติ พวกเปิดเพลงคลอๆ เราว่ามันโอเคนะตราบใดที่ไม่ดังจนเกินไป
เพื่อนๆล่ะคะ คิดเหมือนเรามั้ยว่าการมาเที่ยวป่ามันน่าจะเงียบๆชิวๆ หรือจริงๆวิถีแค้มปิ้งคือความอิสระ สามารถใช้เสียง ถึงขั้นตื้ดๆ ตึ่งโป๊ะๆ กันได้เลย เพราะก็มีคนบอกเราว่า สำหรับบางคนการไปแค้มปิ้งของเขา คือการออกไปโหวกเหวกและทำในสิ่งที่ทำที่อื่นไม่ได้