กังฟู คือวิชาการต่อสู้ชนิดหนึ่งของจีน เคลื่อนไหวรวดเร็ว ต้องฝึกความแกร่งกำลังกายควบคู่ให้พัฒนาไปกับสมาธิ มุ่งหวังทำความเสียหายให้มากที่สุด ในเวลาที่น้อยที่สุด ในขณะโจมตีต้องคิดป้องกันตัวตลอดเวลาด้วย

โยคะ เป็นศิลปะฝึกฝนร่างกายของอินเดีย ให้เกินขีดจำกัดที่คนทั่วไปจะทำได้ โยคะเชื่อในความเป็นหนึ่งเดียว ฝึกปรือเพื่อพัฒนาให้กายและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่องช้า แต่เน้นสมาธิ เน้นความอ่อนช้อย เน้นความยืดหยุ่นของร่างกาย

เมื่อผู้ฝึกกังฟูไปเรียนโยคะ หรือผู้เรียนโยคะไปฝึกกังฟู ทางทฤษฎีเขาอาจจะสามารถเรียนได้เร็วกว่าคนธรรมดา เพราะสิ่งที่ กังฟู กับ โยคะ สอนคล้ายๆกัน นั่นคือวิธีทำสมาธิ ทำให้ร่างกายและจิตใจสมดุลกัน ทั้งสองวิชามีเป้าหมายคล้ายกัน นั่นคือเพื่อให้จิตใจสงบ รับรู้ถึงความสุขที่แท้จริงข้างใน ปกป้องจิตใจจากสิ่งรบกวนภายนอก จึงถือได้ว่าทั้ง กังฟู และ โยคะ จะทำให้คนที่ได้เรียน ยกระดับจิตใจตัวเองได้อย่างแน่นอน ในอีกทฤษฎี ถ้าผู้ฝึกโยคะไปเรียน ไทชิ หรือ หย่งชุน ก็สามารถเพิ่มสมดุลและความมั่นคงของร่างกายได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน



มีซีนหนึ่งในหนังที่ เฉินหลง ติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ทางเดียวที่จะหนีออกมาได้ คือผ่านทางแม่น้ำใต้พื้นน้ำแข็ง เพื่อที่จะหนีเขาต้องดำน้ำฝ่าไป โดยต้องกลั้นหายใจนานถึง 8 นาที ซึ่งนี่ละคือหนึ่งจุดที่หนังนำมาใช้ เพราะมันมีเทคนิคของโยคะอย่างนึง ที่สามารถยืดระยะลมหายใจ ด้วยการสูดอากาศเข้าไปเพียงครั้งเดียว




กังฟูโยคะ คือหนังแอ็คชั่นคอมเมดี้ผจญกัย ที่ให้ความเคารพต่อวัฒนธรรมจีนและอินเดีย สแตนลีย์ ตง จึงเป็นคนที่เหมาะมแล้ว กับการมากำกับโปรเจคนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผลงานของเขาไม่ได้ถูกจำกัดแค่ให้คนที่เข้าใจภาษาจีนดูรู้เรื่องเท่านั้น หนังเรื่องนี้ถ่ายทำกันทั่วโลก เพื่อให้พล็อตเรื่องดูสมจริงมากขึ้น นอกจากประเทศจีน กองถ่ายยังได้บินไปถ่ายทำกันถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินเดีย และ ไอซ์แลนด์  

สแตนลีย์ ตง เคยทำงานทั้งในฐานะนักแสดงศิลปะป้องกันตัว ทั้งคนควบคุมความต่อเนื่อง เคยเป็นตากล้อง เป็นนักออกแบบคิวบู๊ เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ เป็นทั้งผู้กำกับและนักเขียนบท ต่อมาเขาเข้าไปทำงานในฮอลลีวู้ดเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ผลที่ได้คือทักษะที่เพิ่มขึ้น เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำหนังสเกลใหญ่ ที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ สแตนลีย์ ตง เตรียมสตอรี่บอร์ดสำหรับการถ่ายทำหนังเรื่องกังฟูโยคะไว้ 110 วัน เพื่อจำกัดเรื่องงบบานปลาย



การถ่ายทำเป็นไปด้วยความลำบาก เพราะเนื่องจากแต่ละสถานที่ถ่ายทำอยู่คนละทวีปกันเลยนั่นเอง เพราะเหตุนี้ กองถ่ายจึงต้องรวบรวมทีมงานเฉพาะกิจซึ่งเป็นคนพื้นที่ประเทศนั้นๆ และต้องขออนุญาติเจ้าหน้าที่แต่ละประเทศ เพื่อจะได้ถ่ายทำตามกฏของแต่ละประเทศที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งกองถ่ายก็ได้รับความสนับสนุกจากรัฐบาลทุกประเทศเป็นอย่างดี ทำให้การถ่ายทำราบรื่นกว่าที่คิดไว้

ถ้ำน้ำแข็งที่กองทหารอาณาจักรโบราณหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนแรกมีการวางแผนถ่ายทำกันที่ ภูเขาไคแลช ในธิเบต แต่มันสูงกว่าระดับน้ำทะเลเกินกว่าที่จะถ่ายทำอย่างปลอดภัยได้ ตง จึงตัดสินใจย้ายไปถ่ายกันในไอซ์แลนด์แทน ซึ่งเขาเชื่อว่าภูมิภาคนี้ มีทุ่งน้ำแข็งที่สวยที่สุดในโลก



    หนังส่วนใหญ่ของ สแตนลีย์ ตง จะคำนึงถึงคนดูทั่วไปทั้งโลก ไม่ใช่ทำมาให้ชาวจีนดูอย่างเดียว จึงมีบทพูดภาษาสากลแทรกมาอยู่ในเรื่องราวด้วย และคำว่า “ภาษาสากล” ที่ว่านี้ ยังหมายถึงงานกล้อง เนื้อเรื่อง การแสดง และพล็อตเรื่อง ซึ่งนั่นก็คือ หนังไม่ต้องใช้บทพูดมาก แค่ภาษาภาพ ภาษากาย มุขตลก และมุมกล้อง ที่ผู้ชมทั่วโลกก็สามารถเข้าใจได้

      สแตนลีย์ ตง ให้ความเห็นว่า ทุกวันนี้ผู้ชมส่วนใหญ่ในโลก ไม่มีความอดทนพอสำหรับหนังที่เล่าเรื่องเนิบนาบ พวกเขาอยากเห็นตัวละครสุดตระการตาในหนังที่เล่าเรื่องได้อย่างกระชับ กังฟูโยคะ จึงมีทั้งฉากชนช้าง และ ขับรถไล่ล่ากลางเมือง ไหนจะไฮยีน่าอีก หนำซ้ำยังมีสิงโตเป็นแขกไม่ได้รับเชิญอยู่เบาะหลังรถเฉินหลงด้วย เรียกว่าจัดเต็มความบันเทิงตามสูตรนิยมกันเลย - -"



สรุปคือ กังฟู เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมจีน เช่นเดียวกับ โยคะ ที่เป็นสัญลักษณ์วัฒนธรรมอินเดีย เมื่อเนื้อเรื่องนี้ เกิดขึ้นทั้งในจีนและอินเดีย ความเป็นอินเดียจึงถือเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน กลิ่นอายท้องถิ่นชมพูทวีปถูกเพิ่มมาในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตลาดสด มายากลต่างๆ เช่นกลเชือก คนกินไฟ หมองู กลืนดาบ และการลอยตัว ฯลฯ เป็นต้น

เมื่อทีมงานและนักแสดง รู้ว่าพวกเขาต้องเต้นสไตล์บอลลีวู้ด มันทำให้เกิดความกังวลไม่น้อย โดยเฉพาะกับทีมสตั๊นท์ของเฉินหลง ที่เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่การเต้น! 555+ บรรยากาศความฮา จึงอบอวนไปหมดระหว่างซ้อมก่อนแสดงจริง พวกเขาได้สร้างฉากเต้นสไตล์บอลลีวู้ดออกมาได้อย่างตระการตา

แม้จะมีไม่กี่ฉากที่ถ่ายกันใน หั่วโหลว สตูดิโอ นอกเมืองปักกิ่ง แต่ผู้กำกับก็ทำงานกับแต่ละฉากด้วยความปราณีต มีการจำลอง "วิหารนาลานดา" และสิ่งปลูกสร้างละแวกใกล้เคียงขึ้นมาใหม่ ทีมสร้างจำลองฉากขึ้นมาในลานขนาด 5000 ตารางเมตร ภายในสตูฯแห่งนี้จึงมีทั้ง  ถ้ำ เส้นทางลับ และต้นไม้ มันสมจริงจนนักแสดงตะลึงไปเลย และเพื่อเพิ่มเติมคุณภาพเข้าไปอีกให้หนำใจ ทีมนักแสดงจากอินเดีย รวมถึงครูฝึกเต้น ทั้งเสื้อผ้า และอุปกรณ์ประกอบฉาก ล้วนถูกส่งตรงมาจากอินเดียทั้งสิ้น




    แจ๊ค (เฉินหลง) คือศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีชื่อดัง ของพิพิธภัณฑ์นักรบดินเผาแห่งเมืองซีอานประเทศจีน วันหนึ่ง ดร.แอชมิตา (ดิชา พาตานี) นักโบราณคดีสาวชาวอินเดียนำแผนที่บางอย่างดั้นด้นมาหาแจ๊ค  ซึ่งแผนที่นี้อาจจะเป็นเบาะแสสำคัญแห่งขุมสมบัติอาณาจักรโบราณที่สาปสูญ



       ดร.แอชมิตาเชิญแจ๊คให้เข้าร่วมทีมสำรวจของเธอ เพื่อเดินทางไปยังประเทศทิเบต ซึ่งคณะเดินทางของแจ๊คนั้นก็มีอาจารย์ผู้ช่วยของแจ๊ค เสี่ยวกวง (เลย์ จาง) และ โหมวหมิน (หมู่ชี่หมีหย่า) เดินทางไปด้วย ส่วนทางด้านดร.แอชมิตา ก็มีผู้ช่วยสอนเดินทางไปด้วยเช่นกัน เธอคนนั้นคือ ไคร่า (อไมรา ดัสตู)

    ทีมสำรวจนี้ยังได้ตัวของ โจนส์ ลี (หลี่จื้อถิง) ลูกชายเพื่อนสนิทแจ๊คไปช่วยงานด้วย ซึ่งโจนส์ถนัดการใช้ GPS สุดล้ำและการจำลองภาพด้วย VR ทำให้ทีมสำรววจนี้สามารถระบุพิกัดถ้ำน้ำแข็งได้อย่างแม่นยำ นำไปสู่การค้นพบกองทัพหลวงแห่งอาณาจักรโบราณ ที่หายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อพันกว่าปีที่แล้วได้สำเร็จ



       แจ๊ค ขอความช่วยเหลือจาก เจียนกัว (เจิ้งจื้อเหว่ย) ช่างขุดเจาะระดับเทพ ที่อาสาเปิดปากถ้ำให้ทีมเข้าไปสำรวจ แต่กลับกลายเป็นว่า ทั้งกลุ่มโดนซุ่มโจมตี ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีคือ แรนดัลล์ (โซนู ซูด) ผู้สืบทอดเชื้อสายจากผู้นำกลุ่มกบฏที่มาพร้อมกลุ่มทหารรับจ้าง



       ท่ามกลางความชุลมุน โจนส์ แอบนำเพชรออกมา ก่อนจะชิ่งหายตัวไป ทิ้งให้ทีมสำรวจเพื่อนๆของตนติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง จุดหมายต่อไปของทีมสำรวจจึงอยู่ที่ดูไบ ที่ซึ่งเพชรเม็ดงามจากถ้ำน้ำแข็งที่โจนส์ขโมยมา กำลังจะถูกนำออกประมูล



      หลังจากผ่านการหักเหลี่ยมเฉือนคม ที่เปิดเผยอดีตอันลึกลับของแต่ละคนออกมาทีละน้อย ทีมสำรวจก็เดินทางอีกครั้ง โดยครั้งนี้จุดหมายคือวัดบนภูเขาในอินเดีย เพราะที่วัดแห่งนี้มีขุมสมบัติ ที่ต้องใช้เพชรจากถ้ำน้ำแข็งที่ว่า มาเป็นกุญแจปลดล็อคสมบัติที่ไม่สามารถประเมินค่าได้..