คืนวันเข้าค่ายยุวกาชาด

สวัสดีคะ วันนี้ตอนกลับบ้าน รถตู้ขับผ่านโรงเรียน มีเด็กๆเดินออกมาจากด้านหน้า เห็นแล้วก็อดนึกถึงตัวเองตอนที่เป็นเด็กประถมไม่ได้ มีเพื่อนๆเล่นกระโดดยาง เป่ากบ ตัดผมสั้นมีหน้าม้าสั้นๆ แต่สิ่งที่ทำให้ชะงักตอนนึกถึงสมัยเด็กประถม ก็ไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นอีกนั้นละนะ
ในตอนที่เรียนประถม พ่อของเราอยากจะให้ลูกมีโอกาสที่ดีอยู่ในสังคมที่มีคนเมือง เราเลยได้มีโอกาสได้เรียนโรงเรียนประจำจังหวัดในตอนนั้น จากอนุบาลจนถึงประถม6  โรงเรียนเมื่อก่อนเขาเรียกโรงเรียนวัดคะ เพราะด้านหลังของโรงเรียนก็เป็นวัด ที่ดินที่ตั้งก็คือที่ดินของวัดคะ
   เวลาจะไปเรียนวิชาพระพุทธศาสนาเด็กๆก็จะเดินเรียงแถวไปที่วัด ไปนมัสการหลวงพี่เพื่อสอนเกี่ยวกับศาสนาคะ บ้านเราห่างจากโรงเรียน 25km จะไปโรงเรียนทีก็ต้องตื่นแต่เช้า ด้วยเป็นเด็กต่างจังหวัด โรงเรียนประจำจังหวัดของประถมก็ไช่ว่าจะดูดีนะคะ ตอนเราอยู่อนุบาลพอจะจำได้ว่า ตึกเรียนเป็นไม้ทั้งหมด แต่นานวันเข้ามันถูกทิ้งร้างคะ  สร้างตึกเป็นปูนแทน แต่มีแค่ตึกไม้ที่เราเคยอยู่ตึกเดียวที่ยังไม่ทุบ อาจจะเป็นเพราะยังไม่ได้ทำพิธีอันเชิญวิญญาณของคนๆหนึ่งคะ เรื่องนี้เราไม่ค่อยรู้เท่าไร เขาเล่ากันว่า ที่ตึกไม้นั้น เมื่อถูกทิ้งร้างก็มักจะมีคนแอบเข้าไปข้างในตอนกลางคืน แอบไปเสพยาบ้าง กินเหล้าบ้าง อยากลองดีบ้าง เจอดีมาก็เยอะ เพราะก่อนหน้าตึกจะร้างมีครูคนหนึ่งเคยผูกคอตายที่นั้นน่ะคะ มีปัญหาชีวิตกับสามี เรื่องมีน้อยหรืออะไรนี้ละคะ บางคนก็บอกว่าแกท้อง แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้หรอกว่าจริงไม่จริง  เลยเป็นที่มาของตึกร้าง  ลักษณะตึกนี้ก็เป็นแบบมีใต้ถุนอะคะ เวลาเดินจะได้ยินเสียงไม้ ช่วงที่เราเรียนบางวันก็เดินผ่านไปแถวนั้น ประตูทุกบานจะถูกปิดล็อคกุญแจไว้คะ มีบานหนึ่งโดนทุบเข้าไป เราเดินผ่าน นึกสนุกอะไรก็ไม่รู้ เดินเข้าไปแอบมองในนั้น ในนั้นมีฝุ่นเต็มไปหมด มีโต้ะหนึ่งตัวและเชือกที่ห้อยลงมาจากเพดานหนึ่งเส้นที่ถูกตัดขาดออก เราเดาว่านั้นน่าจะเป็นเส้นเดียวกันกับที่ครูใช้ปิดชีวิตตัวเอง ด้านในไม่น่าจะมีลม แต่เรากลับเห็นว่าเชือกนั้นมันกำลังขยับ ปกติเชือกจะงอเวลาเราปล่อยไช่มั้ยคะ แต่ที่เราเห็นคือเชือกมันตึง เป็นเด็กก็ไม่รุ้อะไร ยืนมองต่อ เพราะอยากเห็นข้างในนั้น แต่เพื่อนก็เรียกให้ไปเล่นที่อื่นต่อ เราเลยเจอแค่นั้น นึกมาตอนนี้ก็รู้สึกขนลุกเหมือนกันนะคะ ถ้านานกว่านั้นจะเจออะไรไม่อยากจะนึกเลย  

    พอเวลาผ่านไปความเจริญก็เข้ามาคะ  ตอนนั้นเราขึ้นปอ 4 แล้วคะ  ตึกไม้ถูกทุบคะ ก่อนทุบทางโรงเรียนได้มีการทำพิธีสวดส่งคุณครูด้วย แต่ว่าไม่ได้บอกทางผู้ปกครองว่ามีอะไรนะคะ  ก็เหมือนทำพิธีขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนสร้างตึกเก่าเป็นตึกใหม่ละมั้งคะ  ในตอนสร้างปกติจะเสร็จประมาณ 1 ปี แต่ด้วยสาเหตุต่างๆนาๆเลยทำให้การสร้างล่าช้า คนงานบาดเจ็บบ้าง แบบแปลนไม่ถูกต้องบ้างต้องแก้โน้นนี้ เรียกได้ว่ามีปัญหาบ่อยเลยคะ ส่วนเราในตอนนั้นก็ไปเรียนตามปกติไม่ได้ใส่ใจอะไรเกี่ยวกับตึกนั้น วิ่งเล่นตามประสา ไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าตกใจ
     แต่จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ก็ตอน ตึกสร้างเสร็จในปีที่เราขึ้นมอหกพอดีนี้ละคะ ทางโรงเรียนจัดให้ตึกนี้เป็นที่เรียนของเด็กปอ 4-6 ซึ่งมีทั้งหมด 4 ชั้น แต่ละชั้นมี 4 ห้อง ใหม่เอี่ยม ไม่หลงเหลือภาพตึกไม้  แน่นอนปอหกก็ต้องได้ชั้นบนสุด แถมไม่มีลิฟอีกต่างหาก ถ้ามีงบคงเยอะมากเลยคะในตอนนั้น
เรากับเพื่อนดีใจมากที่ได้ย้ายมาอยู่ตึกนี้ เป็นตึกใหม่ เก้าอี้ใหม่ และที่สำคัญมีครูคนใหม่ สวยและน่ารักมาสอนด้วย เป็นครูฝึกสอนน่ะคะ
     ที่เราแปลกใจคือ ทุกคนที่โรงเรียนจะไม่ค่อยมีใครกล้าอยู่ตึกนี้จนถึงดึกเลยคะ ค่ำๆก็จะกลับ  สงสัยอยู่ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่สนใจอีกนั้นละ ได้ตึกใหม่สนุกจะตายไป คงไม่มีอะไรหรอก แว๊บหนึ่งเรื่องแม่เราก็เข้ามาในหัวชะงั้น รู้สึกกล้วขึ้นมาเลย เมื่อจะนึกถึงเรื่องผี จะนึกถึงแม่ตัวเอง ตลกดีเหมือนกัน
    เด็กปอ6 ทุกคนต่างติวเพื่อนที่จะสอบเข้ามอหนึ่ง เราก็ด้วยที่จะต้องเตรียมตัวเพื่อสอบ แต่ก่อนจะจบปอหกเราคิดว่าทุกคนคงจะเจอกิจกรรมนี้นะคะ เข้าค่าย พวกปอหกจะเป็นพี่ค่ายคะ ดูแลพวกน้องๆในการตั้งฐานต่างๆ โรงเรียนเราผู้หญิงเรียนยุว ส่วนผู้ชายจะต้องเรียนลูกเสือคะ นั้นละเราก็ต้องเรียนยุวแถมเป็นพี่ค่ายอีก ไม่ชอบเอาชะเลย ตั้งแต่เกิดมาจนมอหก เราไม่เคยไปนอนที่อื่นไกลๆเลยคะ อย่างมากก็นอนบ้านน้าข้างบ้าน แอบกลัวว่าจะนอนไม่หลับด้วย กลัวที่จะอยู่ที่อื่นที่ไม่คุ้นด้วยคะ ซึ่งเข้าค่ายมันก็ต้องมีนอนค่ายถูกมั้ยคะ ตรงนี้ละคะที่ไม่ชอบ แต่พ่อก็อนุญาตให้มา ทำไงได้ละคะ เพื่อนๆก็ไม่ยอมด้วย อยากให้มานอนด้วยกัน เด็กๆอย่างเราติดเพื่อน เพื่อนทำไรก็ทำตามนั้นละคะ เอาก็เอา
     โรงเรียนเราจะเดินทางไกลอ้อมอ่างเก็บน้ำคะ แล้วจะวนกลับมาที่โรงเรียน เราตั้งฐานกฎของยุวกาชาดคะ สนุกมากจนลืมความกลัวไปเลยคะ น้องๆที่ท่องไม่ได้ก็โดนทำโทษไป นึกแล้วตอนนั้นคิดว่าตัวเองไร้สาระมาก555 ประมาณ 4 โมงได้ น้องๆหมู่สุดท้ายก็เสร็จพอดีคะ เราและเพื่อนก็เก็บของเก็บกระเป๋าขึ้นไปไว้บนตึกคะ ตึกที่ครูให้นอนคือตึกใหม่ เพราะจะสนุกที่สุดเรื่องห้องน้ำและความสะอาดคะ  ค่ายยุวกาชาดแต่ละหมู่จะต้องมีการแสดงไช่มั้ยคะ เรากับเพื่อน3คน คัดน้องๆมาสามคนคะมาร่วมแสดงในหมู่ของเราด้วย เป็นพี่ค่ายมีสิทธิพิเศษคะ ขอครูแยกตัวน้องๆออกมาจากหมู่เพื่อจะไปซ้อมการแสดงบนดึกคะ ครูบอกว่าให้แอบไปซ้อมเงียบๆอย่าเปิดไฟให้คนอื่นสังเกตละ ครูเขาอยากให้ทุกคนแปลกใจคะว่าไปซ้อมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ครูเลยให้ไฟฉายมาคะ ชั้นที่ต้องนอนคือชั้น3 ของอยู่ชั้นสามเลยพาน้องๆเดินขึ้นบันไดไปชั้นสามกันคะ ตอนนั้นยอมรับว่ากลัวคะ แต่เป็นพี่ค่ายมันต้องกล้าสิ อยากโชว์ภูมิเป็นพี่ใหญ่ แต่มันก็มืด จนน่าขนลุกจริงๆคะ ได้เห็นแสงสว่างจากไฟฉายและมีแสงจากพระจันทร์ช่วยคะ ช่วงนั้นเป็นคืนเดือนหงายคะ  เราและน้องๆเดินตามกันมาถึงชั้นสอง มองเห็นหอประชุมมีแสงไฟ ทุกคนกำลังร้องเพลงกันสนุกเลยคะ แต่พอตัดภาพมายังทางเดินขึ้นบันได เรากลับรู้สึกว่ามันเงียบจัง ได้ยินเสียงเดิน และลมหายใจ สักพักเพื่อนสะกิดแขนบอกว่ารู้สึกเหมือนมีคนตามขึ้นบันไดมา ครั้งแรกที่ได้ยินเรากลัวคะ แต่เป็นคนถือไฟฉาย กลัวว่าน้องๆจะกลัวเลยส่องไฟแสดงความกล้าให้เห็นว่าไม่มีอะไรหรอก พอส่องไปก็ไม่เจออะไรคะ ทีนี่เอายังไงต่อน้องๆเริ่มเงียบ กลัว อยากกลับไปที่หอประชุมกัน การแสดงต้องแสดงไม่ได้หรอก ไปบอกครูว่ากลัวแกจะว่ายังไง เราเลยนึกขึ้นได้ว่าอ้าวเพื่อจะบืมความกลัว มาร้องเพลงยุวกาชาดกัน ท่องกฎไปด้วยจะได้เป็นการจำบทไปด้วยคะ เพราะในตอนท้ายการแสดงจะต้องพูดกฎยุวกาชาด แต่ยิ่งร้องยิ่งเดินเสียงยิ่งก้องอาจจะเป็นเพราะขึ้นมาถึงชั้น 4 แล้วมันสูงมั้งคะ ท่องถึงกฎข้อสุดท้าย เราได้ยินเสียงปรบมือจากด้านหลังของกลุ่มเราที่เดินมาสามครั้ง แปะ แปะ แปะ แล้วก็เงียบไป ทุกคนอึ้งเงียบอีกครั้ง เรามือสั่นส่องไฟฉายไม่อยู่กับที่แล้วคะ กลัวขนลุก ถามน้องๆว่าใครปรบมือ ไม่มีใครตอบว่าตัวเองทำเลยคะ เราเลยพูดแบบขำๆว่าพี่เองละ น้องๆหัวเราะกันยกใหญ่ ว่าเราแกล้ง ใจเรานี้เต้นรั่วเลยคะ เสียงปรบมือของใคร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่