สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่จะแชร์ประสบการณ์ในการเตรียมสอบ TOEIC ภายในเวลาหนึ่งเดือนนะคะ
โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนที่เรียนในโรงเรียนไทยค่ะ ไม่ได้คุ้นชินกับภาษาอังกฤษขนาดนั้น และมักถูกคาดหวังจากคนอื่นว่าน่าจะต้องเก่งภาษา เพราะเคยไปแลกเปลี่ยน ทั้งๆที่จริงๆแล้วเนี่ย ประเทศที่ไปไม่ได้พูดภาษาอังกฤษค่ะ ผลคือภาษาอังกฤษแย่ยิ่งกว่าตอนไป แค่ว่าไม่เคอะเขินถ้าต้องเจอฝรั่งเท่านั้นเอง
ปัญหาหลักของเราคือ แกรมม่าร์เราแย่มากค่ะ เรียกว่า 12 Tenses ยังจำได้ไม่หมด รวมถึงศัพท์ด้วยค่ะ ดังนั้นเนี่ย ส่วนของ Reading จึงถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ เดี๋ยวจะกล่าวต่อไปด้านล่างนะคะ
ก่อนอื่นเหตุผลที่เลือกสอบ TOEIC เนื่องจากวางแผนไว้ว่าอยากไปซัมเมอร์ต่างประเทศค่ะ แล้วเขาต้องการผลทดสอบทางภาษา ซึ่งมีให้เลือกได้ทั้ง TOEFL IELTS และ TOEIC แต่เพราะไม่ได้เตรียมอะไรเลย และเวลากระชั้น เลยเลือก TOEIC ซึ่งราคาถูก ข้อสอบมีเพียง Reading และ Listening เหมาะกับระยะการเตรียมตัวที่สั้น เผื่อผลสอบแย่จะได้เจ็บตัวน้อยหน่อยค่ะ แหะๆ ดังนั้นการเลือกจะสอบแบบไหน ให้ศึกษาข้อมูลให้แน่ใจก่อนนะคะ
มาสู่ขั้นตอนการเตรียมตัวกันค่ะ
1.ศึกษาลักษณะข้อสอบค่ะ ข้อสอบ TOEIC จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ Listening และ Reading โดยจะแบ่งย่อยลงไปอีก 7 ส่วนค่ะ ดังนี้
Listening 100 ข้อ เวลา 45 นาที
Part1 : Photographs 10 ข้อ
Part2 : Question-Response 30 ข้อ
Part3 : Conversations 30 ข้อ
Part4 : Short Talks 30 ข้อ
Reading 100 ข้อ เวลา 75 นาที
Part5 : Incomplete Sentences 40 ข้อ
Part6 : Text Completion 12 ข้อ
Part7 : Reading Comprehention 48 ข้อ
(จำนวนข้อจะถูกปรับประมาณช่วงกลางปีนะคะ ลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ)
2.เมื่อศึกษาแล้ว ให้ประเมินผลตัวเองค่ะ อย่างเราคือไม่เก่งแกรมม่าร์ แปลว่า เราต้องเน้น Part5 เป็นหลัก ทำไมถึงต้องประเมิน? เพื่อที่จะได้ช่วยให้เราแก้ไขจุดบกพร่อง หรือเพิ่มเวลาศึกษามันค่ะ ตอนแรกเราเอาหนังสือแกรมม่าร์มากางอ่านเลย สักพักมองไปที่ปฏิทินแล้วก็เริ่มรู้สึกว่า ไม่น่าจะทันแน่ๆ จึงลองหาทางอื่นที่เหมาะสม
3.กำหนดช่วงเวลาที่จะไปสอบ สร้าง Deadline ให้ตัวเองค่ะ ค้นพบว่าเป็นวิธีกระตุ้นชั้นดีมากๆ เพราะเราจะเห็นความเดือดของตัวเองว่ากำลังจะไม่รอดค่ะ 5555
4.หาข้อสอบมาทำเยอะๆ ลองเสิร์ชใน Google นะคะ หนังสือสำหรับ TOEIC มีเยอะมากจริงๆ อย่าลืมโหลดไฟล์เสียงมาด้วยนะคะ หนังสือที่แนะนำมีทั้งหมดสามเล่มคือ
-Collins Skills for the TOEIC Test
เล่มนี้ดีมากค่ะ และเหมาะสำหรับฝึกระดับต้น พาร์ทฟังถือว่าฟังง่าย พอให้คุ้นชินกับวิธีพูดในข้อสอบ เรียกว่าเป็นเล่มเรียกความมั่นใจดีกว่า เมื่อทำได้แล้วก็จะใจชื้น รู้สึกมีแรงฮึกเหิมให้ทำต่อค่ะ เราไม่เคยสนใจข้อสอบ TOEIC เลย มาเจออันนี้เลยทำให้หายกลัวไปได้เปลาะหนึ่ง
วิธีการสอนของเขาจะมีเทคนิคในแต่ละพาร์ท มีข้อสอบย่อยๆให้เราได้ฝึกฟัง ฝึกแกรมม่าร์ จนกระทั่งมีข้อสอบจริงมาให้ทำค่ะ
-Barron's TOEIC Practice Exams
เล่มนี้เป็นเล่มที่ให้กำลังใจรองลงมาจากเล่มบนค่ะ มีความเหมือนจริงอยู่พอสมควร คือก็คล้ายๆข้อสอบจริงนะแต่แอบง่ายกว่านิดนึง แบบนิดนึงงงจริงๆ เล่มนี้หาโหลดได้แค่ส่วนข้อสอบและ Answer Key เลยไม่รู้ว่าส่วนที่สอนวิธีทำข้อสอบเป็นยังไงบ้าง
-Oxford Tactics for TOEIC Listening and Reading Test
ปราบเซียนเว่อออออออออออออ คือถ้าถูกอันนี้เยอะๆก็มั่นใจคนไทยทำได้แน่นอนค่ะ 555555 Listening ฟังๆนี่มีเบลอหลายรอบมาก ความมั่นใจที่สั่งสมพังทลาย แต่ แต่! ต้องทำเลยค่ะ Must Have มากๆเล่มนี้ สำหรับเรารู้สึกว่าข้อสอบความยากอยู่ระหว่าง Barron's กับ Oxford ค่ะ ดังนั้นถ้าผ่านปราบเซียนได้ คะแนนจะหนีเราไปไหนล่ะคะ หืมมมม
สำหรับคนที่สามารถอ่านในคอมได้ หาโหลดนะคะ เวลากระชั้นชิดแบบนี้ ข้อสอบเยอะๆ จะทำให้เราคุ้นชิน ไม่ตื่นเต้นเวลาสอบจริง จับเทคนิค เห็นแนวข้อสอบ เป็นทางลัดที่ดีในเวลาเร่งด่วนค่ะ แต่ ข้อระวังหนึ่งอย่างคือ ข้อสอบแบบนี้ จะต้องจับจ้องกระดาษราว 2 ชั่วโมง ซึ่งถ้าฟิตทำมากกว่าหนึ่งชุดต่อวันล่ะก็สายตาอ่อนล้า มองไปข้างนอกมึนหัวเบลอแน่นอนค่ะ ดังนั้นถ้าทนได้ ประหยัดงบ (เช่นเรา) โหลดลงคอมละเปิดทำค่ะ แต่ ปริ๊นออกมาทำจะทำให้สายตาล้าน้อยลงค่ะ หรืออุดหนุนของจริง ซื้อเลยได้ค่ะ เคยเจอเล่ม Barron's ขายที่ร้านหนังสือทั่วไปเลยค่ะ ราคาราว 240 บาท
5. ต่อมาเราจะมาแยกทีละส่วนกันนะคะ
Listening
พาร์ทนี้มีข้อดีคือ ทำทันแน่นอน แต่การจะทำทันนั้น เรียกว่าทำการใหญ่ใจต้องนิ่งนะคะ ท่องไว้ในใจอดีตมันไม่ย้อนคืนมา สายน้ำไม่ไหลหวนกลับ อย่ามัวแต่เศร้าโศก Move on เข้าไว้นะคะ เพราะเขาจะพูดรอบเดียว รอบเดียวจริงๆ เว้นจังหวะหายใจ 8 วิไว้ให้ฝนคำตอบ ดังนั้นถ้ามัวแต่ตึงเครียด นอกจากอาจจะผิดข้อนี้ จะผิดข้อหน้าแถม สติแตก น้ำตาตกนอง ดิ่งรัว ไม่ดีนะคะ ถ้าฟังไม่ทัน ให้ปล่อยไป แก้มือข้อใหม่เนอะ
Part1 : Photographs
ส่วนนี้ดูรูปแล้วตอบคำถาม ในข้อสอบจะมีแค่รูปมาให้ และจะมีเสียงพูดช้อยส์ A B C และ D ให้เราเลือกข้อที่ตรงกับภาพ กรณีพาร์ทนี้ เราใช้วิธีดูรูปเร็วๆก่อนหนึ่งที ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน ก่อนจะฟังช้อยส์ สมมติเราได้ยินว่าผู้หญิงใส่แว่น ให้จ้องแรงไปที่รูปค่ะ ถ้าไม่ได้ใส่ ก็ปล่อยเบลอเลย แปลว่าข้อนี้ไม่ใช่ จับคีย์เวิร์ดของช้อยส์ อย่าพยายามแปลทุกคำ เพราะเราจะไม่มีสมาธิฟังที่เขาพูดต่อไปค่ะ
Part2 : Question - Responses
ส่วนนี้ทั้งหน้าจะมีแค่เลขข้อและไม่มีสิ่งใดให้อีก ทั้งคำถามและคำตอบ คือเขาจะถามคำถามมา เป็นเหมือน Short Conversation ของ A กับ B แบบ A พูดอันนี้ B จะตอบว่าอะไร ส่วนนี้จะมีความแซ่บตรงมีความหลอกล่อค่ะ อารมณ์มีคำพ้องเสียงมาให้เรา หลอกล่อให้เผลอตัวตอบ แนะนำว่าฟังบริบทดีๆนะคะ จับใจความคำถาม เช่น ถามว่า Where? When? How long? จะต้องตอบแบบไหน หรือ! บางทีมาแค่บทสนทนาค่ะ อันที่ได้ยินบ่อยมากระดับที่ทุกข้อสอบที่ลองทำเจอ และไปเจอในห้องสอบคือ ฝนตกนะจ๊ะข้างนอกน่ะ และตอบว่าไม่เป็นไรฉันมีร่ม เห็นมั้ยคะ ไม่มีคำถาม Question ตรงไหน ไม่มีใครทราบ แต่มันก็มาค่ะประโยคประมาณนี้ จับจุดให้ได้ นึกภาพว่าเขาคุยที่ไหน อย่าใส่ใจว่าศัพท์นี้ต้องตอบศัพท์แบบเดียวกัน มันหลอกล่อเราค่ะ อีกอย่างคือ พาร์ทนี้ไม่มีข้อ D นะคะ ดังนั้นฝน C ก็อย่าฝนผิดชิดซ้ายนะคะ ฟาวเลยนะ หรือจะทิ้งดิ่งก็อย่าโป๊ะนะคะ
Part3 : Conversations
เป็นการคุยยาวจาก Part2 ค่ะ แต่จะเริ่มเห็น Situation ของแต่ละข้อ เห็นสถานที่ แต่ละบทสนทนาจะมีคำถามสามคำถาม วิธีของเราซึ่งความจำเท่าปลาทองคือ ระหว่างที่เสียงประกาศพูด Direction หรือคำสั่งของพาร์ทนี้ เราจะเริ่มอ่านคำถามและคำตอบทั้งหมดของบทสนาแรกค่ะ จะทำให้เห็นกลายๆว่า เกิดอะไรที่ไหน และเราจะต้องเน้นฟังตรงไหนเป็นพิเศษ จะได้ไม่เผลอใจฟังทุกอย่างในนั้นจนลืมค่ะ แล้วพอจบบทสนทนา เขาจะทวนคำถาม ระหว่างทวนเราก็จะไปอ่านคำถามของข้อต่อไปรอค่ะ แนะนำว่าฟังดีๆ อย่าเพิ่งรีบฝน บางทีมีเบรกอารมณ์ด้วย เช่นคำถามถามว่าจะประชุมตอนกี่โมง บทสนทนามีพูดว่าตอนแปดโมง เราก็รีบฝนแปด แต่จริงๆมีพูดต่อว่าเปล่านะจ้ะ เก้าต่างหาก อย่างนี้ก็ผิดไปนะ
Part4 : Short Talks
เราทำแบบพาร์ทสามเลยคืออ่านคำถามไว้ก่อน และจับจุดให้ได้ว่าคุยที่ไหน โดยพาร์ทนี้จะเป็นคนพูดคนเดียวยาวๆ เหมือนประกาศ ถ้าหลุด ฟังไม่ทัน ไม่ต้องนั่งร้องไห้นะคะ เราอาจจะผิดไปสามข้อ แต่จงก้าวผ่านไปทำข้อต่อไปค่ะ!
Reading
ส่วนนี้นี่แหละบ่อเกิดแห่งความไม่ทัน ดังนั้นฝึกจับเวลาซ้อมไว้นะคะ บางคนอาจจะข้ามไปทำพาร์ทสุดท้ายก่อนเพราะยาวและใช้เวลาอ่านนาน แต่เราเริ่มจากพาร์ท5เพราะเป็นจุดอ่อนค่ะ ต้องกำจัดให้พ้นทาง
Part5 : Incomplete Sentences
อันนี้แนะนำว่า เสิร์ชเพจในเฟสบุ๊คเลยค่ะ พิมพ์หาคำว่า TOEIC ทุกเพจจะมีส่วนนี้ไว้ให้ลองทำพร้อมเฉลย เป็นการเรียนรู้แกรมม่าร์ฉบับรวบรัด ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้ครอบคลุมทั้งหมดในวงการภาษาอังกฤษค่ะ ข้อสอบ TOEIC มักจะออกคำเดียวกันแต่เป็น Noun , Adj , Gerund และอื่นๆ ให้เราวางให้เหมาะสมกับรูปประโยค หรือเป็นศัพท์ใกล้ๆกัน คำเชื่อมระหว่างประโยคประมาณนี้ค่ะ เอาจริงแบบจริงจังมากไม่โกหกเลยคือ หนึ่งเดือนสำหรับเราคือไม่พอค่ะ เก็บไม่หมดจริงๆ แต่พยายามอ่าน เพราะคนที่มาเฉลยเขาก็จะอธิบายไว้ด้วยว่าทำไม
Part6 : Text Completion
จะมีบทความสั้นๆ เช่น อีเมลล์ จดหมาย แล้วมีช่องว่างให้เราเติมค่ะ มีความคล้าย Part 5 แต่เบาลงมาหน่อย เราว่าที่สำคัญสำหรับพาร์ทนี้คือเวลาค่ะ เพราะเรายังมีอีกพาร์ทให้ทำ ดังนั้น ให้อ่านแบบ Scan หนึ่งรอบ และอ่านแค่ประโยคนั้นๆที่มีช่องว่างค่ะ ดูว่าควรเติมอะไรพอ จะรวดเร็วขึ้น แต่อย่าลืม Scan นะคะ อย่างน้อยควรเข้าใจว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน
Part7 : Reading Comprehention
อ่านเนื้อเรื่องแล้วตอบคำถาม มีตั้งแต่สั้นมากจนยาวมากเว่อ เราอ่าน Scan เร็วๆ 1 ครั้งให้รู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน แล้วตอบคำถามค่ะ แต่หลังๆที่ยาวมาก เราจะดูว่าเกี่ยวกับอะไร เช่น ถ้ามีอีเมลล์แนบมากับบิล เราจะอ่านอีเมลล์ก่อนให้รู้ว่าคุยเรื่องอะไร ทั้งนี้ พาร์ทนี้มีความวิชาเลขนะคะ มีการบวกลบคูณหารโดยเอาใบราคามาให้ดู อ่านดีๆ นะคะ และอย่าตื่นตระหนกกับเวลา ถ้าอีกสามสิบนาทีและเราเหลือสามสิบข้อ ยังไงหนึ่งบทความถ้าเราอ่านจับประเด็นได้ เราจะตอบได้ทีละห้าข้ออย่างรวดเร็วนะคะ
6.ไปสอบค่ะ โดยโทรไปตามเบอร์ของศูนย์สอบเลยค่ะ 02-260-7061 (กทม) แต่บอกเลยว่า โทรยากยิ่งกว่าลุ้นชิงโชคค่ะ ตอนโทรติดรู้สึกถึงโชคชะตาสวรรค์ลิขิต นอกจากการโทรจองแล้ว สามารถส่งเมล์ไปจอง ได้ที่ test_reservations@cpathailand.co.th แต่ค่ะแต่! จองได้ แต่เขาไม่คอนเฟิร์มนะคะว่าจองได้หรือเปล่า ต้องโทรไปเช็คอีกที (แล้วจะเมลล์ทำไมถ้าหนูโทรติด ฮือ) หรืออีกวิธีคือ Walk-In ค่ะ ซึ่งการจองจะต้องบอกชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชน วันเวลาที่ต้องการสอบ โดยศูนย์สอบจะเปิดจันทร์-เสาร์ มีสองรอบต่อวันคือ 9:00 และ 13:00 ต้องไปถึงศูนย์สอบก่อนเวลาเพื่อ Check-In นะคะ คิวยาวมากถึงมากที่สุด ควรเผื่อเวลาหน่อย เราเผื่อไปน้อยมาก คือเฉียดฉิว ข้อดีคือมีคนตื่นตระหนกกว่าเราเขาเข้าห้องสอบหมดแล้ว จึงทำทุกอย่างอย่างรวดเร็วค่ะไม่มีคิว ข้อเสียคือถ้าไม่ทันก็น้ำตานองเลยค่ะ เราเลือกตอนเช้าเพราะว่าถึงจะนอนน้อยหน่อย แต่ว่าเช้าๆหัวสมองปลอกโปร่งกว่าตอนบ่ายค่ะ อันนั้นเพิ่งกิน ติดไปทางง่วง
7.การเดินทางไปสนามสอบ อาคารจะอยู่ติดกับ GMM Grammy ที่อโศกค่ะ การเดินทางสามารถลงบีทีเอสอโศกและเดินมาได้ราวๆสิบกว่านาที ส่วน MRT ลงที่สุขุมวิทหรือเพชรบุรีค่ะ ไม่ต้องพกดินสอไปนะคะ เขามีเตรียมไว้ให้หมดบนโต๊ะสอบ พกบัตรประชาชน พาสปอร์ท หรือบัตรที่มีรูปไว้ค่ะ คนข้างๆ เราโดนให้เอาบัตรอื่นให้ดูด้วย ซึ่งพอไปถึง กดไปชั้น 19 ค่ะ ออกจากลิฟต์ได้หักเลี้ยวซ้ายค่ะจะเจอห้องที่ Check-In มีพนักงานบอกทุกขั้นตอน เตรียมเงินไป1,500 บาทนะคะ และอีก50บาท กรณีต้องการส่งผลสอบทาง EMS ค่ะ
ระหว่างสอบ จริงๆควรไม่มีอะไรแล้ว แต่เรามีค่ะ เล่าไว้ก่อนเลย คนข้างๆ ลบยางลบและฝนดินสอได้รุนแรงมากค่ะ เรียกว่าโต๊ะสั่น (โต๊ะหนึ่งนั่งสองคนค่ะมีที่กั้น) และไม่มีกำหนดที่นั่งสอบก่อนล่วงหน้านะคะ เจ้าหน้าที่หน้าห้องจะคอยเลือกที่ให้เราก่อนเข้าค่ะ รวมถึงตรวจวัตถุโลหะด้วย และคนข้างๆอีกข้างอ่านโจทย์งึมงำออกมาค่ะ ดังนั้น จงมีขันติค่ะทุกคน
ถ้าต้องการส่งผลสอบทาง EMS ให้กลับมาต่อแถวเพื่อจ่ายค่าส่งและจ่าหน้าซองนะคะ ผลสอบจะออกวันรุ่งขึ้น สามารถมารับได้ตั้งแต่ 10 โมงค่ะ (ถ้ามารับด้วยตัวเอง) นำบัตรประจำตัวผู้สอบมาด้วยนะคะ ถ้ามีคนมารับแทน ต้องให้บัตรประชาชนมากับคนที่มาแทนด้วยนะคะ
สุดท้ายนี้ผลสอบมาถึงบ้านแล้วค่ะ ได้ 800 ถ้วนค่ะ สิ่งอื่นที่ได้มานอกจากคะแนนคือ ความตั้งใจในภาษาอังกฤษค่ะ เรารู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถตั้งใจอ่านได้ขนาดนี้ รวมถึงการฟัง หลังจากฝึกมาหนึ่งเดือน (แบบไม่ทุกวัน) เราก็สามารถฟังอังกฤษได้ดีขึ้น ทำให้ฟัง Youtube Channel ที่ชอบได้รู้เรื่องขึ้นมาก รวมถึงอ่านได้ดีขึ้นค่ะ ดังนั้น ถึงอาจจะไม่ได้คะแนนออกมาอย่างที่ต้องการ อย่าผิดหวังนะคะ ระหว่างทางคุณได้เรียนรู้อะไรเยอะขึ้นแน่นอนค่ะ
ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ
ประสบการณ์สอบ TOEIC และการเตรียมสอบในหนึ่งเดือน
โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนที่เรียนในโรงเรียนไทยค่ะ ไม่ได้คุ้นชินกับภาษาอังกฤษขนาดนั้น และมักถูกคาดหวังจากคนอื่นว่าน่าจะต้องเก่งภาษา เพราะเคยไปแลกเปลี่ยน ทั้งๆที่จริงๆแล้วเนี่ย ประเทศที่ไปไม่ได้พูดภาษาอังกฤษค่ะ ผลคือภาษาอังกฤษแย่ยิ่งกว่าตอนไป แค่ว่าไม่เคอะเขินถ้าต้องเจอฝรั่งเท่านั้นเอง
ปัญหาหลักของเราคือ แกรมม่าร์เราแย่มากค่ะ เรียกว่า 12 Tenses ยังจำได้ไม่หมด รวมถึงศัพท์ด้วยค่ะ ดังนั้นเนี่ย ส่วนของ Reading จึงถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ เดี๋ยวจะกล่าวต่อไปด้านล่างนะคะ
ก่อนอื่นเหตุผลที่เลือกสอบ TOEIC เนื่องจากวางแผนไว้ว่าอยากไปซัมเมอร์ต่างประเทศค่ะ แล้วเขาต้องการผลทดสอบทางภาษา ซึ่งมีให้เลือกได้ทั้ง TOEFL IELTS และ TOEIC แต่เพราะไม่ได้เตรียมอะไรเลย และเวลากระชั้น เลยเลือก TOEIC ซึ่งราคาถูก ข้อสอบมีเพียง Reading และ Listening เหมาะกับระยะการเตรียมตัวที่สั้น เผื่อผลสอบแย่จะได้เจ็บตัวน้อยหน่อยค่ะ แหะๆ ดังนั้นการเลือกจะสอบแบบไหน ให้ศึกษาข้อมูลให้แน่ใจก่อนนะคะ
มาสู่ขั้นตอนการเตรียมตัวกันค่ะ
1.ศึกษาลักษณะข้อสอบค่ะ ข้อสอบ TOEIC จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ Listening และ Reading โดยจะแบ่งย่อยลงไปอีก 7 ส่วนค่ะ ดังนี้
Listening 100 ข้อ เวลา 45 นาที
Part1 : Photographs 10 ข้อ
Part2 : Question-Response 30 ข้อ
Part3 : Conversations 30 ข้อ
Part4 : Short Talks 30 ข้อ
Reading 100 ข้อ เวลา 75 นาที
Part5 : Incomplete Sentences 40 ข้อ
Part6 : Text Completion 12 ข้อ
Part7 : Reading Comprehention 48 ข้อ
(จำนวนข้อจะถูกปรับประมาณช่วงกลางปีนะคะ ลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ)
2.เมื่อศึกษาแล้ว ให้ประเมินผลตัวเองค่ะ อย่างเราคือไม่เก่งแกรมม่าร์ แปลว่า เราต้องเน้น Part5 เป็นหลัก ทำไมถึงต้องประเมิน? เพื่อที่จะได้ช่วยให้เราแก้ไขจุดบกพร่อง หรือเพิ่มเวลาศึกษามันค่ะ ตอนแรกเราเอาหนังสือแกรมม่าร์มากางอ่านเลย สักพักมองไปที่ปฏิทินแล้วก็เริ่มรู้สึกว่า ไม่น่าจะทันแน่ๆ จึงลองหาทางอื่นที่เหมาะสม
3.กำหนดช่วงเวลาที่จะไปสอบ สร้าง Deadline ให้ตัวเองค่ะ ค้นพบว่าเป็นวิธีกระตุ้นชั้นดีมากๆ เพราะเราจะเห็นความเดือดของตัวเองว่ากำลังจะไม่รอดค่ะ 5555
4.หาข้อสอบมาทำเยอะๆ ลองเสิร์ชใน Google นะคะ หนังสือสำหรับ TOEIC มีเยอะมากจริงๆ อย่าลืมโหลดไฟล์เสียงมาด้วยนะคะ หนังสือที่แนะนำมีทั้งหมดสามเล่มคือ
-Collins Skills for the TOEIC Test
เล่มนี้ดีมากค่ะ และเหมาะสำหรับฝึกระดับต้น พาร์ทฟังถือว่าฟังง่าย พอให้คุ้นชินกับวิธีพูดในข้อสอบ เรียกว่าเป็นเล่มเรียกความมั่นใจดีกว่า เมื่อทำได้แล้วก็จะใจชื้น รู้สึกมีแรงฮึกเหิมให้ทำต่อค่ะ เราไม่เคยสนใจข้อสอบ TOEIC เลย มาเจออันนี้เลยทำให้หายกลัวไปได้เปลาะหนึ่ง
วิธีการสอนของเขาจะมีเทคนิคในแต่ละพาร์ท มีข้อสอบย่อยๆให้เราได้ฝึกฟัง ฝึกแกรมม่าร์ จนกระทั่งมีข้อสอบจริงมาให้ทำค่ะ
-Barron's TOEIC Practice Exams
เล่มนี้เป็นเล่มที่ให้กำลังใจรองลงมาจากเล่มบนค่ะ มีความเหมือนจริงอยู่พอสมควร คือก็คล้ายๆข้อสอบจริงนะแต่แอบง่ายกว่านิดนึง แบบนิดนึงงงจริงๆ เล่มนี้หาโหลดได้แค่ส่วนข้อสอบและ Answer Key เลยไม่รู้ว่าส่วนที่สอนวิธีทำข้อสอบเป็นยังไงบ้าง
-Oxford Tactics for TOEIC Listening and Reading Test
ปราบเซียนเว่อออออออออออออ คือถ้าถูกอันนี้เยอะๆก็มั่นใจคนไทยทำได้แน่นอนค่ะ 555555 Listening ฟังๆนี่มีเบลอหลายรอบมาก ความมั่นใจที่สั่งสมพังทลาย แต่ แต่! ต้องทำเลยค่ะ Must Have มากๆเล่มนี้ สำหรับเรารู้สึกว่าข้อสอบความยากอยู่ระหว่าง Barron's กับ Oxford ค่ะ ดังนั้นถ้าผ่านปราบเซียนได้ คะแนนจะหนีเราไปไหนล่ะคะ หืมมมม
สำหรับคนที่สามารถอ่านในคอมได้ หาโหลดนะคะ เวลากระชั้นชิดแบบนี้ ข้อสอบเยอะๆ จะทำให้เราคุ้นชิน ไม่ตื่นเต้นเวลาสอบจริง จับเทคนิค เห็นแนวข้อสอบ เป็นทางลัดที่ดีในเวลาเร่งด่วนค่ะ แต่ ข้อระวังหนึ่งอย่างคือ ข้อสอบแบบนี้ จะต้องจับจ้องกระดาษราว 2 ชั่วโมง ซึ่งถ้าฟิตทำมากกว่าหนึ่งชุดต่อวันล่ะก็สายตาอ่อนล้า มองไปข้างนอกมึนหัวเบลอแน่นอนค่ะ ดังนั้นถ้าทนได้ ประหยัดงบ (เช่นเรา) โหลดลงคอมละเปิดทำค่ะ แต่ ปริ๊นออกมาทำจะทำให้สายตาล้าน้อยลงค่ะ หรืออุดหนุนของจริง ซื้อเลยได้ค่ะ เคยเจอเล่ม Barron's ขายที่ร้านหนังสือทั่วไปเลยค่ะ ราคาราว 240 บาท
5. ต่อมาเราจะมาแยกทีละส่วนกันนะคะ
Listening
พาร์ทนี้มีข้อดีคือ ทำทันแน่นอน แต่การจะทำทันนั้น เรียกว่าทำการใหญ่ใจต้องนิ่งนะคะ ท่องไว้ในใจอดีตมันไม่ย้อนคืนมา สายน้ำไม่ไหลหวนกลับ อย่ามัวแต่เศร้าโศก Move on เข้าไว้นะคะ เพราะเขาจะพูดรอบเดียว รอบเดียวจริงๆ เว้นจังหวะหายใจ 8 วิไว้ให้ฝนคำตอบ ดังนั้นถ้ามัวแต่ตึงเครียด นอกจากอาจจะผิดข้อนี้ จะผิดข้อหน้าแถม สติแตก น้ำตาตกนอง ดิ่งรัว ไม่ดีนะคะ ถ้าฟังไม่ทัน ให้ปล่อยไป แก้มือข้อใหม่เนอะ
Part1 : Photographs
ส่วนนี้ดูรูปแล้วตอบคำถาม ในข้อสอบจะมีแค่รูปมาให้ และจะมีเสียงพูดช้อยส์ A B C และ D ให้เราเลือกข้อที่ตรงกับภาพ กรณีพาร์ทนี้ เราใช้วิธีดูรูปเร็วๆก่อนหนึ่งที ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน ก่อนจะฟังช้อยส์ สมมติเราได้ยินว่าผู้หญิงใส่แว่น ให้จ้องแรงไปที่รูปค่ะ ถ้าไม่ได้ใส่ ก็ปล่อยเบลอเลย แปลว่าข้อนี้ไม่ใช่ จับคีย์เวิร์ดของช้อยส์ อย่าพยายามแปลทุกคำ เพราะเราจะไม่มีสมาธิฟังที่เขาพูดต่อไปค่ะ
Part2 : Question - Responses
ส่วนนี้ทั้งหน้าจะมีแค่เลขข้อและไม่มีสิ่งใดให้อีก ทั้งคำถามและคำตอบ คือเขาจะถามคำถามมา เป็นเหมือน Short Conversation ของ A กับ B แบบ A พูดอันนี้ B จะตอบว่าอะไร ส่วนนี้จะมีความแซ่บตรงมีความหลอกล่อค่ะ อารมณ์มีคำพ้องเสียงมาให้เรา หลอกล่อให้เผลอตัวตอบ แนะนำว่าฟังบริบทดีๆนะคะ จับใจความคำถาม เช่น ถามว่า Where? When? How long? จะต้องตอบแบบไหน หรือ! บางทีมาแค่บทสนทนาค่ะ อันที่ได้ยินบ่อยมากระดับที่ทุกข้อสอบที่ลองทำเจอ และไปเจอในห้องสอบคือ ฝนตกนะจ๊ะข้างนอกน่ะ และตอบว่าไม่เป็นไรฉันมีร่ม เห็นมั้ยคะ ไม่มีคำถาม Question ตรงไหน ไม่มีใครทราบ แต่มันก็มาค่ะประโยคประมาณนี้ จับจุดให้ได้ นึกภาพว่าเขาคุยที่ไหน อย่าใส่ใจว่าศัพท์นี้ต้องตอบศัพท์แบบเดียวกัน มันหลอกล่อเราค่ะ อีกอย่างคือ พาร์ทนี้ไม่มีข้อ D นะคะ ดังนั้นฝน C ก็อย่าฝนผิดชิดซ้ายนะคะ ฟาวเลยนะ หรือจะทิ้งดิ่งก็อย่าโป๊ะนะคะ
Part3 : Conversations
เป็นการคุยยาวจาก Part2 ค่ะ แต่จะเริ่มเห็น Situation ของแต่ละข้อ เห็นสถานที่ แต่ละบทสนทนาจะมีคำถามสามคำถาม วิธีของเราซึ่งความจำเท่าปลาทองคือ ระหว่างที่เสียงประกาศพูด Direction หรือคำสั่งของพาร์ทนี้ เราจะเริ่มอ่านคำถามและคำตอบทั้งหมดของบทสนาแรกค่ะ จะทำให้เห็นกลายๆว่า เกิดอะไรที่ไหน และเราจะต้องเน้นฟังตรงไหนเป็นพิเศษ จะได้ไม่เผลอใจฟังทุกอย่างในนั้นจนลืมค่ะ แล้วพอจบบทสนทนา เขาจะทวนคำถาม ระหว่างทวนเราก็จะไปอ่านคำถามของข้อต่อไปรอค่ะ แนะนำว่าฟังดีๆ อย่าเพิ่งรีบฝน บางทีมีเบรกอารมณ์ด้วย เช่นคำถามถามว่าจะประชุมตอนกี่โมง บทสนทนามีพูดว่าตอนแปดโมง เราก็รีบฝนแปด แต่จริงๆมีพูดต่อว่าเปล่านะจ้ะ เก้าต่างหาก อย่างนี้ก็ผิดไปนะ
Part4 : Short Talks
เราทำแบบพาร์ทสามเลยคืออ่านคำถามไว้ก่อน และจับจุดให้ได้ว่าคุยที่ไหน โดยพาร์ทนี้จะเป็นคนพูดคนเดียวยาวๆ เหมือนประกาศ ถ้าหลุด ฟังไม่ทัน ไม่ต้องนั่งร้องไห้นะคะ เราอาจจะผิดไปสามข้อ แต่จงก้าวผ่านไปทำข้อต่อไปค่ะ!
Reading
ส่วนนี้นี่แหละบ่อเกิดแห่งความไม่ทัน ดังนั้นฝึกจับเวลาซ้อมไว้นะคะ บางคนอาจจะข้ามไปทำพาร์ทสุดท้ายก่อนเพราะยาวและใช้เวลาอ่านนาน แต่เราเริ่มจากพาร์ท5เพราะเป็นจุดอ่อนค่ะ ต้องกำจัดให้พ้นทาง
Part5 : Incomplete Sentences
อันนี้แนะนำว่า เสิร์ชเพจในเฟสบุ๊คเลยค่ะ พิมพ์หาคำว่า TOEIC ทุกเพจจะมีส่วนนี้ไว้ให้ลองทำพร้อมเฉลย เป็นการเรียนรู้แกรมม่าร์ฉบับรวบรัด ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้ครอบคลุมทั้งหมดในวงการภาษาอังกฤษค่ะ ข้อสอบ TOEIC มักจะออกคำเดียวกันแต่เป็น Noun , Adj , Gerund และอื่นๆ ให้เราวางให้เหมาะสมกับรูปประโยค หรือเป็นศัพท์ใกล้ๆกัน คำเชื่อมระหว่างประโยคประมาณนี้ค่ะ เอาจริงแบบจริงจังมากไม่โกหกเลยคือ หนึ่งเดือนสำหรับเราคือไม่พอค่ะ เก็บไม่หมดจริงๆ แต่พยายามอ่าน เพราะคนที่มาเฉลยเขาก็จะอธิบายไว้ด้วยว่าทำไม
Part6 : Text Completion
จะมีบทความสั้นๆ เช่น อีเมลล์ จดหมาย แล้วมีช่องว่างให้เราเติมค่ะ มีความคล้าย Part 5 แต่เบาลงมาหน่อย เราว่าที่สำคัญสำหรับพาร์ทนี้คือเวลาค่ะ เพราะเรายังมีอีกพาร์ทให้ทำ ดังนั้น ให้อ่านแบบ Scan หนึ่งรอบ และอ่านแค่ประโยคนั้นๆที่มีช่องว่างค่ะ ดูว่าควรเติมอะไรพอ จะรวดเร็วขึ้น แต่อย่าลืม Scan นะคะ อย่างน้อยควรเข้าใจว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน
Part7 : Reading Comprehention
อ่านเนื้อเรื่องแล้วตอบคำถาม มีตั้งแต่สั้นมากจนยาวมากเว่อ เราอ่าน Scan เร็วๆ 1 ครั้งให้รู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน แล้วตอบคำถามค่ะ แต่หลังๆที่ยาวมาก เราจะดูว่าเกี่ยวกับอะไร เช่น ถ้ามีอีเมลล์แนบมากับบิล เราจะอ่านอีเมลล์ก่อนให้รู้ว่าคุยเรื่องอะไร ทั้งนี้ พาร์ทนี้มีความวิชาเลขนะคะ มีการบวกลบคูณหารโดยเอาใบราคามาให้ดู อ่านดีๆ นะคะ และอย่าตื่นตระหนกกับเวลา ถ้าอีกสามสิบนาทีและเราเหลือสามสิบข้อ ยังไงหนึ่งบทความถ้าเราอ่านจับประเด็นได้ เราจะตอบได้ทีละห้าข้ออย่างรวดเร็วนะคะ
6.ไปสอบค่ะ โดยโทรไปตามเบอร์ของศูนย์สอบเลยค่ะ 02-260-7061 (กทม) แต่บอกเลยว่า โทรยากยิ่งกว่าลุ้นชิงโชคค่ะ ตอนโทรติดรู้สึกถึงโชคชะตาสวรรค์ลิขิต นอกจากการโทรจองแล้ว สามารถส่งเมล์ไปจอง ได้ที่ test_reservations@cpathailand.co.th แต่ค่ะแต่! จองได้ แต่เขาไม่คอนเฟิร์มนะคะว่าจองได้หรือเปล่า ต้องโทรไปเช็คอีกที (แล้วจะเมลล์ทำไมถ้าหนูโทรติด ฮือ) หรืออีกวิธีคือ Walk-In ค่ะ ซึ่งการจองจะต้องบอกชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชน วันเวลาที่ต้องการสอบ โดยศูนย์สอบจะเปิดจันทร์-เสาร์ มีสองรอบต่อวันคือ 9:00 และ 13:00 ต้องไปถึงศูนย์สอบก่อนเวลาเพื่อ Check-In นะคะ คิวยาวมากถึงมากที่สุด ควรเผื่อเวลาหน่อย เราเผื่อไปน้อยมาก คือเฉียดฉิว ข้อดีคือมีคนตื่นตระหนกกว่าเราเขาเข้าห้องสอบหมดแล้ว จึงทำทุกอย่างอย่างรวดเร็วค่ะไม่มีคิว ข้อเสียคือถ้าไม่ทันก็น้ำตานองเลยค่ะ เราเลือกตอนเช้าเพราะว่าถึงจะนอนน้อยหน่อย แต่ว่าเช้าๆหัวสมองปลอกโปร่งกว่าตอนบ่ายค่ะ อันนั้นเพิ่งกิน ติดไปทางง่วง
7.การเดินทางไปสนามสอบ อาคารจะอยู่ติดกับ GMM Grammy ที่อโศกค่ะ การเดินทางสามารถลงบีทีเอสอโศกและเดินมาได้ราวๆสิบกว่านาที ส่วน MRT ลงที่สุขุมวิทหรือเพชรบุรีค่ะ ไม่ต้องพกดินสอไปนะคะ เขามีเตรียมไว้ให้หมดบนโต๊ะสอบ พกบัตรประชาชน พาสปอร์ท หรือบัตรที่มีรูปไว้ค่ะ คนข้างๆ เราโดนให้เอาบัตรอื่นให้ดูด้วย ซึ่งพอไปถึง กดไปชั้น 19 ค่ะ ออกจากลิฟต์ได้หักเลี้ยวซ้ายค่ะจะเจอห้องที่ Check-In มีพนักงานบอกทุกขั้นตอน เตรียมเงินไป1,500 บาทนะคะ และอีก50บาท กรณีต้องการส่งผลสอบทาง EMS ค่ะ
ระหว่างสอบ จริงๆควรไม่มีอะไรแล้ว แต่เรามีค่ะ เล่าไว้ก่อนเลย คนข้างๆ ลบยางลบและฝนดินสอได้รุนแรงมากค่ะ เรียกว่าโต๊ะสั่น (โต๊ะหนึ่งนั่งสองคนค่ะมีที่กั้น) และไม่มีกำหนดที่นั่งสอบก่อนล่วงหน้านะคะ เจ้าหน้าที่หน้าห้องจะคอยเลือกที่ให้เราก่อนเข้าค่ะ รวมถึงตรวจวัตถุโลหะด้วย และคนข้างๆอีกข้างอ่านโจทย์งึมงำออกมาค่ะ ดังนั้น จงมีขันติค่ะทุกคน
ถ้าต้องการส่งผลสอบทาง EMS ให้กลับมาต่อแถวเพื่อจ่ายค่าส่งและจ่าหน้าซองนะคะ ผลสอบจะออกวันรุ่งขึ้น สามารถมารับได้ตั้งแต่ 10 โมงค่ะ (ถ้ามารับด้วยตัวเอง) นำบัตรประจำตัวผู้สอบมาด้วยนะคะ ถ้ามีคนมารับแทน ต้องให้บัตรประชาชนมากับคนที่มาแทนด้วยนะคะ
สุดท้ายนี้ผลสอบมาถึงบ้านแล้วค่ะ ได้ 800 ถ้วนค่ะ สิ่งอื่นที่ได้มานอกจากคะแนนคือ ความตั้งใจในภาษาอังกฤษค่ะ เรารู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถตั้งใจอ่านได้ขนาดนี้ รวมถึงการฟัง หลังจากฝึกมาหนึ่งเดือน (แบบไม่ทุกวัน) เราก็สามารถฟังอังกฤษได้ดีขึ้น ทำให้ฟัง Youtube Channel ที่ชอบได้รู้เรื่องขึ้นมาก รวมถึงอ่านได้ดีขึ้นค่ะ ดังนั้น ถึงอาจจะไม่ได้คะแนนออกมาอย่างที่ต้องการ อย่าผิดหวังนะคะ ระหว่างทางคุณได้เรียนรู้อะไรเยอะขึ้นแน่นอนค่ะ
ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ