ช่วงผม อายุ 14 ปี ได้ไปเที่ยวถ้ำแห่งหนึ่งกับเพื่อน ๆ วัยเดียวกัน เป็นการไปกับคณะแม่บ้านทหาร (ผมเป็นลูกทหารครับ)
คณะฯ ตกลงจะไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอไทรโยค พวกผู้ใหญ่ทำพิธีในวัด พวกผมมี 6 คน อายุ 14-15 ปีวัยจะไล่ ๆ กันพากันไปขึ้นเขาไปเที่ยวดูถ้ำ
แรก ๆ พวกเราเดินเล่นเชิงเขาก่อน ไม่ได้ไปห่างจากสายตาผู้ใหญ่ หลังจากนั้นแล้วเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนถึงถ้ำ ด้วยคิดว่าระยะห่างจากวัดที่อยู่ตีนเขากับถ้ำไม่ไกลไม่น่าจะหลงแต่ก็หลงจนได้ เราหาทางกลับวัดไม่ถูก (ตอนนั้นก็กลัวอยู่นะ อาศัยว่ามากันหลายคนเลยยังฮาเฮอยู่ได้) คิดว่าคลำทางแปบเดี๋ยวก็กลับมาได้
ตอนนั้นยังได้ยินเสียงรถยนต์ เสียงเร่งเครื่องยนต์ขึ้นทางชัน ถนนต้องไม่ไกลจากนี้ ภายหลังฟังไปฟังมาเหมือนเสียงสะท้อนมาจากที่ไกล มันไม่ได้อยู่แถวนี้ จนเริ่มกลัวกันแล้ว เพื่อนแต่ละคนนิสัยนี่ประมาณซ่า ๆ กันทั้งนั้น เริ่มเปลี่ยนสีหน้าเจื่อนจ๋อยไปตามกัน
เราต้องค้างคืนใต้กุฏิบนเขาคืนนึง อาศัยหลวงตาให้เป็นที่อุ่นใจ คืนนั้นกลับไม่ได้ผ่านไปอย่างสงบเรียบร้อย มันทั้งมืดทั้งน่ากลัวมากเลยครับ มีเหตุสยองขวัญเกิดขึ้นมากมายทำเอาหลอนไปทั้งกลุ่ม อาศัยว่ามากันหลายคนเลยประคองกันอยู่ได้ ไม่ถึงกับร้องไห้หาแม่ พอเช้าเราเดินลงเขา เดินไปด้วยตะโกนโหวกเหวก ทำเสียงดังไปด้วยเผื่อใครจะได้ยิน
ตอนนั้นมันทั้งเหนื่อย ร้อน หิวน้ำ มาก จนสักพักมีพี่ทหารมาตะโกนเรียก ได้ยินเสียงแว่ว ๆ เท่านั้น เหมือนเสียงสวรรค์เลย ดีใจแบบบอกไม่ถูก พี่ทหารพาเดินขึ้นลงเขาไปนิดเดียว มองลงไป เห็นที่รถจอดเลย (จำได้ว่าพวกเราเดินวนอยู่บริเวณนั้นหลายรอบ ยังไม่เห็นที่จอดรถ มันไม่เห็นเลย เห็นแต่ต้นไม้บัง ๆ)
พอ กลับมาได้ไม่กล้ากลับขึ้นไปอีกเลยครับ พี่กุ้งคือทหารที่มาพบพวกพวกเรา ได้เล่าให้ฟังว่าพวกพ่อแม่วุ่นวายกันมาก เกณฑ์คนออกตามหาพวกเราแต่ไม่เจอ พระท่านบอกว่า ตอนนี้มีเด็กหลงอยู่บนเขา ไม่ต้องห่วง เขาจะกักไว้หนึ่งคืน พรุ่งนี้เขาก็ปล่อยมาเอง
ขอเล่าโดยละเอียดนะครับ คณะผ้าป่าของเรามาถึงอำเภอไทรโยคในตอนบ่าย เด็กอย่างเราไม่คิดเข้าร่วมพิธี อยากเดินเล่นเที่ยวป่าเที่ยวถ้ำมากกว่า ได้ยินมาว่าบนเขาไม่ไกลจากวัดมีถ้ำ เราจึงเดินไปถึงแถว ๆ ที่มีเพิงขายของหลายหลัง ตอนนี้กลับดูร้างมาก กับมีป้ายข้อความสีแดง มองผ่านตาคือปิดปรับปรุง
เผอิญไปเจอคนดูแลแถวนั้นเป็นชายวัยกลางคนกำลังถือค้อนตีตะปูซ่อมแซมเพิง พอพวกเราเข้าไปถาม ได้ความว่าสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว คนจะมากันมากในช่วงวันหยุด มีคนมาเที่ยวเยอะถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ของอำเภอไทรโยคเลยก็ว่าได้
พวกผมได้ฟังก็พากันตื่นเต้นอยากไปเพราะกลุ่มผมชอบเที่ยวดูกันอยู่แล้วก็ ที่สำคัญมีศาลใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กันด้วย คุยกันสักพักพวกผมก็ลงมติว่า ใหน ๆ ก็อุตส่าห์มาตั้งไกลทั้งทีก็เลยตัดสินใจไปต่อ อยากเห็นถ้ำที่ว่าเพราะได้ยินคำเล่าลือมาว่าสวยมาก กะว่าจะพากันเที่ยวดูสักพักก็กลับ ชายคนนั้นไม่แนะนำให้ไปกันเอง เพราะเจ้าหน้าที่ได้สั่งปิดปรับปรุง แต่ถ้าสนใจจะพาขึ้นไปดู ขอค่าจ้าง 300 จะนำทางให้
เราคะเนระยะทางถึงยอดเขาไม่ไกลนัก แค่ป้ายห้ามมีหรือจะหยุดเด็กวัยรุ่นห้าว ๆ อย่างพวกเราได้หรอก ตอนนั้นยังเห็นมีวัยรุ่นกลุ่มนึงเดินนำไปก่อน เราก็ตามไปด้วย ไม่จำเป็นต้องจ้างลุงนำทางให้เสียเงิน เดินขึ้นเขาไปได้หน่อยเดียวก็เจอเข้ากับศาลกับป้ายบอกทางไปถ้ำบอกระยะทาง 2 กิโลเมตร ไกลเอาเรื่อง ทั้งนี้เพราะทางเดินในป่าไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงนี่ครับ ด้วยพื้นที่ลาดชัน ต้องเดินอ้อมไปอ้อมมามีความคดเคี้ยว เราก็ปลอบใจกันเองไปเที่ยวที่อื่นเคยเดินไกลกว่านี้
ติดตามรับฟัง ได้จากลิ้งก์ที่ลงไว้ครับ
https://www.youtube.com/watch?v=Se91g1-zWKU
กุฏิร้างกลางป่า
คณะฯ ตกลงจะไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอไทรโยค พวกผู้ใหญ่ทำพิธีในวัด พวกผมมี 6 คน อายุ 14-15 ปีวัยจะไล่ ๆ กันพากันไปขึ้นเขาไปเที่ยวดูถ้ำ
แรก ๆ พวกเราเดินเล่นเชิงเขาก่อน ไม่ได้ไปห่างจากสายตาผู้ใหญ่ หลังจากนั้นแล้วเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนถึงถ้ำ ด้วยคิดว่าระยะห่างจากวัดที่อยู่ตีนเขากับถ้ำไม่ไกลไม่น่าจะหลงแต่ก็หลงจนได้ เราหาทางกลับวัดไม่ถูก (ตอนนั้นก็กลัวอยู่นะ อาศัยว่ามากันหลายคนเลยยังฮาเฮอยู่ได้) คิดว่าคลำทางแปบเดี๋ยวก็กลับมาได้
ตอนนั้นยังได้ยินเสียงรถยนต์ เสียงเร่งเครื่องยนต์ขึ้นทางชัน ถนนต้องไม่ไกลจากนี้ ภายหลังฟังไปฟังมาเหมือนเสียงสะท้อนมาจากที่ไกล มันไม่ได้อยู่แถวนี้ จนเริ่มกลัวกันแล้ว เพื่อนแต่ละคนนิสัยนี่ประมาณซ่า ๆ กันทั้งนั้น เริ่มเปลี่ยนสีหน้าเจื่อนจ๋อยไปตามกัน
เราต้องค้างคืนใต้กุฏิบนเขาคืนนึง อาศัยหลวงตาให้เป็นที่อุ่นใจ คืนนั้นกลับไม่ได้ผ่านไปอย่างสงบเรียบร้อย มันทั้งมืดทั้งน่ากลัวมากเลยครับ มีเหตุสยองขวัญเกิดขึ้นมากมายทำเอาหลอนไปทั้งกลุ่ม อาศัยว่ามากันหลายคนเลยประคองกันอยู่ได้ ไม่ถึงกับร้องไห้หาแม่ พอเช้าเราเดินลงเขา เดินไปด้วยตะโกนโหวกเหวก ทำเสียงดังไปด้วยเผื่อใครจะได้ยิน
ตอนนั้นมันทั้งเหนื่อย ร้อน หิวน้ำ มาก จนสักพักมีพี่ทหารมาตะโกนเรียก ได้ยินเสียงแว่ว ๆ เท่านั้น เหมือนเสียงสวรรค์เลย ดีใจแบบบอกไม่ถูก พี่ทหารพาเดินขึ้นลงเขาไปนิดเดียว มองลงไป เห็นที่รถจอดเลย (จำได้ว่าพวกเราเดินวนอยู่บริเวณนั้นหลายรอบ ยังไม่เห็นที่จอดรถ มันไม่เห็นเลย เห็นแต่ต้นไม้บัง ๆ)
พอ กลับมาได้ไม่กล้ากลับขึ้นไปอีกเลยครับ พี่กุ้งคือทหารที่มาพบพวกพวกเรา ได้เล่าให้ฟังว่าพวกพ่อแม่วุ่นวายกันมาก เกณฑ์คนออกตามหาพวกเราแต่ไม่เจอ พระท่านบอกว่า ตอนนี้มีเด็กหลงอยู่บนเขา ไม่ต้องห่วง เขาจะกักไว้หนึ่งคืน พรุ่งนี้เขาก็ปล่อยมาเอง
ขอเล่าโดยละเอียดนะครับ คณะผ้าป่าของเรามาถึงอำเภอไทรโยคในตอนบ่าย เด็กอย่างเราไม่คิดเข้าร่วมพิธี อยากเดินเล่นเที่ยวป่าเที่ยวถ้ำมากกว่า ได้ยินมาว่าบนเขาไม่ไกลจากวัดมีถ้ำ เราจึงเดินไปถึงแถว ๆ ที่มีเพิงขายของหลายหลัง ตอนนี้กลับดูร้างมาก กับมีป้ายข้อความสีแดง มองผ่านตาคือปิดปรับปรุง
เผอิญไปเจอคนดูแลแถวนั้นเป็นชายวัยกลางคนกำลังถือค้อนตีตะปูซ่อมแซมเพิง พอพวกเราเข้าไปถาม ได้ความว่าสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว คนจะมากันมากในช่วงวันหยุด มีคนมาเที่ยวเยอะถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ของอำเภอไทรโยคเลยก็ว่าได้
พวกผมได้ฟังก็พากันตื่นเต้นอยากไปเพราะกลุ่มผมชอบเที่ยวดูกันอยู่แล้วก็ ที่สำคัญมีศาลใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กันด้วย คุยกันสักพักพวกผมก็ลงมติว่า ใหน ๆ ก็อุตส่าห์มาตั้งไกลทั้งทีก็เลยตัดสินใจไปต่อ อยากเห็นถ้ำที่ว่าเพราะได้ยินคำเล่าลือมาว่าสวยมาก กะว่าจะพากันเที่ยวดูสักพักก็กลับ ชายคนนั้นไม่แนะนำให้ไปกันเอง เพราะเจ้าหน้าที่ได้สั่งปิดปรับปรุง แต่ถ้าสนใจจะพาขึ้นไปดู ขอค่าจ้าง 300 จะนำทางให้
เราคะเนระยะทางถึงยอดเขาไม่ไกลนัก แค่ป้ายห้ามมีหรือจะหยุดเด็กวัยรุ่นห้าว ๆ อย่างพวกเราได้หรอก ตอนนั้นยังเห็นมีวัยรุ่นกลุ่มนึงเดินนำไปก่อน เราก็ตามไปด้วย ไม่จำเป็นต้องจ้างลุงนำทางให้เสียเงิน เดินขึ้นเขาไปได้หน่อยเดียวก็เจอเข้ากับศาลกับป้ายบอกทางไปถ้ำบอกระยะทาง 2 กิโลเมตร ไกลเอาเรื่อง ทั้งนี้เพราะทางเดินในป่าไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงนี่ครับ ด้วยพื้นที่ลาดชัน ต้องเดินอ้อมไปอ้อมมามีความคดเคี้ยว เราก็ปลอบใจกันเองไปเที่ยวที่อื่นเคยเดินไกลกว่านี้
ติดตามรับฟัง ได้จากลิ้งก์ที่ลงไว้ครับ https://www.youtube.com/watch?v=Se91g1-zWKU